คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันภัย

เรื่องควรรู้ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ”

29/04/2024

บทความโดย "ชัญญาพัชญ์ อัครกิจวณิชย์" ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทยวันที่ 23 มกราคม 2567 อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นล่วงหน้าได้ ผู้ใช้รถยนต์จึงให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยรถยนต์ โดยประกันภัยมีความจำเป็น 2 ฉบับคือการทำประกันภัยภาคบังคับ หรือ “พ.ร.บ.” (พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ) และการทำประกันภัยภาคสมัครใจ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง ในกรณีที่อาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด จนทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถควบคุมได้ หมายความว่า การทำประกันภัยรถยนต์ จึงเป็นการโอนความเสี่ยง โดยให้บริษัทประกันภัยเข้ามาดูแลจัดการแทนทั้งนี้เชื่อว่าหลาย ๆ  คน ที่เป็นผู้ใช้รถยนต์และทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ยังไม่ทราบถึงสิทธิของตนที่พึงได้รับจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถเช่น ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุและผู้ใช้รถยนต์เป็นฝ่ายถูก ไม่สามารถใช้งานรถยนต์ได้ในระหว่างซ่อมทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีการเดินทาง เช่น นั่งรถโดยสารสาธารณะ หรือรถ Taxi อาจทำให้เกิดความไม่สะดวก และอาจมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น และในบางกรณีอาจเสียรายได้ในระหว่างรถกำลังซ่อมในกรณีนี้ผู้ใช้รถยนต์สามารถเรียกร้องค่าสินไหมที่เกิดจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถจากบริษัทประกันของคู่กรณีได้ (เฉพาะกรณีที่ผู้ใช้รถยนต์เป็นฝ่ายถูกเท่านั้น)ใครบ้าง ? มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ   •  ผู้เสียหาย/ผู้ใช้รถยนต์ที่เป็นเจ้าของรถ (เป็นฝ่ายถูก) เกิดอุบัติเหตุรถชน   •  คู่กรณีที่มีการทำประกันภัยรถนต์ภาคสมัครใจ (เป็นฝ่ายผิด)เรียกร้องเงินค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ได้เท่าไหร่บ้างสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดความคุ้มครองค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ เพื่อไม่ให้บริษัทประกันภัยจ่ายในจำนวนที่ต่ำเกินไป ดังนี้   •  รถยนต์ส่วนบุคคล ขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง ได้รับการชดเชยในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท   •  รถยนต์รับจ้างสาธารณะ ขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง ได้รับการชดเชยในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท   •  รถยนต์ขนาดเกินกว่า 7 ที่นั่ง ได้รับการชดเชยในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาทเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สำหรับผู้ใช้รถยนต์ที่มีการทำประกันรถยนต์ก็จะมีความสบายใจ อุ่นใจ เมื่อมีบริษัทประกันมาดูแลรับผิดชอบค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นตามความคุ้มครองที่ได้รับแต่ละประเภทของประกันภัยนั้น ๆดังนั้น หากตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายผิด สามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถในระหว่างซ่อมจากบริษัทประกันของคู่กรณีได้ แต่หากผู้ใช้รถยนต์ทำประกันภัยเฉพาะ พ.ร.บ. ซึ่งคุ้มครองคน ไม่คุ้มครองทรัพย์สิน ก็จะไม่สามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ที่สำคัญเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก การติดกล้องหน้ารถยนต์ก็เป็นตัวช่วยที่สามารถใช้เป็นหลักฐานลดข้อขัดแย้งในการเจรจาได้ อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยได้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ผู้ใช้รถยนต์ควรรู้ เพื่อรักษาผลประโยชน์และสิทธิอันพึงได้รับจากการทำประกันภัยได้อนึ่ง คำสั่งนายทะเบียน ที่ 70/2561 เรื่อง ให้แก้ไขแบบ ข้อความกรมธรรม์ประกันภัย และเอกสารแนบท้ายของกรมธรรม์ประกันภัย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2562แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1482340

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง

29/04/2024

คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ผู้เขียน : Actuarial Business Solutions [ABS] ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง (Liquidity Risk) คือ สภาพคล่อง หรือความสามารถที่จะเปลี่ยนสินทรัพย์ตัวที่ถืออยู่ให้เป็นเงินสดได้เร็ว และไม่เสียมูลค่า (ใช้เวลาน้อย และสูญเสียมูลค่าของตัวเงินน้อยที่สุด) ยังมีคำคำหนึ่งที่น่าสนใจ คือ Marketability ซึ่งแปลว่า ความสามารถที่สามารถซื้อขาย Security ได้ (ถ้ามีตลาดที่ Active ก็แสดงว่ามี Marketability ที่ดี) ความหมายของคำว่า Marketability จึงคล้ายกับคำว่า Liquidity จะต่างกันก็ตรงที่ว่า Liquidity จะเน้นถึงมูลค่า (Value) ที่ไม่ได้สูญหายไป (จากการที่ต้องขายในราคาถูก เพื่อให้มีคนมาซื้อ) ในกรณีที่นักลงทุนต้องการจะขายตราสารหนี้ ก็อาจขายไม่ได้ในเวลาที่ต้องการ หรือขายไม่ได้ ณ ราคาที่ต้องการ เช่น ราคาที่ขายจริงต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น หากนักลงทุนมีความประสงค์ที่จะถือตราสารหนี้ไปจนครบกำหนด ก็ไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงนี้ Liquid Market ก็คือตลาดที่พร้อมที่จะมีคนซื้อ และคนขายทุกเวลา ส่วนตลาดที่มี Deeply Liquidity ก็คือตลาดที่มีคนซื้อ และคนขายในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งจะสังเกตได้ว่า Treasury Bonds จะมี Liquidity สูงกว่า Corporate Bond หรือ Debenture บริษัทหลายบริษัท (รวมทั้งบริษัทประกันชีวิต) ที่เคยเห็นว่าประสบภาวะล้มละลาย ก็เนื่องมาจาก Liquidity นั่นเอง เนื่องจากสินทรัพย์ที่ถืออยู่ไม่สามารถนำมาขายในตลาดเพื่อเอามาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ได้ทัน (เลยถูกฟ้องล้มละลาย) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเรื่องก็เริ่มจากการที่ 1.ขาดสภาพคล่องเล็กน้อย หรือบริษัทเกิดภาวะขาดทุน หรือไม่มีเงินทุน (Capital) หรือเกิดการทุจริตในบริษัทกัน 2. นักจัดอันดับการลงทุนลดลำดับลง คนในตลาดเริ่มขาดความเชื่อมั่นกับบริษัท ซึ่งทำให้ชื่อเสียงบริษัทเริ่มหดหาย 3. คนเริ่มแห่กันถอนเงินจากบริษัท บริษัทเริ่มขาดสภาพคล่องมากขึ้น แถมมีภาระต้องชำระหนี้อีก นักจัดอันดับการลงทุนก็ลดลำดับลงไปอีก (เรียกว่าเกิด Spiral Effect ภาษาพื้น ๆ เรียกว่า โดน 2 เด้ง) 4. บริษัทหาทางขาย แต่คราวนี้ไม่มีใครกล้าซื้อ จึงทำให้ต้องขายราคาที่ถูกมากกว่าที่ควรจะเป็น LTCM (ตั้งขึ้นโดยคนได้รับรางวัลโนเบล) ก็เคยประสบปัญหาในเรื่อง Liquidity เหมือนกัน แล้วก็ต้องขายกิจการไป เนื่องจากถือพันธบัตรของรัสเซีย แล้วตอนนั้นพันธบัตรเกิด Default ขึ้นมา ซึ่งก็เป็นตัวจุดประกายให้ LTCM เริ่มขาดสภาพคล่อง คนที่รู้ข่าวไม่ดี เริ่มกลัวก็เริ่มถอนออกไป สุดท้ายก็ขอสรุปว่า พอปัญหามันเกิดอย่างคาดไม่ถึง ทุก ๆ อย่างก็ทับถมประดังกันเข้ามาพร้อมกัน จนบริษัทล้มครืนลงในปี ค.ศ. 1998 บริษัทได้สูญเสียเงิน 4.6 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 4 เดือนเท่านั้น Liquidity : The ability of an asset to be converted into cash quickly and without any price discount. Marketability : A measure of the ability of a security to be bought and sold. If there is an active marketplace for a security, it has good marketability. Marketability is similar to liquidity, except that liquidity implies that the value of the security is preserved, whereas marketability simply indicates that the security can be bought and sold easily. การจะสร้างระบบการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพในองค์กรนั้น มีขั้นตอนการดำเนินงานที่สำคัญดังต่อไปนี้ - สร้างระบบการวิเคราะห์ที่เข้มแข็ง สำหรับงานด้านการคำนวณระดับความเสี่ยง สัดส่วนทุนที่เหมาะสม และการประเมินเหตุการณ์ต่าง ๆ ในตลาดและสภาพคล่อง ควรจำกัดผลของปัจจัยกระทบจากตลาดให้น้อยที่สุด ควบคู่ไปกับการแสวงหาโอกาสในการทำกำไรส่วนต่างที่ดีอยู่เสมอ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการวิเคราะห์ผลของการเปลี่ยนแปลงต้นทุนและสภาพคล่อง เพื่อการตอบสนองที่ทันการณ์ - บริหารจัดการข้อมูล ควรต้องมีมุมมองที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสภาพคล่องภายในองค์กร ด้วยการนำข้อมูลตลาดที่ทันสมัยมาใช้ในการพิจารณา รวมถึงข้อมูลการลงทุนต่าง ๆ ผลตอบแทนสินทรัพย์ทางการเงิน และภาพรวมสภาพคล่องในตลาด ซึ่งอัพเดตสถานการณ์หลายครั้งในแต่ละวัน - ผสานการรับมือและบริหารจัดการความเสี่ยงเข้าในกระบวนการทำงาน จะต้องสามารถประเมินมูลค่าของพอร์ตและชุดสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อน ด้วยการผสานการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และการวิเคราะห์สถานการณ์จำลองไว้ด้วยกันภายในระบบเดียว และต้องมีขีดความสามารถในการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในตลาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพคล่องอีกด้วย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1483387

