คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

ทำไมคนรุ่นใหม่อยู่ยากขึ้นเรื่อยๆๆ

28/02/2024

อย่าประมาทนะครับ มันลามมาใกล้ตัวเราขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ  ตอนนี้คนที่ทำอาชีพ Maketing หลักทรัพย์ หรือผู้แนะนำการลงทุนตาม broker ต่างๆ บางคนโดนให้ออก บางคนโดนลดเงินเดือน เหตุเพราะ มี Robot trade / internet trade เข้ามา คือโบรคที่ใช้คอมพิวเตอร์ซื้อขายเข้ามาเเทนที่คนทำงาน ยอดปริมาณซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ ตอนนี้มีปริมาณมากกว่า50% เเละจะมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ทำงานก็ค่อยๆโดนปลด โดนลดเงินเดือนกันไป โบรคที่ใช้คอมพิวเตอร์ก็จะโต ก้าวหน้าขึ้น ทุกโบรคต้องเปลี่ยนไปใช้คอมซื้อขาย พนักงานจะอยู่ยากมาก เขาจะค่อยๆบีบ ลดคน ให้ไปขายกองทุน ขายประกัน ทุกคนต้องหาทางเลือกไว้ด้วยนะครับ "มันมาเเน่" หลากหลายอาชีพที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้ามาทดแทนแรงงานคนได้ ให้ค่อยๆหาอาชีพเสริมไว้ สำรองไว้ครับ พวกอายุสัก 30-45 ยังต้องสู้ต่อ เพราะยังมี “อนาคต” รออยู่ ค่อยๆศึกษาเพิ่ม หาอาชีพสำรอง ต้องเป็นอาชีพที่ คอมพิวเตอร์มาเเทนที่ไม่ได้ ที่เห็นชัดๆและง่าย คือ “ทำของกินขาย” มันเป็น "อมต" เพราะทุกคนต้องกิน  อย่างที่บ้านอยุธยา เเต่เดิม คนรวยสุดคือ 1. โรงน้ำแข็ง ตอนนี้เลิกหมด เพราะทุกคนมีตู้เย็น 2. โรงเลื่อย ตอนนี้เลิกหมด เพราะป่าหมด 3. เอเย่น เหล้า บุหรี่ เครื่องดื่มชูกำลัง ตอนนี้ยังดีอยู่ เพราะเป็นของกิน 4. ร้านขายของชำ อยู่ได้ เพราะเป็นของกินของใช้ 5. โรงงานที่ทำของกิน อยู่ได้ ไม่กระทบ ทุกๆห้างตอนนี้ ปรับพื้นที่เปลี่ยนเป็นโซนอาหารเยอะมาก โซนอื่นๆแทบจะไม่มีคนเดิน ถ้าเป็นป๊าที่เรียนหนังสือปานกลาง กีฬาก็เล่นได้ปานกลาง ทุกอย่างปานกลาง “มีดีที่มีลูกอึด ขยัน อดทน” - ขายป่อเปี๊ยะ เเบบร้านแถวประตูน้ำ ร้านรถเข็นเล็กๆแต่มีคนเข้าคิวรอเยอะตลอดเวลา - ที่สีลม มีร้านขายข้าวพองเคลือบน้ำตาล ขายได้วันละหลายหมื่นบาท - เเถวสะพานเหลืองมีร้านขายขนม น้ำเต้าหู้ มีคนเข้าคิวรอเยอะ - คนตกงานมาขายหมูปิ้งก็อาจจะรวยได้ เอาสักอย่าง อะไรก็ได้ แต่ต้องทำให้ดี ให้อร่อยกว่าเขา ทำส่ง online ได้ ถือไปกินที่บ้านได้และสามารถขยายใหญ่ต่อได้ มันใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ stock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5884

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เบี้ยประกันชีวิต “พลิกบวก” พ้นบ่วง “ซึมยาว” ย้อนหลัง 5 ปี