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ไอเดียเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืน เติมโอกาส และทักษะสู่เยาวชน เติมความฝันเด็กไทยในอนาคต

29/04/2024

เปิดแนวคิด ประเด็น และความสำคัญของ ‘การเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืน’ จากผู้ที่มีส่วนร่วมในโครงการไฟ-ฟ้า โดย ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ที่ร่วมกันปลุกพลังเยาวชน ช่วยกันต่อยอดผลงานศิลปะ จุดประกายแนวทางให้เด็กไทย ได้มีโอกาสก้าวสู่สังคมในวงกว้างอย่างมีประสิทธิภาพ“เด็กธรรมดา...คือสิ่งสวยงาม” คำนิยามง่ายๆ บนแนวคิดที่น่าสนใจจากโครงการ ไฟ-ฟ้า โครงการ CSR กิจกรรมเพื่อสังคมของ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี) ที่จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ภายใต้ปรัชญา “Make REAL Change” เพื่อที่จะมอบโอกาสให้กับเยาวชนอายุ 12-17 ปี ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ด้านศิลปะ และกีฬา พร้อมทักษะการใช้ชีวิต และการต่อยอด เพื่อที่นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปพัฒนาในสังคม และคืนสิ่งดีๆ สู่สังคม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆหนึ่งในโครงการที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อ “การเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืน” ที่จะมอบโอกาสการศึกษาเพิ่มเติม ให้แก่เด็กที่มีทางเลือกไม่มากนักทางสังคม โดยกรองเด็กจากความตั้งใจ พื้นหลังของเด็กๆ ที่มีความน่าสนใจ เพื่อมาฟูมฟักให้เด็กเหล่านี้เติบโตมาอย่างประสิทธิภาพการเลือกเยาวชนในช่วงอายุ 12-17 ปี เพราะว่า เด็กวัยนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เริ่มตัดสินใจเอง และควรมีทางเลือกที่ดี รู้จักนำความรู้ไปเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเปลี่ยนชีวิต ครอบครัว ชุมชน และสังคมให้ดีขึ้นในลำดับต่อไปเด็กที่ได้เข้าร่วมโครงการจะสามารถเลือกเรียนสิ่งที่ตนเองสนใจในด้านต่างๆ 8-10 วิชา โดยศูนย์การเรียนรู้ ไฟ-ฟ้า ที่เปิดมาแล้ว 15 ปี ทั้งหมด 5 แห่ง ประกอบไปด้วย ประชาอุทิศ, จันทน์, บางกอกน้อย, สมุทรปราการ และนนทบุรีไทยรัฐออนไลน์ ได้ร่วมพูดคุย กับผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันโครงการ ทุกกระบวนการตั้งแต่ หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน ของทีเอ็มบีธนชาต, ครูอาสาในโครงไฟ-ฟ้า และนักเรียนศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์ที่น่าสนใจ รวมถึงแนวคิดในการผลักดันส่งเสริม การขับเคลื่อนเยาวชนไทยให้ไปสู่งฝั่งฝันอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ คืนความยั่งยืนสู่สังคมในอนาคตมาริสา จงคงคาวุฒิ หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน จากทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี‘การสอนจับปลาแทนการให้ปลา’ ฉนวนปรัชญาสอนเด็ก ที่สร้างความยั่งยืนสู่สังคมบุคคลแรกที่ทางทีมไทยรัฐออนไลน์ ได้ร่วมพูดคุยด้วย คือ คุณสา หรือ มาริสา จงคงคาวุฒิ หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน จากทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เพื่อพูดคุยถึงความเป็นมา แนวทาง ของโครงการไฟ-ฟ้า ที่น่าสนใจนี้ว่า “ตั้งแต่ริเริ่มโครงการมา 15 ปี โครงการไฟ-ฟ้า เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็น เด็ก เพราะเชื่อคำพูดที่ว่า ‘เด็กคือ อนาคตของชาติ’ ถ้าเด็กเติบโตมาอย่างดี มีแนวทางที่ถูกต้อง สังคมคงจะดีขึ้นไม่น้อย”คุณสา กล่าวถึง “ที่มาของคำว่า ไฟ-ฟ้า โดยเปรียบคำว่า ‘ไฟ-ฟ้า’ เหมือนแรงขับเคลื่อน แะการจุดประกายให้แก่เด็กๆ เหล่านี้ โดย ‘ไฟ’ เปรียบเสมือนพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเด็กทุกคน ส่วน ‘ฟ้า’ สีแห่งการให้” หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน เล่าต่อว่า “การทำโครงการนี้เพียงเพื่ออยากปลูกฝังเยาวชนเหล่านี้ได้ค้นพบศักยภาพตัวเอง แล้วก็ผ่านการเรียนรู้ที่ถูกต้อง โดยยึดปรัชญา ‘การสอนจับปลาแทนการให้ปลา’ ที่เน้นเรื่องขององค์ความรู้ที่เด็กๆ สนใจ นำมาต่อยอดสู่ความยั่งยืนได้รอบด้าน”ค่าใช้จ่ายของ ‘ศูนย์การเรียนรู้ ไฟ-ฟ้า’ คือ การคืนความรู้สู่สังคมอย่างยังยื่นปัจจุบันศูนย์การเรียนรู้ไฟ-ฟ้า เปรียบเสมือนแหล่งเรียนพิเศษของกลุ่มเด็ก และเยาวชนที่มีโอกาสทางสังคมไม่มากนัก ซึ่งจะมีวิชา และกิจกรรมที่ไม่ต่างอะไรจากสถาบันสอนพิเศษ ประกอบไปด้วย ศิลปะ มวยไทย เทควันโด เต้น ร้องเพลง การเป็นยูทูบเบอร์ และอีกมากมาย โดยทางศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า จะมีครูอาสา ครูผู้เชี่ยวชาญในสายงานนั้นๆ คอยหมุนเวียนกันมาเติมเต็มความรู้ในด้านต่างๆ ที่นักเรียนนั้นสนใจ โดยศูนย์การเรียนรู้ไฟ-ฟ้า จะเปิดให้บริการแก่นักเรียนทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ เมื่อเด็กๆ มีเวลาว่างก็สามารถมาศึกษาได้ตลอดเวลาตามความสนใจไม่ว่าจะหลังเลิกเรียน หรือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แม้ว่าที่ศูนย์จะเปิดให้เรียนฟรี แต่ทางศูนย์การเรียนรู้ไฟ-ฟ้า จะมีการคัดเลือกเด็กที่มีโอกาสน้อยทางสังคม เพื่อให้ได้มีโอกาสเท่าเทียมกับเด็กคนอื่นๆคุณสา มาริสา เล่าถึงขั้นตอนการคัดเลือกว่า “การคัดเลือกของเราจะเลือกจากเด็กที่มีรายได้น้อย ไปจนถึงปานกลาง เราจะมุ่งเน้นไปที่เด็กที่ขาดโอกาส