29/04/2024

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาพติดลบ แต่ปี 2566 ที่ผ่านมาพลิกกลับมาเติบโตได้แล้วปี’66 เบี้ยประกันชีวิตพลิกบวกโดย “สาระ ล่ำซำ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย (TLAA) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ภาพรวมเบี้ยประกันชีวิตพลิกกลับมาเติบโตได้ 3.61% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) หรือมีเบี้ยรับรวม 633,445 ล้านบาท ซึ่งเติบโตสูงกว่า GDP จากที่นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาพติดลบ (ปี 2562 เบี้ยรับรวม -2.63% ปี 2563 อยู่ที่ -1.75% และปี 2565 อยู่ที่ -0.45%) เนื่องจากมีผลกระทบในหลายมิติ โดยเฉพาะเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มีผลกระทบต่อเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ปรับตัวลงมาตลอด ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจประกันชีวิตเน้นขายประกันสะสมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งมีความละเอียดอ่อนกับ Yield Curve เป็นอย่างมาก“การจะบังคับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS17) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ทำให้บริษัทประกันชีวิตต้องมีการเตรียมตัวบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอให้มีความเหมาะสม โดยการออกกรมธรรม์แต่ละครั้ง จะต้องแมตชิ่งกับการลงทุนได้ หมายความว่าต้องมองถึงผลรวมของกำไรที่คาดว่าจะได้รับตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันสิ้นสุดสัญญาของกรมธรรม์ (VoNB) เป็นสำคัญ ไม่ใช่เฉพาะการมองแค่เรื่องยอดขายเท่านั้น”นอกจากนี้ ความต้องการของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่ก่อนโควิดเป็นต้นมา โดยหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนความคุ้มครองสุขภาพเพิ่มมากขึ้น บริษัทประกันเองจึงพยายามหันมาพัฒนาแบบประกันคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง มากขึ้นด้วยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่อ่อนไหวกับภาวะดอกเบี้ย แต่ขนาดเบี้ยจะเล็กกว่าประกันสะสมทรัพย์ 8-10 เท่า ทำให้เบี้ยติดลบประกอบกับตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทประกันชีวิตขายกรมธรรม์สัญญาระยะสั้น เช่น ชำระเบี้ย 1-3 ปี และสัญญาระยะกลาง เช่น ชำระเบี้ย 7 ปี, 10 ปี ค่อนข้างมาก ทำให้มีกรมธรรม์ครบกำหนดสัญญาสิ้นสุด (Maturity) และกรมธรรม์ที่ชำระเบี้ยครบแล้วแต่ยังมีความคุ้มครองอยู่ (Paid-up) อยู่ค่อนข้างมาก ทำให้พอร์ตเบี้ยประกันปีต่ออายุปรับตัวลดลง ซึ่งอาจทำให้ถูกมองว่าคนยกเลิกต่ออายุสัญญา แต่จริง ๆ แล้วมาจากเรื่อง Paid-up เป็นหลักเบี้ยสุขภาพทะลุแสนล้านทั้งนี้ บริษัทประกันชีวิต 10 อันดับแรก มีมาร์เก็ตแชร์รวมกัน 92.47% แยกเป็นเบี้ยปีต่ออายุ 454,975 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.06% และเบี้ยรับรายใหม่ 178,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.06% ซึ่งเบี้ยส่วนนี้มาจากเบี้ยรับปีแรก 112,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.83% และเบี้ยซิงเกิลพรีเมี่ยม 66,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18%โดยพอร์ตประกันสะสมทรัพย์ เติบโต 2.93% ยังเป็นพอร์ตที่มีมาร์เก็ตแชร์ใหญ่ที่สุด 44.23% ซึ่งหันมาขายแบบชนิดแบ่งผลกำไรให้แก่ผู้เอาประกัน (Participating Policy) เพื่อความยั่งยืน ตามมาด้วยสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและโรคร้ายแรง ที่มีเบี้ยรับรวม 109,786 ล้านบาท เติบโต 5.93% มีมาร์เก็ตแชร์ 17.33%ซึ่งพอร์ตนี้ค่อนข้างมีความท้าทายในการรับมืออัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาล และการเคลมป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ที่มีอัตราส่วนการเคลมค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าปี 2567 จะยังคงเติบโตในระดับดับเบิลดิจิตส่วนประกันสินเชื่อ (Mortgage) ติดลบ 0.95% ล้อตามธุรกรรมของภาคธนาคารที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิตลิงก์-ยูนิเวอร์แซลไลฟ์) ติดลบ 7.69% ตามภาวะตลาดทุนที่มีความผันผวนปี 2567 คาดเบี้ยโต 2-4%สำหรับปี 2567 “นายกสมาคมประกันชีวิตไทย” กล่าวว่า ประมาณการเบี้ยรับรวมเติบโต 2-4% หรือเบี้ย 6.46-6.58 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้น และโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง มีเรื่องเทรนด์สุขภาพ สังคมผู้สูงวัย และการใช้เทคโนโลยีทั้งกระบวนขายประกันที่ง่ายและสะดวก“แต่อาจจะมีความท้าทายอยู่บ้างทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อาจจะชะลอตัว การเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ มีความผันผวนของตลาดทุนไทยที่มีความต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลงซึ่งอาจกระทบต่อรายได้จากการลงทุนของบริษัทประกันชีวิต รวมถึงอาจมีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์”MTL ตั้งเป้าเบี้ยใหม่โต 20%“สาระ” กล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายของเมืองไทยประกันชีวิต คาดปีนี้จะมีเบี้ยรับรายใหม่เติบโต 20% โดยมีแผนขยายพอร์ตประกันชีวิตรวมกับพอร์ตประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 70% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 60% ของพอร์ตโฟลิโอรวมส่วนการบริหารพอร์ตลงทุน 6 แสนล้านบาท ปีนี้จะรักษาผลตอบแทนให้ใกล้เคียงปีที่แล้ว 3.5-4% ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนผ่านตราสารหนี้เป็นหลัก อาจจะลงทุนเพิ่มในกรีนบอนด์ และ ESG Bond รวมถึงจะมีความชัดเจนการลงทุนคลินิกเฉพาะทาง และร่วมลงทุนในสถานดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home)BLA ชู 3 ปี เบี้ยปีแรกหมื่นล้านฟาก “โชน โสภณพนิช” กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) กล่าวว่า บริษัทวางเป้าอย่างท้าทายใน 3 ปีจากนี้ (ปี 2567-2569) จะมีเบี้ยรับปีแรกแตะ 10,000 ล้านบาท โดยช่องทางตัวแทนตั้งเป้าเติบโตปีละ 15% ต่อเนื่อง 5 ปี พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับช่องทางโมบายแบงกิ้งของธนาคารกรุงเทพ (BBL) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยยังเน้นขายสินค้าประกันสะสมทรัพย์เป็นหลัก เน้นเจาะลูกค้า 2 เซ็กเมนต์คือ เริ่มซื้อประกันฉบับแรก และซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษีหรือสะสมความมั่งคั่ง“ปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,548 ล้านบาท มีมูลค่าปัจจุบันของกรมธรรม์ที่ขายไปแล้วทั้งหมด (Embedded Value) อยู่ที่ 67,871 ล้านบาท มีมูลค่ากรมธรรม์ใหม่ที่เพิ่งขายออกไป (VNB) 2,759 ล้านบาท และมีผลตอบแทนจากการลงทุน 3.75% จากพอร์ตสินทรัพย์ 3.2 แสนล้านบาท โดยบอร์ดได้อนุมัติจ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น จากกำไรสะสม ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 พ.ค. 2567”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1509016

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นิทรรศการงานศิลป์นักสารคดีคนดัง

29/04/2024

West Eden ภูมิใจนำเสนอนิทรรศการ “Apopheniac” จัดแสดงผลงานชุดใหม่ของ เซดริก อาร์โนลด์ ศิลปินชาวอังกฤษ-ฝรั่งเศส ที่ได้เริ่มต้นอาชีพในฐานะนักสารคดีครั้งแรกในเมืองเบลฟาสต์และกรุงลอนดอน ก่อนที่เขาจะย้ายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี พ.ศ.2544 โดยเขาได้ทำงานร่วมกับนิตยสารอย่าง Time Magazine, Sunday Times, HBO, Washington Post และอื่นๆอีกมากมายนิทรรศการ “Apopheniac” ถูกปรับแต่งจากคำว่า “Apopheniac” ที่อธิบายถึงแนวโน้มของการเชื่อมโยงรูปแบบจากสิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวพันกันหรือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไร้แบบแผน ไม่ว่าจะเป็นจากวัตถุหรือความคิด ในขณะที่มนุษย์ต้องการอธิบายความหมายและบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต เรากลับหลอมรวมช่วงเวลาที่ไม่สัมพันธ์กันขึ้นมา โดยความต้องการเหล่านี้ได้ส่งผลต่อเส้นแบ่งระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและโลกของจินตนาการให้ดูพร่ามัวภายในนิทรรศการแสดงผลงานชิ้นเด่นทั้งหมด 2 ชิ้น ได้แก่ ผลงานชื่อ Inadvertent Icon (2020) และ Apopheniac V (2023) ที่ถูกนับว่าเป็นผลงานที่แสดงความเคารพต่อปรมาจารย์จิตรกรในอดีต นิทรรศการนี้ได้เดินตามรอยการแสดงที่น่ายกย่องจากที่ได้ปรากฏในงาน Avignon (Maison Jean Vilar) ในปี พ.ศ.2565, งาน Paris (Biennale de l’image Tangible) ในปี พ.ศ.2566 และงาน Río de Janeiro Museu de Arte Moderna (Dobra film festival) ในปี พ.ศ.2566 นิทรรศการนี้จัดแสดงที่ West Eden Gallery สุขุมวิท 31 วันนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2765925