หรือมีต้นทุนไม่เท่ากับเด็กคนอื่นๆ ด้วยการสัมภาษณ์”เติมความรู้ในส่วนที่สามารถ ลดโอกาสที่มีไม่เท่ากันของเด็ก คุณสา เล่าว่าในเรื่องนี้ว่า “ปัจจุบันมีเด็กที่ไม่มีโอกาสมากมายในสังคม บางครอบครัว แค่ส่งลูกเรียนโรงเรียนประจำก็เป็นภาระที่หนักแล้ว ทางเราจึงริเริ่มโครงการนี้เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่เด็กเหล่านี้ได้สัมผัสโอกาสเท่าเด็กคนอื่นๆ บ้าง” “แม้ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เรามีขอข้อแม้ที่เป็นเงื่อนไข คือ เด็กที่จบการศึกษาจากเราไป ต้องคืนความรู้ที่ได้จากเราไปคืนสู่สังคมไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เช่น รูปแบบผลงานที่มูลนิธิผลักดันที่ สร้างรายได้ นำคืนสู่มูลนิธิเพื่อโอกาสของเด็กรุ่นถัดไป การแชร์ประสบการณ์ หรือการกลับมาต่อเติมองค์ความรู้ ที่สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม วนเวียนเป็นวัฏจักรที่สร้างสรรค์ต่อไป”สุดท้ายแล้ว คำนิยามของคำว่า ‘การเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืน’ “เด็กพอมีความรู้ มีวิธีการต่อยอด เด็กที่ด้อยโอกาสก็จะไม่ต้องมานั่งรอโอกาส รอเงินบริจาคอีกต่อไป แต่สามารถต่อยอดความรู้นี้ นำไปสร้างรายได้ได้ด้วยตนเอง รวมทั้งอย่างที่กล่าวไปข้างต้น คือ การกลับมา นำความรู้ที่ได้ มาต่อยอดให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะกลาง ถึงระยะยาว ที่ทรงประสิทธิภาพ คืนคุณค่าดีๆ ทั้งสู่ตัวเด็ก ครอบครัว ชุมชน และสังคมอย่างยั่งยืนในที่สุด” คุณสา หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน กล่าวทิ้งท้ายไฟ-ฟ้า โดย ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จึงเป็นหนึ่งในโครงการแห่งการ “ให้” ที่ยั่งยืน และได้จับมือพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA BANGKOK) ต่อยอดผลงาน และไอเดียสร้างสรรค์ของเด็กไฟ-ฟ้า ในคลาสศิลปะให้ทดลองลงสนามจริง เพื่อจุดประกายและพัฒนาศักยภาพของเด็กๆโดยการเปิดพื้นที่ MOCA BANGKOK จัดนิทรรศการแสดงผลงานของเยาวชน นำเสนอให้สังคมได้เห็นพลังของเด็กๆ ที่ซ่อนอยู่เพื่อรอ “โอกาส” และ “การให้” มาเติมเต็มความมั่นใจให้มีเส้นทางที่เด่นชัดสามารถเปล่งประกายเป็นผลงานที่โดดเด่นออกสู่สายตาสาธารณชนในวงกว้าง พร้อมเปิดให้ทุกคนสัมผัสประสบการณ์ทางศิลปะและการสร้างสรรค์ผลงานสู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพของเด็ก ๆ ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม-4 กุมภาพันธ์ 2567เก๋ บุณยนุช วิทยสัมฤทธิ์ เจ้าของแบรนด์แฟชั่น 31 Thanwa ครูอาสาโครงการไฟ-ฟ้าโครงการเหล่านี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้ และไม่สามารถผลิดอกออกผล ถ้าไม่มีผู้ที่คอยเติมความรู้ ประสบการณ์ และเทคนิคต่างๆ เพื่อขับเคลื่อน สร้างแรงกระตุ้นให้แก่เด็ก และเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้มีศักยภาพเพื่อก้าวสู่โลกแห่งความเป็นจริง เก๋ บุณยนุช วิทยสัมฤทธิ์ เจ้าของแบรนด์แฟชั่น 31 Thanwa ครูอาสาโครงการไฟ-ฟ้า ได้มาร่วมแชร์ประสบการณ์ แรงบันดาลใจ และมุมมองของการเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้เก๋ บุณยนุช กล่าวถึงความในใจว่า “จุดเริ่มต้นในการเข้ามาทำงานกับโครงการไฟ-ฟ้า เกิดจากการชักชวนของคนรู้จัก และตอบตกลงอย่างง่ายดาย เพียงเพราะเรารู้สึกว่ามันเป็น โครงการที่เจ๋งดีนะ เหมือนเป็นการช่วยพัฒนาความสามารถของเด็กๆ น้องๆ ให้เขามีแนวทางปฏิบัติ มีความรู้ในการนำไปต่อยอดให้กับตัวเองได้ จึงเกิดความรู้สึกที่อยากจะมาช่วยเด็กๆ อย่างเต็มที่ เพราะเรามีพื้นฐานการเป็นอาจารย์พิเศษอยู่แล้วด้วย จึงมีความสุขมากๆ ที่ได้เข้าแชร์ประสบการณ์ และมาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้”“ตัวเก๋เอง ยังมองว่า การเข้ามาทำในหน้าที่ตรงนี้ แม้จะเป็นหนึ่งในการให้ที่เล็กๆ สำหรับตัวเราเอง แต่กลับยิ่งใหญ่มากๆ สำหรับเด็กเหล่านี้ ที่จะได้เติบโตไปอย่างมีคุณภาพ มีคุณค่า และโอกาสทางสังคมที่เขาอาจมีไม่เท่าคนอื่นในวัยเด็ก ให้เติบโตอย่างดี เพื่อชีวิตที่ดีของเขาในอนาคต ทั้งตัวเด็กเอง ครอบครัว ชุมชน หรือแม้กระทั่งสังคมด้วยเช่นกัน”การเปลี่ยนแปลงของเด็กในยุคใหม่ บนโลกที่ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วเจ้าของแบรนด์แฟชั่น 31 Thanwa ให้ความเห็นว่า “นี่คือ หนึ่งในปัจจัยที่เราอยากเข้าไปมอบประสบการณ์ และผลักดันตัวเราในการเข้าไปสอนน้องๆ เหมือนกันนะ เพราะว่า ในสมัยเราเด็กๆ กว่าเราจะได้ประสบการณ์อะไร ต้องอดทน พยายามเรียนรู้ด้วยตัวเอง กลับกันเด็กเหล่านี้ในปัจจุบันเติบโตกันอย่างรวดเร็ว การที่เราได้เข้ามาเติมองค์ความรู้ สอนประสบการณ์จึงเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้ผลักดันน้องๆ ให้ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ บนเส้นทางที่เหมาะสม มีภูมิต้านทานที่ดี และมีกำลังใจในช่วงวัยที่สำคัญ”คุณเก๋ กล่าวเสริมว่า “หลังจากได้เข้าไปสอนแล้ว ก็ตกใจเหมือนกันว่า เด็กสมัยนี้เติบโตไวมาก เรียนรู้ไว มีความตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จ และความพิเศษของเด็กเหล่านี้ที่เขาไม่ได้มีกำลังเท่ากับเด็กคนอื่นๆ เขาจึงพยายาม และเรียนรู้ด้วยตนเองได้ไวกว่าคนอื่นๆ ในเชิงความรู้ ความเข้าใจ”“เก๋ จึงหยิบนำเนื้อหาที่จะสอนอื่นๆ ที่ไม่ใช่หลักสูตรในชีวิตประจำวัน แต่จะสอนไปในด้านอื่นๆ ที่เด็กๆ จะสามารถนำมาดัดแปลงประยุกต์ใช้ได้ เช่น ด้านธุรกิจ หรือแรงบันดาลใจในการนำสิ่งที่ชอบมาต่อยอด เพราะว่าสุดท้ายแล้วเด็กเหล่านี้เขาต้องเติบโต พอโตแล้วมันจะไม่มีคนมาคอยไกด์ คอยสอนแล้วว่าชีวิตจริงอะต้องทำยังไงต่อไป เราจะอยู่แค่ในหลักสูตรไม่ได้ จึงอยากให้น้องๆ ได้ประสบการณ์ในส่วนอื่นๆ ที่สามารถนำไปต่อยอดได้เอง และเพิ่มความสนุกในสิ่งที่ได้จากการเรียนที่มากกว่าเดิม เพราะความเรียนรู้ไวของเด็กสมัยใหม่ เราจึงต้องพัฒนาการเติมความรู้อีกขั้น เพื่อเขาได้รู้จักโลกที่กว้างขึ้นตั้งแต่เด็กๆ”เทคโนโลยี มีส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กเติบโตไดไวกว่าเดิมมุมมองของ เก๋ บุณยนุช วิทยสัมฤทธิ์ มองเด็กยุคใหม่บนโลกแห่งเทคโนโลยีไว้ว่า “ปัจจุบันเด็กเติบโตได้ไวมากในการนำสิ่งที่เรียนรู้ ไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีได้อย่างน่าสนใจ โดยที่เราไม่ต้องสอนเขา แต่บางครั้งเขากลับกลายเป็นคุณครูของเราได้เลยในบางครั้ง”“เชื่อไหมว่า บางผลงานที่เด็กคิดสร้างสรรค์ออกมา ไม่ว่าจะผ่านเทคโนโลยี หรือไอเดียทำให้เราทึ่งได้เหมือนกันนะว่าเด็กสมัยนี้  เติบโตไปได้ไกลกว่าสมัยของเรามากๆ ต้องขอบคุณโลกแห่งเทคโนโลยี และต้องยอมรับว่าเด็กบางคนเก่งกว่าเราเยอะมากเลยนะ ทางเก๋ จึงเลือกหยิบยก การสอนแบบอื่นที่กล่าวไปข้างต้น เพื่อนำมาให้น้องๆ ได้ประยุกต์ใช้แทน เพราะถึงแม้ว่าเด็กเขาจะเก่งมากๆ ก็จริง แต่เด็กเหล่านี้ยังไม่สามารถหาตัวตนของตัวเองได้ชัดเจน หรือมีประสบการณ์ได้มากเท่ากับตัวเรา เราก็เลยทำหน้าที่ผลักดัน เกลาในส่วนนี้ เปิดไอเดียแนวคิดใหม่ๆ ให้เขานำไปคิดต่อยอดเพิ่ม เพื่อปูทางให้เขาเติบโตไปได้ไกลกว่าเดิม เก๋เชื่อนะว่า เด็กเหล่านี้จะสามารถเติบโตไปได้ดีอย่างแน่นอน” คุณเก๋ กล่าวด้วยรอยยิ้มแผนการต่อยอด ที่มากกว่าการเรียน การสอน คือ “การพาเด็กลงสนามรับประสบการณ์จริง”เนื่องจากการเติบโต และพัฒนาการของเด็กๆเหล่านี้นั้นไวกว่าเดิม ทางไทยรัฐออนไลน์จึงสอบถามไปยัง เก๋ บุณยนุช ว่าอยากให้เด็กๆ ได้ลองอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมกว่านี้อีกบ้าง โดยแผนของ เจ้าของแบรนด์แฟชั่น 31 Thanwa เป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมากเก๋ บุณยนุช ได้ เล่าแนวทางแก่เราว่า “ตัวเก๋เอง มีแบรดน์ธุรกิจแฟชันเป็นของตัวเอง เก๋ จึงมีไอเดียว่า อยากนำผลงานศิลปะของน้องๆ มาคอลแลบส์ลงบนสินค้าของเก๋เลย เนื่องจากว่า อยากให้น้องๆ รู้สึกภูมิใจในผลงานของตัวเองมากขึ้น และสัมผัสกับประสบการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกว่าผลงานของเขาได้ ‘ลงสนามจริง’ แล้วนะ มีสินค้าขึ้นห้าง งานของเขาจะมีผลตอบรับอย่างไร ถูกใจตลาดหรือเปล่า แล้วรอบหน้าควรปรับแก้ตรงไหนเพื่อมอบประสบการณ์ที่ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ ให้แก่ตัวเด็กๆ โดยไม่ใช่ผลงานที่ตัวน้องเขานำไปขายในที่ต่างๆ และถูกซื้อเพียงเพราะความสงสาร ความอยากอุดหนุน บนแฟลตฟอร์มการบริจาคเพียงเท่านั้น“เพียงเพราะว่าอยากให้เด็กๆ รู้สึกว่าเขาเป็นศิลปิน โดยเชื่อว่า อาจเป็นไอเดียที่เติมเชื้อไฟ ความมั่นใจ และความมุ่งมั่นให้ลุกโชนแก่เด็กๆ บนโลกแห่งความเป็นจริง” เนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์ นักเรียนศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า ประชาอุทิศเดินทางมาถึงคนสุดท้ายแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทาง ไทยรัฐออนไลน์ อยากจะสัมผัสถึงความรู้สึก ด้วยไฟอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เด็กน้อยวัย 15 ปี น้องเนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์ ศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า สาขาประชาอุทิศ ที่จะมาบอกเล่าถึงความรู้สึก และประสบการณ์ที่ถูกเติมเต็มด้วยการเดินลงสนามจริง ในการที่ได้โชว์ผลงานศิลปะอันสร้างสรรค์ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA BANGKOK) จะรับพลังบวก และความรู้สึกอย่างไรกลับไปต่อยอดในการใช้ชีวิตในอนาคตข้างหน้าทีมไทยรัฐออนไลน์ได้เจอกับ น้องเนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์ อายุวัยเพียง 15 ปี เด็กตัวเล็ก บุคลิกร่าเริงปนความเขินอายเพียงเล็กน้อย จึงได้มีโอกาสพูดคุย และสอบถามถึงความตั้งใจ ความใฝ่ฝัน และความรู้สึก ต่อผลงานในครั้งนี้จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ถูกต่อยอดจนยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจเด็กตัวเล็กวัยเพียง 15 ปี กล่าวถึง จุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มหลงรักในงานศิลปะ เพียงเพราะว่า ชอบวาดรูปเป็นงานอดิเรก และสนใจที่จะต่อยอดความรู้ โดยการก้าวเข้ามาเรียนเพิ่มเติมที่ศูนย์เรียนรู้ ไฟ-ฟ้า สาขาประชาอุทิศ น้องเนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์ เล่าถึงแรงบันดาลใจดังกล่าวว่า “จริงๆ ในช่วงแรกๆ ไม่ได้ชอบการวาดรูปสักเท่าไร จนกระทั่งเพื่อนได้ชวนหนูไปนั่งวาดรูปเล่น ในช่วงประถมศึกษาปีที่ 1 จนมารู้ตัวอีกทีว่า ‘ตัวหนูเองได้นั่งวาดรูป และคลุกคลีไปกับมันทั้งวันไปแล้วเรียบร้อย’ จนกลายเป็นชอบไปโดยปริยาย ซึ่งตอนนี้ก็ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นที่เรียบร้อย”น้องเนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์ เล่าถึงแรงบันดาลใจดังกล่าวว่า “จริงๆ ในช่วงแรกๆ ไม่ได้ชอบการวาดรูปสักเท่าไร จนกระทั่งเพื่อนได้ชวนหนูไปนั่งวาดรูปเล่น