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

อันซีนหนองคาย “พันโขด แสนไคร้” สัมผัส “หัวใจ” กลางลำน้ำโขง

29/04/2024

ททท.ชวนสัมผัสเสน่ห์ทิวทัศน์งามแปลกตาของแม่น้ำโขงยามลดระดับต่ำมากที่ “พันโขดแสนไคร้” พร้อมชวนตามหาหัวใจกลางลำน้ำโขงที่ “หินบ่อง” อันซีนหนองคาย ที่เกิดจากการกระทำของธรรมชาติจนเป็นจุดถ่ายรูปที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนสัมผัสมนต์เสน่ห์ทิวทัศน์งามแปลกตาน่ายลของแม่น้ำโขงยามลดระดับต่ำมากที่ “พันโขดแสนไคร้” อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของ อำเภอสังคม จ.หนองคายทิวทัศน์พันโขดแสนไคร้เมื่อมองลงมาจากภูหนองยามน้ำลดระดับต่ำมากพันโขดแสนไคร้ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการที่แม่น้ำโขงลดระดับลงต่ำมากในช่วงฤดูแล้ง จึงปรากฏโขดหิน เกาะแก่ง และแนวหาดทราย-หาดหิน ขนาดใหญ่โผล่กลางลำน้ำโขงพรหมแดนไทย-ลาว (หนองคาย-แขวงเวียงจันทน์) กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างประมาณ 300 เมตร ยาวกว่า 5 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ บ้านหนอง, บ้านภูเขาทอง, บ้านม่วง และบ้านห้วยค้อ ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคายนอกจากนี้บริเวณหาดหิน หาดทราย กลางลำน้ำโขงยังมี “ต้นไคร้” ที่ในอดีตมีอยู่เป็นจำนวนมากจึงเป็นที่มาของชื่อ “พันโขดแสนไคร้” ที่หมายถึงโขดหินกลางลำน้ำโขงจำนวนมากนับพัน ๆ โขด และต้นไคร้จำนวนมหาศาลนับแสนต้นหินบ่อง หินรูปหัวใจกลางลำน้ำโขงปัจจุบันที่ อ.สังคม มีกิจกรรมล่องเรือชมพันโขดแสนไคร้ ยามน้ำลด ซึ่งหากล่องเรือจากท่าเรือ "บ้านห้วยค้อ" จะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที (ตามสภาพน้ำ) ไปยังแนวหาดขนาดใหญ่กลางลำน้ำโขง ที่มีภูมิทัศน์ดูสวยงามแปลกตา มีหาดทราย หาดหิน ก้อนหิน โขดหิน แก่ง และแอ่งน้ำ รวมถึงภาพวิถีชีวิตคนหาปลา ชาวลาวที่มาร่อนทองในบริเวณนี้เป็นต้น เป็นต้นนอกจากนี้บริเวณพันโขดแสนไคร้ยังมีเป็นหินรูปหัวใจให้ตามหา คือ “หินบ่อง” ที่เป็นแนวก้อนหินใหญ่ถูกน้ำ ลม ฝน กัดเซาะ จนเป็น “บ่อง” หรือช่องทะลุที่มองดูคล้ายรูปหัวใจ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปถ่ายรูปคู่กับหินบ่องรูปหัวใจได้อย่างใกล้ชิด หรือวันไหนฟ้าเป็นใจจะรอชมพระอาทิตย์ยามเย็นตกลอดช่องหินรูปหัวใจนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงโขดหินมากมายที่พันโขดแสนไคร้อย่างไรก็ดีเนื่องจากปัจจุบันมีการสร้างเขื่อนในลำน้ำโขงในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลกระทบต่อกระทบต่อระบบนิเวศของคนปลายน้ำโขง น้ำหลากน้ำแล้งผิดฤดูกาล (ตามการปล่อยน้ำของเขื่อน) สัตว์น้ำบางชนิดเสี่ยงสูญพันธุ์ หลายชนิดปริมาณลดลง ตลิ่งธรรมชาติหลายช่วงถูกน้ำกัดเซาะ วิถีชาวประมง-เกษตรกรริมน้ำโขงล้วนต่างได้รับผลกระทบจากเขื่อนกันทั่วหน้า รวมไปถึงต้นไคร้ในบริเวณพันโขดแสนไคร้ ที่เคยมีจำนวนมหาศาล ได้ลดจำนวนลงไปเป็นจำนวนมากนี่ถือเป็นชะตากรรมของคนท้ายน้ำที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงที่ต้องต่อสู้ ฟันฝ่า แก้ปัญหา และหาวิธีรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและระบบนิเวศกันต่อไปนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปถ่ายรูปกับหินบ่องได้อย่างใกล้ชิดผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ททท.สำนักงานอุดรธานี (รับผิดชอบพื้นที่ : อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ) โทร. 0 4232 5406-7 เฟซบุ๊กแฟนเพจ : ททท.สำนักงานอุดรธานี-TatUdon หรือที่ ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคาย โทร. 042 421 326 เฟซบุ๊กแฟนเพจ : ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคายพันโขดแสนไคร้ อันซีนหนองคายยามน้ำโขงลดระดับลงต่ำมากพันโขดแสนไคร้ อันซีนหนองคายยามน้ำโขงลดระดับลงต่ำมากพันโขดแสนไคร้ อันซีนหนองคายยามน้ำโขงลดระดับลงต่ำมากท่าเรือบ้านห้วยค้อต้นไคร้เดียวดาย (เพราะเพื่อน ๆ ตายไปมาก จากผลกระทบของการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำโขง)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000015975

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

Gen Z เกินครึ่ง คิดว่า ‘เช่า’ ดีกว่า ‘ซื้อ’ บ้าน เพราะมีอิสระ ภาระน้อยกว่า

27/02/2024

การมีบ้านสักหนึ่งหลังคงเป็นความฝันของใครหลายคน แต่ในยุคข้าวยากหมากแพง ราคาบ้านก็ยิ่งแพงแสนแพง แถมยังมีเรื่องของดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นมาจนสูงปรี๊ด ทำให้ไม่ว่าจะซื้อบ้านด้วยเงินสดหรือซื้อผ่อนก็เป็นเรื่องที่ทำให้ต้องคิดหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างกลุ่ม Gen Z อายุ 12-27 ปี กลุ่มนี้เรียกว่าอยู่ในวัยที่กำลังเติบโตและสร้างตัว เพราะมีช่วงอายุตั้งแต่วัยเรียนไปจนถึงช่วงที่เริ่มต้นทำงานแล้ว [ Gen Z เกินครึ่ง พอใจที่จะเช่าบ้านอยู่ ] ซึ่ง Gen Z ประมาณ 51% คิดว่าการเช่าบ้านเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด โดยผลสำรวจจาก RealPage พบว่าเกือบ 2 ใน 3 ของผู้เช่า Gen Z มีความพอใจกับการเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยในปัจจุบันมากกว่าการซื้อ เนื่องจากมองว่าทำให้มีอิสระในการย้ายบ้านและมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น และเกือบ 3 ใน 4 บอกว่าการเช่าบ้านช่วยให้สามารถอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับชุมชนหรือหมู่บ้านราคาแพงที่อาจจะยังไม่สามารถจ่ายไหว เมื่อเปรียบเทียบตามรุ่นจะเห็นถึงความแตกต่างทางความคิดได้อย่างชัดเจน โดยจะเห็นว่าคนรุ่นเก่ามีแนวโน้มที่จะเป็นเจ้าของบ้านมากกว่า โดยกลุ่ม Baby Boomers 3 ใน 4 คนกำลังเป็นเจ้าของบ้าน เทียบกับ Gen Z ที่มีสัดส่วนเพียง 2 ใน 5 คนเท่านั้น นอกจากนี้ กลุ่ม Gen Z และ Gen Y ยังมีแนวโน้มที่จะย้ายงานใหม่มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ทำให้การเช่าบ้านเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่าการซื้อบ้านที่ต้องลงหลักปักฐานแบบถาวร [ ดอกเบี้ยสูง ทำให้ราคาบ้านแพงขึ้น ] การซื้อบ้านในปัจจุบันยังได้รับผลกระทบจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนสูงและยังไร้วี่แววในการปรับลดดอกเบี้ยลงในเร็วๆ นี้ รวมถึงภาวะขาดแคลนบ้านยังคงหนุนให้ราคายิ่งแพงสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากมีความคิดที่จะกลับเข้าสู่ตลาดการเช่าบ้านอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาของการเช่าบ้านก็อาจจะสูงไม่แพ้กันเลย แต่ก็มีความยืดหยุ่นมากกว่า ข้อมูลจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Zillow พบว่า ค่าเช่าบ้านปรับเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งส่งผลทำให้การชำระค่าเช่าบ้านรายเดือนโดยทั่วไปอยู่ที่ 2,062 ดอลลาร์ หรือประมาณ 73,945 บาทในสหรัฐฯ [ ซื้อหรือเช่า แบบไหนดีกว่ากันนะ? ] ระหว่างการซื้อบ้านกับการเช่าบ้าน รูปแบบไหนดีกว่ากัน ยังเป็นข้อถกเถียงในปัจจุบัน แต่ไม่ว่าจะซื้อหรือจะเช่าก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป สำหรับการเช่าบ้าน ข้อดีคือมีอิสระ ไม่ต้องกังวลค่าบำรุงรักษาเฟอร์นิเจอร์หรือข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน และที่สำคัญหากต้องการย้ายบ้านก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่ายกว่าการปล่อยขายบ้านค่อนข้างมาก แต่ข้อเสียคือ อาจจะมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจำนวนมากที่ต้องจ่ายเมื่อย้ายบ้าน เช่น เงินมัดจำและค่าเช่าเดือนแรก และความเสี่ยงในการถูกฉีกสัญญาเช่าหากผู้ปล่อยเช่าตัดสินใจจะขายบ้าน รวมถึงการโดนทวงค่าเช่าทุกเดือนก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ ส่วนการซื้อบ้าน ข้อดีคือสามารถอาศัยอยู่ได้ในระยะยาวโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาไล่ สามารถซ่อมแซม เปลี่ยนแปลงบ้านได้ตามใจและที่สำคัญบ้านคืออสังหาริมทรัพย์อย่างหนึ่ง ในอนาคตสามารถขายได้ในราคาที่พึ่งพอใจ ข้อเสียก็มีเช่นกัน เช่นการจะซื้อบ้านสักหนึ่งหลังเป็นเรื่องที่คิดแล้วก็เหนื่อยไม่น้อยเลย เพราะการออมเงินเป็นงานหนักและใช้เวลานาน โดยเฉพาะเมื่อราคาบ้านสูงขึ้นก็ทำให้มีราคาบ้านแพงขึ้นด้วย ยังไม่รวมภาระในการจ่ายค่าจำนอง ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซ่มบ้าน และในกรณีนี้ที่กู้ผ่อนบ้าน อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ส่งผลให้ค่าผ่อนบ้านเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อดีและข้อเสียเท่านั้น หากกำลังมีความคิดที่จะซื้อหรือเช่าบ้าน การวางแผนระยะยาวเป็นสิ่งที่จำเป็น และไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ควรที่จะมีเงินเก็บสำรองที่เพียงพอสำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมาในอนาคตด้วย ที่มา : www.thehill.com , www.kantar.com แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับเวิร์คพอยท์ทูเดย์https://workpointtoday.com/gen-z-home/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สกู๊ปพืช

7 ต้นไม้สำหรับปลูกในบ้าน ช่วยคลายร้อน ปรับลดอุณหภูมิพร้อมขจัดมลพิษ

29/04/2024

มีใครเคยทราบบ้างไหมคะว่าพืชประดับบ้านบางชนิด นอกจากจะปลูกเพิ่มความสวยงามและสร้าบรรยากาศสดชื่นภายในบ้านแล้ว มันยังมีคุณสมบัติช่วยคลายร้อนและลดมลพิษในบ้านได้ด้วยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบต้นไม้ประดับหรือพืชพันธุ์สำหรับปลูกไว้ในห้องต่างๆ วันนี้ ในบ้านมีพืช 7 ชนิดที่เหมาะสำหรับปลูกภายในบ้านมาฝากค่ะ รวบรวมไว้ด้วยพืชหาง่ายอย่างเฟิน ว่านหางจระเข้ หรือไทรย้อยใบแหลม มีคุณสมบัติมากมายทั้งเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ แถมยังช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ด้วย จะมีชนิดไหนน่าสนใจบ้าง ลองไปชมกันเลยค่ะต้นไม้ 7 ชนิดเหมาะปลูกในบ้านช่วยคลายร้อน1. ลิ้นมังกร (Snake plant)ลิ้นมังกรเป็นพืชที่เหมาะสำหรับปลูกไว้ในห้องนอน เพราะในช่วงเวลากลางคืนมันจะปล่อยออกซิเจนออกมาในขณะที่เรานอนหลับ ซึ่งออกซิเจนที่ได้จากลิ้นมังกรจะคอยช่วยให้ขับความเย็นและความสดชื่นไหลเวียนอยู่รอบกายเราตลอดคืน ทำให้เราสามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่2. ว่านหางจระเข้ (Aloe vera)ว่านห่างจระเข้ หนึ่งในพืชที่เป็นยาดีสำหรับร่างกาย อีกทั้งยังช่วยลดอุณภูมิความร้อนภายในห้อง และยังมีประสิทธิภาพในการเพิ่มคุณภาพของอากาศที่อยู่บริเวณนอกอาคาร โดยการปรับเปลี่ยนสารพิษและสารฟอร์มาลดีไฮด์ให้กลายเป็นอากาศบริสุทธิ์ เหมาะกับสภาพการอยู่อาศัย3. หมากเหลือง (Areca palm tree)หมากเหลือง เป็นพืชที่คนส่วนใหญ่นิยมนำไปประดับไว้ในห้องนั่งเล่น ซึ่งนอกจากมันจะช่วยเพิ่มสุนทรีย์ระหว่างการพักผ่อนแล้ว มันยังช่วยลดอุณหภูมิภายในห้องและยังมีคุณสมบัติที่สามารถปรับเปลี่ยนอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ4. เฟินงาม (Boston fern)เฟินงาม พืชสำหรับปลูกในบ้านช่วยเพิ่มความชื้นและปรับให้ห้องอบอวลไปด้วยอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติ พร้อมประดับเพิ่มความสวยงามและสร้างพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน5. เปปเปอโรเมีย (Baby rubber plant หรือ Peperomia obtusifolia)เปปเปอโรเมีย พืชฤทธิ์เย็นที่ช่วยปรับอุณหภูมิความเย็นภายในห้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ นอกเหนือจากการใช้เครื่องปรับอากาศ เป็นพืชที่ไม่ต้องลดน้ำมาก แต่หมั่นใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้ดี6. ไทรย้อยใบแหลม (Ficus tree หรือ weeping fig)เพิ่มบรรยากาศสดชื่นภายในบ้านด้วยต้นไทยย้อยใบแหลม ที่นอกจากจะเป็นตัวช่วยปรับอุณหภูมิความเย็นแล้ว ยังช่วยกำจัดมลพิษทางอากาศ ลดกลิ่นรบกวนและเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ในห้องมากขึ้นอีกด้วย7. พลูด่าง (Golden Pothos)พลูด่างเป็นพืชที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่มากเท่าพืชชนิดอื่น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาทำสวนหรือรดน้ำต้นไม้บ่อยๆ และมันยังมีข้อดีในเรื่องของการปรับให้อากาศบริสุทธิ์มากขึ้น และยังช่วยขจัดสารพิษทางอากาศ เช่น ไซลีน เบนซีน คาร์บอนมอนอกไซด์ ตลอดจนสารฟอร์มาลดีไฮด์ขอขอบคุณข้อมูล :istockแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/women/210513/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ทำไมผ้าปูที่นอนห้องพักโรงแรมจึงเป็นสีขาว ทั้งๆ ที่สกปรกได้ง่ายกว่า