ในช่วงประถมศึกษาปีที่ 1 จนมารู้ตัวอีกทีว่า ‘ตัวหนูเองได้นั่งวาดรูป และคลุกคลีไปกับมันทั้งวันไปแล้วเรียบร้อย’ จนกลายเป็นชอบไปโดยปริยาย ซึ่งตอนนี้ก็ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นที่เรียบร้อย”“ในระยะเวลา 8 ปี พอรู้ว่าตัวเองเริ่มรักในงานศิลปะ ก็เริ่มสนใจไปศึกษางานของศิลปินท่านอื่นๆ หลายๆคน รวมถึง รุ่นพี่ที่โรงเรียน เขาวาดออกมาดูสวยมาก เลยเป็นแรงผลักดันให้ผลงานของตนเองออกมาเป็นแบบนั้นบ้าง” เทคนิคการเรียนรู้ในห้องเรียน ที่ถูกต่อยอดด้วยเทคโนโลยีเนย กล่าวว่า นอกจากการได้ศึกษาประสบการณ์ เทคนิคต่างๆ ให้ห้องเรียนแล้ว บ่อยครั้งตนได้นำเทคนิคที่ได้มาผสมผสานกับ เทคนิคของภาพจากศิลปินท่านอื่นๆโดยการที่ลองไปดูงานต่างๆ บน YouTube (ยูทูบ) และ Pinterest (พินเทอเรส) บนโลกออนไลน์ จนเกิดเป็นภาพใหม่ในหัว และลงมือวาดภาพจากจินตนาตรงนั้นออกมามุมมองของ เด็กวัย 15 ปี ถึงการต่อยอดการเป็นศิลปินในอนาคตเนย กฤตยา มีมุมมองที่มาเล่าให้แก่ทีมงานว่า “ตัวเนยเอง ยังไม่แน่ใจว่าจะประกอบเป็นอาชีพ และมีชื่อเสียงได้ขนาดนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่ายังหาตัวเองไม่เจอขนาดนั้น และมีสิ่งอื่นที่อยากทดลองทำอยู่อีกมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม กำไรชีวิตจากงานประสบการณ์ ก็มีความคิดที่จะอยากนำประสบการณ์ตรงนี้ไปต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ให้กับหนู ไม่ว่าจะไปทิศทางไหนก็ตาม แต่ก็มีศาสตร์เกี่ยวกับศิลปะที่อยากนำไปต่อยอดอยู่เหมือนกัน โดยการใส่ผลงานศิลปะลงสิ่งของต่างๆ เช่น ถุงผ้า แก้วน้ำ รถยนต์ กำแพงบ้านผลงาน และความรู้สึก และประสบการณ์บนสนามจริง ของเด็กวัยเพียง 15 ปีโจทย์ในการนำผลงานมาโชว์ที่ MOCA BANGKOK โดย เนย กฤตยา ได้เล่าว่า พี่หมู (ไตรภัค สุภวัฒนา) ได้ตั้งโจทย์เกี่ยวกับ “พลังแห่งการแบ่งปัน” โดยให้พวกหนูเชื่อว่าเด็กทุกคนมีพลัง ที่สามารถแบ่งปันสังคมที่น่าอยู่ จึงเป็นที่มาของผลงาน fai-fah x PUCK ที่ให้เพื่อนๆ และหนูได้ร่วมออกแบบตัวการ์ตูนที่มีพลังวิเศษในแบบของตนเอง“โดยผลงานของหนู คือ ตัวฮีโร่ที่ชื่อว่า Happy ที่มีพลังพิเศษในการเปลี่ยนขยะให้เป็นดอกไม้ ด้วยการนำขยะมาใส่ลงบนตะกร้า จึงเกิดเป็นภาพของเด็กสาวที่กำลังร่าเริงอยู่บนผืนหญ้าค่ะ” เด็กสาววัย 15 ปี เล่าด้วยรอยยิ้มน้องเนย เล่าถึงความรู้สึกในผลงานเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันมีตัวเองรู้สึกดีใจ เป็นอย่างมากที่ได้มีผลงานในการนำมาโชว์ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย หรือ MOCA BANGKOK แห่งนี้ เหมือนกับว่าให้พวกหนูได้มาโชว์ฝีมือให้คนได้เห็น และภูมิใจกับความสามารถของตนเอง ซึ่งกว่าจะมีผลงานมาโชว์ที่นี่ได้ก็ใช้ระยะเวลาพอสมควรค่ะ”หนึ่งผลงานที่มาจากความสามารถ และความเพียรพยายามของ ‘เนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์’ เด็กตัวเล็กๆ วัย 15 ปี ได้ส่งพลังบวกให้กับผู้ร่วมพูดคุยเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าจะสามารถสร้างรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่นที่เข้ามาชมผลงานได้อีกมากมาย สุดท้ายแล้วทาง ทีมไทยรัฐออนไลน์ จึงอยากให้น้องนั้นได้ฝากความคิดเห็น และสิ่งที่อยากให้ทางครอบครัว สถานศึกษา และภาครัฐ ช่วยสนับสนุนเรื่องเกี่ยวกับศิลปะ และการศึกษานั้นมีด้านใดบ้าง น้องเนย กฤตยา เด็กสาววัยเพียง 15 ปี ตอบกลับมาว่า ‘มีเรื่องอยากฝาก’ ได้อย่างรวดเร็ว ถึงข้อเสนอแนะที่อยากฝากต่อถึงหน่วยงาน และสถาบันเหล่านี้ว่า“ลำดับแรก อยากฝากถึงสถาบันการศึกษาว่า อยากให้เลิกกำหนดกรอบ และกฎเกณฑ์ที่มาครอบงานศิลปะอย่างจริงจัง ศิลปะเป็นศาสตร์ที่ไร้กฎเกณฑ์ ไม่มีผิดมีถูก เชื่อว่าคนทุกคนมีความชอบ อิสระทางความคิดที่ไม่เหมือนกัน และความถนัดที่แตกต่างกัน จึงอยากให้ การให้คะแนนผลงานในวิชาศิลปะที่เด็กทำ ไม่ได้มาจากการลงสีต้องถูกต้อง เส้นการวาดภาพต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกัน แต่อยากให้ดูที่จินตนาการ ความคิด และไอเดียเป็นคะแนนหลักเสียมากกว่า โดยกฎเกณฑ์เหล่านี้อาจเป็นองค์ประกอบเพิ่มในชิ้นงาน”“ส่วนสถาบันครอบครัว เนยอยากฝากให้เขาส่งเสริม และให้กำลังใจเด็กค่ะ บางครั้งเด็กที่เขาอยากทำงานทางศิลปะจริงๆ คงไม่อยากถูกบังคับ และอยากให้เชื่อว่าศิลปะมันสามารถต่อยอด เป็นอาชีพได้ค่ะ”ผู้ที่ชื่นชอบศิลปะ สามารถไปให้กำลังใจ และชมผลงานของน้องๆ ศูนย์การเรียนรู้ไฟ-ฟ้า ทั้ง 5 สาขาได้ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย หรือ MOCA BANGKOK โดยงานศิลปะภายในงานจะคัดเลือกเสนอผลงานที่โดดเด่นของเด็กไฟ-ฟ้า คลาสศิลปะ กว่า 50 ผลงาน ที่ได้นำมาจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการ ภายใต้แนวคิด “เด็กธรรมดา...คือสิ่งสวยงาม” ซึ่งเป็นการต่อยอดกิจกรรมสำคัญที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีอย่าง fai-fah art fest ที่เนรมิตทีทีบี แบงก์กิ้ง ฮอลล์ เป็นพื้นที่โชว์เคสผลงานและการแสดงของเด็กไฟ-ฟ้า ให้ผู้บริหาร บุคลากร และลูกค้าของธนาคาร การนำผลงานของเด็ก ๆ มาจัดนิทรรศการบนหอจัดแสดงชื่อดังอย่างMOCA BANGKOK จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะทำให้บุคคลทั่วไปได้เห็นถึงพลังและศักยภาพของ ‘เด็กไฟ-ฟ้า’ รวมถึงสร้างความภูมิใจให้กับเด็ก ๆ ว่าผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2756582?gallery_id=3