29/04/2024

ไม่ว่าคุณจะเคยพักโรงแรมหรูกลางเมือง หรือบ้านพักตากอากาศสุดหรูหรา สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันอย่างแน่นอนคือ "ผ้าปูที่นอนสีขาว" ️เคยสังเกตมั้ย ตอนนี้คุณคงนึกถึงโรงแรมที่เคยพักแล้วนึกภาพผ้าปูที่นอนสีขาวไม่ออกซะแล้ว แถมยังเผลอสังเกตสีขาวสะอาดตาของผ้าปูทุกครั้งที่เข้าห้องพักอีกต่างหาก แต่อย่าเพิ่งสงสัยไปว่าทำไมโรงแรมถึงชอบใช้ผ้าปูสีขาว เรามีคำตอบมาไขข้อสงสัยให้ทำไมโรงแรมถึงใช้ผ้าปูที่นอนสีขาวหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมโรงแรมถึงนิยมใช้ผ้าปูที่นอนสีขาว ทั้งๆ ที่สีขาวเป็นสีที่เลอะเทอะได้ง่าย1. สื่อถึงความสะอาดสีขาวเป็นสีที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ สะอาด และปราศจากคราบเปื้อน เมื่อแขกเห็นผ้าปูที่นอนสีขาว จะรู้สึกมั่นใจได้ว่าเตียงที่พวกเขาจะนอนนั้นสะอาด สดใหม่ และไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน2. สร้างบรรยากาศหรูหราผ้าปูที่นอนสีขาวให้ความรู้สึกเรียบง่าย โปร่ง สว่าง และสะอาดตา ช่วยสร้างบรรยากาศหรูหรา น่าพักผ่อน แม้ว่าจะเป็นห้องพักราคาประหยัดก็ตาม3. สื่อถึงการนอนหลับอย่างสบายสีขาวเป็นสีที่สื่อถึงความสงบ ผ่อนคลาย ช่วยให้รู้สึกสบายตาและสบายใจ ส่งผลต่อการนอนหลับที่ดีนอกจากนี้สีขาวยังทำให้เห็นคราบสกปรก รอยฉีกขาด หรือรอยยับได้ง่าย จึงช่วยให้สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นผ้าปูที่นอนสีขาวยังทำให้มั่นใจได้ว่าผ้าปูที่นอนทุกชุดมีมาตรฐานสูงสุด ผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีตำหนิจะถูกนำไปใช้บนเตียงในห้องพักของโรงแรม อีกทั้งยังซักออกได้ง่าย สีไม่ตก ไม่ซีดจาง และหาซื้อง่ายราคาไม่แพง เข้ากันได้กับเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นทุกสไตล์แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1446819/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

สมาคมประกันชีวิตไทย คาดการณ์ ปี 67 เติบโต 2 – 4 % เผยเบี้ยประกันภัยรับรวม ปี 66 เติบโต 3.61 %