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

อัปเดตข้อมูล 2567 บัตรประชาชนหมดอายุ บัตรประชาชนหาย ขึ้นเครื่องบินได้ไหม

29/04/2024

อย่างที่ทราบกันว่าบัตรประชาชนเป็นเอกสารราชการสำคัญในการยืนยันตัวตนในการดำเนินการหลายอย่าง รวมไปถึงเวลาจะเดินทางขึ้นเครื่องบิน หลายคนสงสัยว่าหากบัตรประชาชนหมดอายุ หรือบัตรประชาชนหายจะเดินทางได้หรือเปล่า และต้องทำอย่างไรบัตรประชาชนหมดอายุ บัตรประชาชนหายขึ้นเครื่องบินได้ไหม ?การเดินทางด้วยเครื่องบินเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ และการยืนยันตัวตนก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนนั้น ดังนั้นทุกสายการบินจะต้องมีการตรวจเช็กให้แน่ใจว่าผู้โดยสารขึ้นเครื่องกับผู้ถือบัตรคือบุคคลเดียวกัน ดังนั้นบัตรประชาชนจึงเป็นเอกสารสำคัญ ดังนั้นบัตรประชาชนหมดอายุไม่สามารถใช้แสดงตัวตนเพื่อขึ้นเครื่องได้ เพราะบัตรประชาชนหมดอายุถือเป็นเอกสารที่หมดอายุตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 และไม่สามารถนำมาใช้ยืนยันตัวตนได้ตามกฎหมายเอกสารที่ใช้ยืนยันตัวตอนเช็กอิน นอกเหนือจากบัตรประชาชนมีดังนี้สำหรับการเดินทางในประเทศ สายการบินส่วนใหญ่อนุญาตให้ใช้เอกสารอื่นๆ แทนบัตรประชาชนได้   •  หนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต   •  บัตรนักเรียน นักศึกษาหรือบัตรข้าราชการ   •  บัตรประจำตัวพนักงานรัฐวิสาหกิจ   •  บัตรประจำตัวผู้พิการ   •  ใบอนุญาตขับขี่   •  บัตรประจำตัวคนไร้ที่พึ่ง   •  บัตรประจำตัวคนพิการทางสติปัญญา   •  บัตรประจำตัวคนพิการทางหูหรือทางการได้ยิน   •  เอกสารใบแจ้งความ หากบัตรประชาชนหายก่อนการเดินทางหลายวัน สามารถแจ้งความที่สถานีตำรวจเพื่อความปลอดภัยป้องกันมิจฉาชีพแอบอ้างใช้บัตรประชาชนของคุณ และนำเอกสารใบแจ้งความนี้มาใช้แทนบัตรประชาชนที่สูญหายในการยืนยันตัวตนก่อนขึ้นเครื่องได้อย่างไรก็ตามทุกบัตรที่ใช้แทนต้องออกโดยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ระบุชื่อ นามสกุล รูปถ่าย และหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน  13 หลักชัดเจนสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ผู้โดยสารจะต้องใช้หนังสือเดินทางที่มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือนก่อนวันหมดอายุทั้งนี้หากทำบัตรประชาชนหายระหว่างกำลังจะเดินทาง (ภายในประเทศ) สามารถแจ้งความภายในสนามบินดอนเมือง บริเวณอาคาร 1 ประตู 8 (เป็นของสน.ดอนเมือง) หรือภายในสนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารชั้น 1 (เป็นของสภ.สุวรรณภูมิ)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/travel/1446647/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดกิจกรรม AIA Thailand Championship 2024 เฟ้นหาสุดยอดนักเตะตัวแทนประเทศไทย ร่วมแข่งขันรอบ Grand Final ณ ประเทศอังกฤษ

29/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย จัดกิจกรรม AIA Thailand Championship 2024 เพื่อเฟ้นหานักเตะตัวแทนประเทศไทย ร่วมแข่งขันฟุตบอลในโครงการ AIA Championship 2024 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ได้มีการจัดเวิร์คช็อปฝึกซ้อมทักษะการเตะฟุตบอลให้กับทีมที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รอบการแข่งขัน AIA Thailand Championship 2024 ซึ่งประกอบด้วยทีมชายจำนวน 6 ทีม และทีมหญิงจำนวน 5 ทีม โดยโค้ชสัจจา ศิริเขตต์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย มาแนะนำเทคนิคการเตะฟุตบอล รวมถึงข้อกำหนด และกฎกติกามารยาทในการลงเตะในสนามจริง สร้างความคึกคักให้กับเพื่อนพนักงานเอไอเอ ประเทศไทย ที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังได้มีตัวแทนจากชมรมฟุตบอลเอไอเอ ประเทศไทย มาร่วมสาธิตการเตะให้กับเหล่าบรรดาทีมที่เข้าร่วมเวิร์คช็อปในครั้งนี้อีกด้วย โดยกิจกรรมเวิร์คช็อปจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 ณ บริเวณลานกิจกรรม ชั้น 8 อาคารเอไอเอ ทาวเวอร์ 2 และจะมีการจัดการแข่งขันรอบคัดเลือกขึ้นในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 ณ สนามฟุตบอล ฟิวเจอร์ อารีน่า รังสิต เพื่อนำทีมที่ชนะเดินทางไปแข่งขันในรอบ Grand Final ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม 2567 นี้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สุขภาพ

หมอเล่าเคสมะเร็งตับคร่าคนไข้วัย 37 ใน 2 เดือน ออกกำลังกาย ไม่ดื่ม มีประวัติติดเชื้อไวรัสตับ