29/04/2024

นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยถึงทิศทางในปี 2567 สมาคมประกันชีวิตไทยได้ประมาณการอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตอยู่ที่ในช่วงร้อยละ 2.0 – 4.0 ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2567 ที่สำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.2 – 3.2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกระแสคนรักสุขภาพ อันเนื่องมาจากการที่ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของการเกิดโรคอุบัติใหม่ เช่น โควิด – 19 สายพันธุ์ใหม่ และมลภาวะจากฝุ่น PM 2.5 มากขึ้น รวมถึงแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่งผลให้ประชาชนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ และ มีการทำประกันสุขภาพมากขึ้น รวมถึงการที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged Society) นโยบายสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีของภาคธุรกิจ เช่น AI และ Data Analytics เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสนับสนุนในทุกกระบวนการในธุรกิจประกันชีวิต ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ การเสนอขาย การพิจารณารับประกันภัย การพิจารณาสินไหม ไปจนถึงการส่งมอบบริการและธุรกรรมหลังการขายที่เกี่ยวข้องกับกรมธรรม์ เพื่อยกระดับความพึงพอใจของผู้เอาประกันภัยให้เพิ่มสูงขึ้น"ด้านประกันสุขภาพมีอัตราการเติบโตตัวเลข 2 หลักมาอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 ที่ผ่านมามีส่วนแบ่งทางการตลาด 17.33% ซึ่งเบี้ยประกันสุขภาพมาจากธุรกิจประกันชีวิตถึงกว่า 80% เมื่อคนไทยเริ่มตอบสนองการทำประกันสุขภาพมากขึ้น ซึ่งคาดหวังว่าจะเห็นภาพการเติบโต 2 หลักต่อไป ซึ่งยังมีช่องทางที่จะขยับรับประกันสำหรับกลุ่มคนตัวเล็กที่ยังเข้าไม่ถึงอีกจำนวนมาก เช่นประกันโรคร้ายแรง ขณะนี้หลายบริษัทก็มีเป้าหมายที่จะเจาะกลุ่มลูกค้านี้เพิ่มมากขึ้นด้วยในทางตรงกันข้ามด้านค่าสินไหมประกันสุขภาพที่มียอดสูงขึ้นสมาคมฯ เริ่มมีความกังวล ดังนั้นคงต้องหารือกับทางสำนักงานคปภ. ถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งเบี้ยประกันสุขภาพต้องยอมรับว่าไม่ได้มีการการันตี โดยปัจจัยที่เข้ามาประกอบคือ เรื่องอายุ เช่น เด็กแรกเกิดมีความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษา ตามธรรมชาติ เช่นเดียวกันเมื่ออายุมากๆ ขึ้นก็มีโอกาสเจ็บป่วยได้เช่นเดียวกัน แต่จะต้องทำอย่างไรให้เบี้ยประกันเหมาะสมและต้องมีการพิจารณารับประกัน เพื่อสอบถามด้านการเจ็บป่วยก่อนเข้าทำประกันร่วมด้วย เป็นต้น" นายสาระกล่าว พร้อมกันนี้ นายบันฑิต เจียมอนุกูลกิจ อุปนายกฝ่ายบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเสริมถึง สำนักงานคปภ.ลงโทษกรณีมีตัวแทนบางคนฉ้อฉลประกันภัย รับเงินผู้เอาประกันภัยแล้วไม่ส่งบริษัท ว่า ขณะนี้ทุกบริษัทประกันชีวิตไม่มีนโยบายให้โอนเงินฝ่ายตัวแทนหรือตัวกลางการประกันภัย ดังนั้นผู้เอาประกันจะต้องโอนเงินค่าเบี้ยประกันภัยเข้าบริษัทโดยตรง เมื่อเงินถึงบริษัทฯ อะไรก็ไม่หายถึงแม้ว่าลูกค้าจะไม่ทำประกันก็ต้องคืนเงินลูกค้า แต่หากไปโอนผ่านตัวกลางโดยที่ไม่มีใบเสร็จรับเงิน นั่นจะเป็นปัญหาของการฉ้อฉลตามมาทั้งนี้ ในมุมของผู้ประกอบการเองก็มีการทำความเข้าใจกับตัวแทนของเราเองด้วยว่า ไม่ว่าจะทำอะไรให้ติดต่อโดยตรงกับบริษัท โดยเฉพาะเรื่องการเงิน เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสำคัญนายสาระ กล่าวต่อไปว่า ในขณะเดียวกันในปีนี้ ธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตามแนวโน้ม และความผันผวน ของสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์เงินเฟ้อ และตลาดหุ้นไทย ที่ส่งผลกระทบต่อการออม การลงทุน และการใช้จ่ายของภาคประชาชน รวมถึงต้องติดตามสถานการณ์สงครามการค้าหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการเกิดโรคอุบัติใหม่ เพราะส่งผลต่อความต้องการและความเชื่อมั่นของภาคประชาชนที่มีต่อธุรกิจประกันชีวิตโดยตรงดังนั้น สมาคมประกันชีวิตไทยจึงมีแผนดำเนินงานเพื่อเตรียมพร้อมรับมือต่อปัจจัยท้าทายรอบด้าน โดยนำแนวคิดการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) มาประยุกต์ใช้ในการประกอบการพิจารณาลงทุนและดำเนินงานที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ ESG ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการกำกับดูแล (Governance) เพื่อให้ธุรกิจประกันชีวิตมีความยั่งยืนมากขึ้นนอกจากนี้สมาคม ฯ มีนโยบายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรูปแบบใหม่ และสนับสนุนในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้พัฒนากระบวนการต่าง ๆ ของธุรกิจประกันชีวิต เพื่อยกระดับความพึงพอใจและความเชื่อมั่นของผู้เอาประกันภัยให้มากขึ้น มีการส่งเสริมให้ความรู้แก่ประชาชน เช่น เรื่องการรู้เท่าทันของเทคโนโลยีและภัยไซเบอร์ เพื่อช่วยปกป้องผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย รวมถึงมีนโยบายเชิงรุกในการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นปัจจุบันโดยทางสมาคม ฯ จะเป็นแกนกลางในการประสานพันธกิจทั้งในรูปแบบประชุมหารือรับฟังความคิดเห็นระหว่างบริษัทประกันชีวิต กับ หน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงจัดตั้งคณะทำงานกลุ่มย่อยที่มีคณะกรรมการบริหารสมาคมเป็นประธานเพื่อติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งผลักดันระบบการจัดสอบและอบรมความรู้ ระบบออกใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทั้งบริษัทสมาชิก และ บุคคลทั่วไปที่สนใจสมัตรสอบเข้าสู่เส้นทางอาชีพตัวแทนประกันชีวิตที่สำคัญสมาคมประกันชีวิตไทยมีนโยบายที่มุ่งให้แต่ละบริษัทประกันชีวิต มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการบริหารและจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ทั้งก่อนและหลังการรับประกันภัย และมีฐานะทางการเงินที่มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามความเสี่ยง (CAR Ratio) สูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่กำหนด (Supervisory CAR) เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยมั่นใจว่า บริษัทประกันชีวิตสามารถปฏิบัติตามภาระผูกพันของกรมธรรม์ประกันภัยได้ทุกกรมธรรม์ที่ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย และพร้อมที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันภัยจนกว่าจะครบกำหนดสัญญาดังจะเห็นได้จาก ในไตรมาสที่ 3/2566 จากข้อมูลบนเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ภาคธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราส่วนความพอเพียงของเงินกองทุนตามความเสี่ยง อยู่ที่ร้อยละ 350 ซึ่งสูงกว่าอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ใช้ในการกำกับ (Supervisory CAR) จึงขอให้ผู้เอาประกันภัยทุกท่านเชื่อมั่นว่าธุรกิจประกันชีวิตมีความมั่นคง แข็งแกร่ง และยึดมั่นคำสัญญาตามข้อผูกพันในกรมธรรม์ประกันชีวิตทุกกรมธรรม์ที่ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวในตอนท้ายเผยภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตของปี 2566 ระหว่าง มกราคม – ธันวาคม มีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 633,445 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.61 เมื่อเทียบกับปี 2565 จำแนกเป็น เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) 178,470 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.06 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) 454,975 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.06สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย1.) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium) 112,377 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.83 2.) เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) 66,093 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.18 จำแนกเบี้ยประกันภัยรับรวมแยกตามช่องทางการจำหน่าย ดังนี้1. การขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต (Agency) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 338,920 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.21 เมื่อเทียบกับปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.502. การขายผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 239,112 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.41 เมื่อเทียบกับปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37.753. การขายผ่านช่องทางนายหน้าประกันชีวิต (Broker) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 30,808 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.19 เมื่อเทียบกับปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.864. การขายผ่านช่องทางดิจิทัล( Digital) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 1,930 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.07 เมื่อเทียบกับปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.305. การขายผ่านช่องทางอื่น (Others) เช่น การขาย Worksite , Walkin การขายผ่านการออกบูธการขายผ่านร้านค้าสะดวกซื้อ Direct Mail , Tele Marketing เป็นต้น เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 22,676 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.58 เมื่อเทียบกับปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.58สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมและมีอัตราการเติบโตมากขึ้น ในปี 2566 คือ สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและคุ้มครองโรคร้ายแรง ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 109,786 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.93 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.33 ซึ่งหลัก ๆ มาจากการที่ประชาชนใส่ใจดูแลสุขภาพและเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในการทำประกันสุขภาพมากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยงและรับมือกับค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (Medical Inflation)ในขณะที่ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากการที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว รวมถึงมีการเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินช่วงวัยเกษียณกันมากขึ้น เพราะนอกจากเป็นรูปแบบการออมประเภทหนึ่งที่มีความเสี่ยงต่ำแล้ว ยังได้รับความคุ้มครองชีวิต และ สิทธิการลดหย่อนภาษีที่ทางภาครัฐให้การสนับสนุนมาตรการลดหย่อนภาษี จึงส่งผลให้ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) ในปี 2566 มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 17,986 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.26 หรือ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.84แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=160340

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เตรียมเกษียณ เมื่อไหร่ดี ?

29/04/2024

บทความโดย “สุทธสินี สุวรรณาพิสิทธิ์” ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 “เตรียมเกษียณ” เป็นเรื่องที่สังคมไทยในปัจจุบันให้ความสำคัญมากขึ้น เหตุเพราะสังคมไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแล้วในปี 2564 ประชากรมากกว่า 20% มีอายุมากกว่า 60 ปี แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ คนวัยเกษียณมีจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่สามารถเกษียณได้อย่างแท้จริง เพราะเงินออมเกษียณที่เตรียมไว้มีไม่มากพอ อีกทั้งหลายคนหวังพึ่งพาลูกหลานหรือคนในครอบครัว ซึ่งในสังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมการใช้ชีวิต คือเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ทำให้การหวังพึ่งพิงยามเกษียณอาจเป็นปัญหาทางการเงินของหลาย ๆ ครอบครัวในอนาคต เงินออมเกษียณเป็นเงินออมก้อนใหญ่ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมเงิน โดยใช้ช่วงชีวิตการทำงานหารายได้ เพื่อรายจ่ายในการดำรงชีวิตแล้ว เงินออมคือส่วนสำคัญที่ต้องมีวินัยในการเก็บให้มีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยปัจจัยสำคัญ 4 ประการในการออมเงินเพื่อเกษียณ ได้แก่ 1. ระยะเวลาในการออม ออมก่อนรวยกว่า พูดง่าย ๆ เริ่มต้นเร็วย่อมดีกว่าเริ่มต้นช้า 2. เงินออมแต่ละงวด จำนวนมากเท่าไรยิ่งดี แต่ทั้งนี้ ขึ้นกับรายได้และรายจ่ายของแต่ละบุคคล 3. อัตราผลตอบแทน ยิ่งมากยิ่งเป็นที่ต้องการ แต่ High Risk High Return ยิ่งผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงของเงินต้นก็สูงด้วยเช่นกัน ดังนั้น การจะนำเงินไปสะสมที่แหล่งออม หรือลงทุนใด ๆ ต้องมีความรู้ในสิ่งนั้น และยิ่งเป็นเงินออมเกษียณยิ่งต้องมั่นใจว่าเงินต้นจะไม่สูญหาย เพราะเงินเกษียณคือเงินรับรองคุณภาพชีวิตของตัวเรายามเกษียณ 4. เงินเฟ้อ เป็นปัจจัยที่คาดคะเนไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลต่อมูลค่าเงินที่แท้จริง และทำให้อำนาจการใช้จ่ายลดน้อยลง โดยเงินเฟ้อทำให้ต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้นซื้อสินค้าและบริการได้เท่าเดิม เช่น ค่าโดยสารรถเมล์จากเดิม 2.50 บาท เพิ่มเป็น 8.50 บาท หรือหมูปิ้งจากไม้ละ 3 บาท เป็น 10 บาท เงินเฟ้อคือศัตรูสำคัญของเงินออมเกษียณอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะเงินออมที่ตั้งใจเตรียมไว้ใช้ยามเกษียณ แปลว่ากว่าจะถึงวันเกษียณ เงินที่ตั้งใจสะสมไว้ใช้เกษียณจะมีมูลค่าลดลง จึงต้องคิดวางแผนเก็บออมเงินเกษียณเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คาดไว้ ณ ปัจจุบัน ด้วยการปรับมูลค่าเงินเฟ้อไว้ด้วยจะเป็นการดีหมายเหตุ : ตัวคูณเงินเฟ้อเป็นตัวเลขที่อ้างอิงจากหนังสือ Money101 : เริ่มต้นนับหนึ่งสู่ชีวิตการเงินอุดมสุข ที่คิดจากฐานการเพิ่มของค่าเงินเฟ้อในอดีตของประเทศไทยในช่วงหลังปี 2540 ตัวอย่าง นายเอ อายุ 35 ปี ตั้งใจเกษียณอายุ 60 ปี เหลือเวลาทำงาน 25 ปี ตัวคูณเงินเฟ้อของนายเอคือ 1.80 หากนายเอต้องการเก็บเงินเกษียณ 5,000,000 บาท นายเอต้องเก็บเงินด้วยตัวเลข 5,000,000 *1.80 เท่ากับ 9,000,000 บาท เมื่อนายเอเห็นตัวเลขนี้แล้ว ย่อมทำให้นายเอตระหนักถึงความสำคัญมากยิ่งขึ้นในการออมเงินเกษียณ ว่าต้องวางแผนการเก็บออมและเริ่มออมอย่างจริงจัง เพื่อเป้าหมายในการเกษียณอย่างที่ตนเองต้องการ เงินเฟ้ออาจทำให้คุณภาพชีวิตหลังเกษียณต้องลดน้อยลง หากเงินออมเกษียณไม่เพียงพอต่อระยะเวลาในการดำรงชีพ เพื่อการเกษียณในปลายทางของชีวิต การเกษียณไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องที่ต้องวางแผนเพื่อให้เกษียณอย่างมีความสุข คุณพร้อมออมเงินเกษียณกันเมื่อไรดี ? แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1504594