29/04/2024

มะเร็งตับคร่าชีวิตผู้ป่วย อายุ 37 ใน 2 เดือน หมอเผยออกกำลังกาย ไม่ดื่ม มีประวัติ ‘ติดเชื้อไวรัสตับ’ แต่ไม่ติดตามอาการต่อ แนะคนทั่วไปตรวจไวรัสตับ-แพทย์หมั่นอัพเดตความรู้เคสผู้ป่วยอายุ 37 ปี เสียชีวิตด้วย “มะเร็งตับ” ที่เพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล เปิดเผยเมื่อวันก่อน ได้รับความสนใจอย่างมากมาย เนื่องจากคนไข้ออกกำลังกาย ไม่ดื่มเหล้า ทว่ามีประวัติตรวจพบการติดเชื้อไวรัสตับเมื่อนานมาแล้ว กระทั่งนำมาสู่โรคร้าย ก่อนจากไปในเวลา 2 เดือนหลังตรวจพบ โดยเคสนี้แพทย์เจ้าของเพจระบุว่า เป็นคนไข้ของตนเองเพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล เปิดเผยว่า #ทำความรู้จัก #หน้าตามัจจุราช สองภาพนี้เป็นของคนไข้ของผมเอง เป็นภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT scan จากบริเวณช่องท้องส่วนบน ส่วนใหญ่ของนั่นคือตับที่โตผิดปกติเนื้อตับปกติ หน้าตาจะประมาณมุมซ้ายล่าง ออกสีขาวเป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนที่เหลือเกินครึ่ง ที่มีสีดำ กระจายแทรกไปทั่วๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง นั่นคือสิ่งผิดปกติ ในที่นี้คือ มะเร็ง (ใช้คำว่า ในที่นี้ เพราะบางกรณีจุดดำๆ มันก็เป็นอย่างอื่นได้นะครับ เช่น ถุงน้ำ หนอง)ภาพจากเพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาลเป็นมะเร็งตับที่ทำให้คนไข้ปวดท้อง กินไม่ได้ ตัว ตาเหลือง ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนมา รพ. ความน่าตกใจของมันก็คือแสดงอาการแค่ 1 อาทิตย์ ก็โผล่มาในระยะที่รักษาไม่ได้แล้วความน่าตกใจข้อที่สองก็คือ คนไข้อายุเพียงแค่ 37 ปีความน่าตกใจข้อที่สามคือ คนไข้เป็นคนออกกำลังกาย ไม่ดื่มเหล้าความน่ากลัวก็คือ คนไข้เสียชีวิตในเวลาแค่ 2 เดือน หลังตรวจเจอ ครอบครัวพาไปปรึกษาอาจารย์แพทย์ที่โรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งก็เห็นว่าร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะรับยาใดๆ ได้แล้วในความน่าตกใต ความน่ากลัว มันยังมีความน่าเสียดายซ่อนอยู่ เคสนี้คือตัวอย่างของคนที่เป็นมะเร็งตับจากการติดเชื้อไวรัสตับ โดยที่ไม่เคยมีอาการใดๆ ทางตับ ไม่มีความเสี่ยงเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ไวรัสตับที่ก่อให้เป็นมะเร็งตับหลักๆ ก็คือ ไวรัสตับบี และ ไวรัสตับซีคนไข้บอกว่า “เคยตรวจเจอเมื่อนานมาแล้ว (> 10 ปี) แต่ตอนนั้นหมอบอกว่ายังไม่เป็นอะไร”ความน่าเสียดายมันอยู่ที่ตรงนี้ ไวรัสตับบี ไวรัสตับซี ปัจจุบันรักษาได้ เมื่อรักษาแล้วก็จะลดโอกาส หรือป้องกันการเกิดมะเร็งตับได้ แต่คนส่วนหนึ่งเสียโอกาสนี้ไปภาพจากเพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาลทำไม?1. กรณีของคนไข้ผม ตรวจเจอ แต่ไม่ได้มีการติดตาม จนพลาดโอกาสไป ต้องปูพื้นฐานนิดนึง กรณีคนที่มีเชื้อไวรัสตับ ณ ปัจจุบัน ไม่ใช่ทุกคนต้องรักษา ส่วนหนึ่งมันอยู่ในภาวะสงบ ไม่มีอาการ ค่าการทำงานของตับปกติ ปริมาณเชื้อในร่างกายน้อย แบบนี้มันก็อยู่กับเราแบบเงียบๆ ไปตลอดชีวิตของเรา ก็ไม่จำเป็นต้องกินยารักษาใดๆ การตรวจติดตาม จึงเป็นสิ่งสำคัญ มากกกกผมเองต้องย้ำคนไข้ทุกครั้งที่เจอกันว่า ตอนนี้ไม่มีอะไร แต่หมอนัด มาเรื่อยๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ (3 เดือน 6 เดือน ก็ว่ากันไป)2. หลายคนไม่เคยตรวจเลย จึงไม่รู้ และการตรวจสุขภาพทั่วไป หลายกรณีไม่มีการตรวจหาไวรัสตับ (หากจำไม่ผิด ตรวจสุขภาพของบัตรทอง หรือของประกันสังคมก็ไม่มี) คนไม่เคยเฉียด รพ. ไม่เคยตรวจเป็นเรื่องหนึ่ง แต่บางคนที่เคยตรวจสุขภาพ แล้วหมอบอกว่าผลตรวจเลือดปกติ บางคนก็เข้าใจว่านั่นแปลว่าเคยตรวจทุกอย่างแล้ว ซึ่งหลายครั้งมันไม่ใช่ส่วนตัว อยากให้ทุกคนได้ตรวจหาไวรัสตับบี ซี สักครั้งในชีวิต มันราคาไม่สูง และได้ประโยชน์จริง3. ยังมีข้อที่สาม องค์ความรู้มันเปลี่ยน แต่หมอเรายังไม่เปลี่ยน ไม่ตามความรู้ใหม่ๆ เมื่อ 20 ปีก่อน เจอ ไวรัสตับบี หมออาจจะบอกแค่ว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องรักษา เพราะตอนนั้นความรู้มันแค่นั้น ไวรัสตับซี ไม่ต้องทำอะไร เลิกกินเหล้าก็พอ อะไรทำนองนั้น แต่ปัจจุบันมันไม่ได้แล้วผมเองก็ต้อง เติมความรู้เรื่อยๆ ตอนนี้บางกรณียังไม่ต้องรักษา แต่ต่อไปการรักษาอาจจะเร็วขึ้นก็ได้สรุปสำหรับคนทั่วไป– ใครไม่เคยตรวจ ตรวจสักครั้งในชีวิต ต้องบอกด้วยว่าขอตรวจไวรัสตับ ไม่ใช่แค่ตรวจสุขภาพทั่วไป– ใครเคยตรวจเจอ หมอบอกไม่ต้องทำอะไร ควรไปปรึกษาหมอใหม่อีกครั้ง ยังไงต้องมีการนัดติดตามผลเลือดเป็นระยะ– ใครเคยตรวจเจอและหมอนัดติดตาม แต่เราไม่ได้ไปเพราะขี้เกียจ หรือไม่มีเวลา ให้กลับไปหาหมอ ตรวจเป็นระยะๆ เถอะครับ ส่วนใหญ่ไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามีอะไรขึ้นมา รักษาได้ทันดีกว่าจะเสียใจภายหลัง– สำหรับหมอ อัพเดตความรู้– สำหรับระบบส่งเสริมการตรวจสุขภาพ ให้ตรวจกันมากขึ้นจะดีมากแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับมติชนออนไลน์https://www.matichon.co.th/social/news_4382421