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

tokidoki ตัวอิตาเลียนหัวใจญี่ปุ่น ไอคอนสตรีทอาร์ตระดับโลก ครั้้งแรกในไทย

29/04/2024

tokidoki ครั้งแรกในไทยกับนิทรรศการเต็มรูปแบบของคาแรคเตอร์ขวัญใจระดับโลก ผลงานศิลปะสไตล์อะนิเมะญี่ปุ่นจากคาแรคเตอร์ยอดนิยมของ ซิโมเน่ เล็กจ์โน่ (Simone Legno) ศิลปินชื่อดังชาวอิตาเลียนผู้หลงใหล Pop Culture ญี่ปุ่นนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปีพ.ศ.2548 tokidoki (โทกิโดกิ) ก็ได้กลายเป็นงานศิลปะและคาแรคเตอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม รวบรวมผู้ติดตาม ‘ตัวละคร’ หรือคาแรคเตอร์ที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจเหล่านี้ได้เป็นจำนวนมหาศาล จนกระทั่งกลายเป็นคาแรคเตอร์ที่ลักชัวรีแบรนด์และแบรนด์ไลฟ์สไตล์ใหญ่ๆ ระดับโลกต้องการคอลลาบอเรตหรือร่วมออกแบบสินค้าด้วยซิโมเน่ เล็กจ์โน่ (Simone Legno) กับหลากหลายคาแรคเตอร์ของ tokidokitokidoki เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า "บางครั้ง" สร้างสรรค์ขึ้นโดย ซิโมเน่ เล็กจ์โน่ (Simone Legno) ศิลปินชาวอิตาเลียนซึ่งชื่นชอบและหลงใหลในวัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นตั้งแต่วัยเด็กคาแรคเตอร์ของ tokidoki จึงเป็นส่วนผสมกันระหว่างการ์ตูนวัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่น อะนิเมะและมังงะ ไลฟ์สไตล์แบบคนอิตาเลียน และสตรีทอาร์ตแบบอเมริกาจากลายเส้นสู่อาร์ตทอยของ tokidoki“โทกิโดกิคือการสะท้อนประสบการณ์ชีวิตและเปรียบเสมือนสมุดบันทึกการใช้ชีวิตของผม ผมเป็นคนอิตาเลียน รักความเป็นญี่ปุ่น ผมอาศัยอยู่ที่ลอสแอนเจลิสมา 18 ปี ดังนั้นผมจึงผสมผสานความรักที่มีต่อญี่ปุ่นและวัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่น ชีวิตส่วนตัว เข้ากับงานสตรีทอาร์ต”ซิโมเน่ เล็กจ์โน่ ให้สัมภาษณ์กับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ในงาน tokidoki ICONIC Bangkok Experience ถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์คาแรคเตอร์ tokidoki ที่มีคนติดตามทั่วโลกคาแรคเตอร์ Tiger Nationงาน tokidoki ICONIC Bangkok Experience เป็นนิทรรศการเต็มรูปแบบของคาแรคเตอร์ขวัญใจระดับโลก tokidoki ครั้งแรกในประเทศไทย จัดแสดงในธีม Follow the Rainbow Journey หรือ ตามรอยเส้นทางแห่งสายรุ้งภายในงานน่าตื่นตาตื่นใจด้วยฟิกเกอร์ขนาดใหญ่ที่ศิลปินสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อนำมาจัดแสดงในไทยโดยเฉพาะ ต้นคริสต์มาสที่ตกแต่งอย่างสวยงามพร้อมด้วยเหล่าคาแรคเตอร์จาก tokidoki ไม่ว่าจะเป็น Moofia, Cactus Friends, Unicorno, Donutella, Tiger Nation ให้เก็บเป็นภาพแห่งความประทับใจฟิกเกอร์ Karl Lagerfeld สไตล์ tokidokiหนังสือ The Art of Simone Legnotokidoki ยังนำคอลเลคชั่นสะสมที่เคยมีผลงานคอลแล็บส์กับแบรนด์ชื่อดังต่างๆ มากมายมาจัดแสดงให้ชมด้วย อาทิ   •  Collection : BE@RBRICK Adios   •  Karl Lagerfeld   •  Strangeco 6” Circus Punks Airlines Adios ปี 2006   •  LeSportsac Collection   •  MyStamp Collection   •  หนังสือ The Art of Simone LegnoMini Playground Zone พื้นที่สำหรับคุณหนูๆผู้สนใจสามารถเดินถ่ายภาพคู่กับบรรดาคาแรคเตอร์ขวัญใจระดับโลกจาก tokidoki สัมผัสเรื่องราวสุดเซอร์ไพรส์ บริเวณโดยรอบของงาน รวมถึง Mini Playground Zone สวนสนุกขนาดย่อมที่จัดเตรียมไว้ให้คุณหนูๆอุโมงค์กระจก เทคนิค Immersive Mirror& Projectionพิเศษสุดกับ Immersive Projection Zone ในรูปแบบอุโมงค์กระจก ให้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศโลกแห่ง tokidoki ด้วยเทคนิค Immersive Mirror& Projection ราวล่องลอยอยู่ในโลกของโทกิโดกิหากสวมเสื้อสีขาว กราฟิกโทกิโดกิจะปรากฏบนตัวชัดเจนขึ้น จะเก็บเป็นภาพนิ่งหรือคลิปวิดีโอก็สวยงามแปลกตาSimone Legno ร่วมระบายสีกับเด็กๆภายในงานเปิดนิทรรศการฯ ซิโมเน่ เล็กจ์โน่ เชิญเด็กๆ ร่วมระบายสีกันอย่างสนุกสนานบนคาแรคเตอร์โทกิโดกิที่เขาวาดเป็นลายเส้นสีดำไว้บนผนังรวมทั้งยังเปิดโอกาสให้กับนักสะสมที่นำโทกิโดกิสะสมส่วนตัวมาขอลายเซ็นและถ่ายรูปอย่างเป็นกันเองเล็กจ์โน่ไม่ได้เซ็นชื่อเล่นๆ แต่เขาตั้งใจเซ็นมากๆ เพราะลายเซ็นของเขาคือภาพกราฟิกคาแรคเตอร์ก็อดซิลลา เขาวาดลายเส้นก็อดซิลลาลงบนของสะสมที่สาวกนำมา บางครั้งก็ระบายสีให้ด้วยกล่องสุ่มคาแรคเตอร์ unicorno ของ tokidokiสติ๊กเกอร์คริสตัลตกแต่งใบหน้าของ tokidokiสีเปลี่ยนสีผมด้วยการหวีเป็นอีกหนึ่งโอกาสพิเศษมากๆ ที่ภายในงานยังมีผลิตภัณฑ์โทกิโดกิจำหน่ายหลายอย่าง อาทิ เครื่องสำอางสำหรับเด็กๆ แทตทูตกแต่งใบหน้าและร่างกาย กระเป๋า ตุ๊กตาผ้ากำมะหยี่ กล่องฟิกเกอร์ปริศนา สีสำหรับระบายที่มีความปลอดภัยกับผู้ใช้“ผลงานส่วนใหญ่ของผมมีน้ำหนักความเป็นญี่ปุ่นมากกว่าความเป็นอิตาเลียนและอเมริกัน” เล็กจ์โน่ กล่าวและว่า “ผมเดินทางไปญี่ปุ่น 62 ครั้ง ห้าปีที่ผ่านมาเพิ่งย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวก็ที่ญี่ปุ่น”ซิโมเน่ เล็กจ์โน่ เกิดเดือนมิถุนายน พ.ศ.2520 ในกรุงโรม การเดินทางไปญี่ปุ่นแล้ว 62 ครั้ง ในช่วงอายุ 46 ปี เป็นคำตอบได้ดีว่าเขาหลงรักญี่ปุ่นเพียงใดซิโมเน่ เล็กจ์โน่ กับภาพพิเศษสร้างสรรค์เพื่อมาแสดงงานครั้งแรกในไทยสำหรับการเดินทางมาแสดงผลงานในประเทศไทยครั้งแรกนี้ ซิโมเน่ เล็กจ์โน่ ได้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นพิเศษ 1 ชิ้น สื่อถึง วัฒนธรรมไทยและความเป็นประเทศไทย ที่เขาสัมผัสได้“ผมเคยเดินทางมาประเทศไทยราวๆ  30-32 ครั้ง ทุกครั้งที่มาก็ได้รับแรงบันดาลใจใหม่ๆ ภาพนี้บอกความรู้สึกที่ผมเห็นประเทศไทยมาโดยตลอด เห็นวัฒนธรรม มีวัดมากมาย มีความเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม ความสุข ผู้คนใจดี สีสันของดอกไม้ ผมนำความรู้สึกเหล่านั้นมาถ่ายทอดเป็นคาแรคเตอร์ที่มีความร่วมสมัยในสไตล์ของโทกิโดกิ” เล็กจ์โน่ กล่าวถึงภาพวาดที่มีสตรีสวมชฎาในท่ายกมือขึ้นไหว้ราวจะทักทายว่า “สวัสดี”วันเปิดนิทรรศการ tokidoki ICONIC Bangkok Experienceนิทรรศการ tokidoki ICONIC Bangkok Experience จัดแสดง ณ ICON Art & Culture Space ชั้น 8 ไอคอนสยาม ร่วมกันจัดโดย ไอคอนสยาม และ บริษัท อาส์คมี จำกัด วันนี้-31 มีนาคม 2567แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1108353

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X