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

'ขอให้กลับมารักอีกครั้ง' หัวใจนิทรรศการศิลปะ Koala’s March ขนมรูปโคอาลา

29/04/2024

กนกวรรณ แก้ววานิช เผยโจทย์การตลาดจาก ‘ลอตเต้’ เจ้าของแบรนด์ขนมยอดฮิต โคอะลา มาร์ช 'ขอให้กลับมารัก' ขนมรูปตัวโคอาลาอีกครั้งในรอบ 40 ปี สู่การปั้นนิทรรศการศิลปะสุดน่ารัก Koala’s March Worldศิลปะ มีพลังในการเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรามองโลก ปลุกเราให้พบกับมุมมอง แนวคิด และคุณค่าใหม่ๆ ล่าสุด LOTTE (ลอตเต้) กลุ่มบริษัทธุรกิจจากความร่วมมือกันระหว่างเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น เลือกใช้ ‘พลังศิลปะ’ สร้าง แคมเปญการตลาด ให้กับขนมขบเคี้ยวอบกรอบชิ้นเล็กๆ สอดไส้ครีมรสหวาน ขวัญใจผู้คนหลากหลายวัยทั่วโลก Koala’s March (โคอะลา มาร์ช) ซึ่งมีอายุถึง 40 ปีในปีนี้ลอตเต้ เปิดตัว โคอะลา มาร์ช ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2527 ขนมชนิดนี้นอกจากมีรูปทรงแบบตัว โคอาลา (Koala) ยังมีภาพลายเส้นโคอาลาอยู่บนตัวขนมอีกด้วย บรรจุในกล่องกระดาษรูปทรงหกเหลี่ยมเป็นเอกลักษณ์โคอาลา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมีกระเป๋าหน้าท้อง รูปร่างหน้าตาคล้ายสัตว์ตระกูลหมี แต่ไม่ใช่หมี การเคลื่อนไหวเชื่องช้าโดยธรรมชาติ ทำให้โคอาลาดูมีเสน่ห์น่ารักน่าเอ็นดู เมื่อปรากฏในรูปแบบ ขนม จึงดึงดูดความสนใจผู้คนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่แรกเห็นปุ้ย กนกวรรณ แก้ววานิชแคมเปญการตลาดในรูปแบบนิทรรศการศิลปะสุดน่ารักครั้งนี้มีชื่อว่า Koala’s March World เปิดใจให้โลกน่ารักเวรี่มาร์ช สร้างสรรค์โดย ปุ้ย กนกวรรณ แก้ววานิช Executive Creative Director, CUE Digital Internationalนิทรรศการศิลปะ Koala’s March World เป็นการสร้างประสบการณ์ต่อแบรนด์ หรือ brand experience ผ่านการเติม ‘ความรักและความจดจำของลูกค้าต่อแบรนด์นิทรรศการศิลปะ Koala’s March World“เพราะความรัก ไม่สามารถสร้างได้ใน 30 วินาที” ปุ้ย กนกวรรณ ตอบคำถามว่าทำไมต้องเป็น brand experience ก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า “เชื่อว่าทุกคนต้องคุ้นเคยกับแบรนด์ Koala’s March เป็นอย่างดีแน่นอน เพราะเป็นแบรนด์ขนมที่อยู่กับคนไทยมานานตั้งแต่จำความกันได้ ใช่..ทุกคนรู้จัก แต่อาจหลงลืมไปเมื่อเราโตขึ้น หรือไม่ได้ซื้อเป็นประจำเหมือนเมื่อตอนเราเป็นเด็กๆ จริงๆ แล้ว Koala’s March ไม่ใช่แค่แบรนด์ขนมสำหรับเด็กเท่านั้น เพราะมีหลายรสชาติให้เลือกตามความชอบของคนทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยไหนๆ ก็สามารถรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยได้  ดังนั้นเราจึงอยากแก้โจทย์ให้กับแบรนด์ว่าจะทำยังไงให้คนกลับมารักเราอีกครั้ง”นิทรรศการ Koala’s March World เปิดใจให้โลกน่ารักเวรี่มาร์ช ซึ่ง กนกวรรณ แก้ววานิช และทีมงาน ช่วยกันสร้างสรรค์ ประกอบด้วยโซนต่างๆ ดังนี้Zone 1 : Welcome to Koala’s Marchสัมผัสความน่ารักของ Koala’s March รับประสบการณ์ความสดใสและความน่ารักผ่านการเดินทางเข้ามาในโลกของ โคอะลา มาร์ช ที่พร้อมส่งต่อความน่ารักให้ทุกคนได้ค้นพบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางZone 2 : Hexagon Mirror (ห้องกระจก 6 เหลี่ยม)การเดินทางเข้าสู่โลกของ โคอะลา มาร์ช ในครั้งนี้ เริ่มต้นผ่านการเปิดฝาเดินผ่านอุโมงค์ทรง 6 เหลี่ยม ที่เปรียบเสมือนการเดินทางเข้าไปในกล่องของโคอะลา มาร์ช พื้นที่ที่จะทำให้ทุกคนได้สำรวจความน่ารักของตัวเองในทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นมุมไหนก็จะมีภาพ โคอะลา มาร์ช ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับคุณเสมอZone 3 : Lighting Room (ห้องแห่งแสงไฟ)เมื่อผู้เข้าชมเดินทางมาถึงโซนที่ 3 แสงไฟระยิบระยับพร้อมเหล่า โคอะลา มาร์ช กำลังร้องและสนุกสนานไปกับเพลงมาร์ช รอต้อนรับผู้เข้าชมทุกคนเพื่อนำทางทุกคนเข้าไปรับความน่ารักในโลก โคอะลา มาร์ช ที่กำลังรออยู่Zone 4 : Black & White Zone (ห้องแบล็ก แอนด์ ไวท์)หลังม่านอีกชั้น ผู้เข้าชมนิทรรศการจะได้พบเจอกับ Angle Koala และ Devil Koala ในห้องที่ความเท่และความหวานละมุนในตัวของทั้ง โคอะลา มาร์ช และผู้เข้าชมจะได้มาเจอกันในรูปแบบที่ ‘น่ารักเวรี่มาร์ช’ ที่สุด โซนนี้ทุกคนจะได้ทำความรู้จักกับความเข้มข้นของวัตถุดิบจาก โคอะลา มาร์ช แบล็ค และ โคอะลา มาร์ช ไวท์ สองรสชาติที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับกับความต้องการและความเป็นตัวเองของเหล่าวัยรุ่น ศิลปะสื่อผสมในลักษณะ 'หยดช็อกโกแลตสุดเข้มข้น' ที่ไหลย้อยลงมาจากเพดานสู่ช็อกโกแลตบาร์ด้านข้าง เข้มข้นจนย้อยลงมาถึงพื้นด้านล่าง สื่อถึงความเข้มข้นของช็อกโกแลตที่ใช้ใน โคอะลา มาร์ช รสบิทเทอร์ช็อกโกแลตในอีกด้าน.. นมที่หยดออกมาจากถัง ไหลย้อยลงมาปะทะกับชีสที่เตรียมไว้บนกำแพงจนไปถึงพื้น คือสิ่งที่สะท้อนถึงความเข้มข้นและวัตถุดิบของรสไวท์มิลค์ สื่อความหมายที่ว่า เพราะในบางครั้งชีวิตเราอาจจะต้องการความหวานละมุนแบบรสไวท์มิลค์ แต่ในบางครั้งก็ต้องการความเท่แบบรสบิทเทอร์ช็อกโกแลต และในบางคนก็มีทั้งสองสิ่งนี้อยู่ในคนเดียวกันในห้องนี้ยังมีผนังที่เห็นเป็นใบหน้าโคอะลา มาร์ช สร้างด้วยกล่องของโคอะลา มาร์ช ทั้ง 2 รสชาติ จำนวนกว่า 2,000 กล่องZone 5 - Panel 5 : Fight Koala’s Marchออกจากห้องของ Black and white เดินเลี้ยวมาทางขวา จะมีโคอะลาเตรียมต้อนรับทุกคนอยู่ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เข้ามาทักทายกับ โคอะลา มาร์ช ก่อนที่จะเข้าไปทำความรู้จักประวัติส่วนตัวของพวกเขาZone 5 - Panel 5.1 และ 5.2 : Koala’s Profile & Charactersนี่คือโซนประวัติโคอะลา มาร์ช ในห้องนี้ 'มาร์ชคุง' ขอเชิญชวนให้ทุกคนทำรู้จักกับประวัติ ความเป็นมาและเรื่องราวเบื้องหลังของทั้งมาร์ชคุงและวอลซ์จัง 2 คาแรคเตอร์หลักจากโคอะลา มาร์ช ผู้เข้าชมจะได้ทำความรู้จักกับความชอบ ความฝัน และเรื่องราวของคาแรคเตอร์หลักทั้ง 2 ตัวมากขึ้น Zone 5 - Panel 5.3 : 214 Thai Characterสมาชิกของ โคอะลา มาร์ชไม่ได้มีเพียงแค่ 'มาร์ชคุง' กับ 'วอลซ์จัง' เท่านั้น แต่ยังมีเพื่อนๆ อีก 214 ลวดลาย ที่พร้อมจะส่งต่อความน่ารักให้ทุกคนในประเทศไทยอีกด้วยZone 5 - Panel 5.4 : Welcome to Koala’s March 77 Provincesก่อนที่จะเข้าสู่โซนต่อไป ทุกคนจะได้พบกับตัวแทน โคอะลา มาร์ช ประเทศไทย ที่จะพาไปรู้จักสมาชิกโคอะลา มาร์ช ของแต่ละจังหวัดZone 5 - Panel 5.5 : 77 Thai Provincesลวดลายพิเศษได้รับการดีไซน์ออกมาเพื่อแต่ละจังหวัด ทั้ง 77 จังหวัดไปพร้อมกัน โซนนี้มีกิจกรรมใน Facebook  เพื่อนๆ อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง หา โคอะลา มาร์ช ประจำจังหวัดตัวเอง ถ่ายรูปมาแชร์กัน รับไปเลย ถุงผ้าหูรูด จากโคอะลา มาร์ช สามารถสแกน QR code เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมได้เลยZone 5 - Panel 5.6หลังจากทำความรู้จักกับสมาชิกของโคอะลา มาร์ชทั้งหมดแล้ว ถึงเวลาที่มาร์ชคุงจะแนะนำสมาชิกใหม่ล่าสุดของ โคอะลา มาร์ช ทั้งสองตัว ผ่านการเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมสนุก ร่วมทายชื่อสมาชิกใหม่ โดยใช้แผ่นแม่เหล็กที่มีชื่อสมาชิก 1 ตัวเป็นคำใบ้ไว้ก่อน หากทายได้ถูกต้อง รับไปเลยกระเป๋าผ้าสุดเอ็กคลูซีฟจากโคอะลา มาร์ช (โซนนี้มีกิจกรรม FB Activity)Zone 6 : Koala’s Factory (โรงงานโคอะลา มาร์ช)ห้องถัดมาจะพาให้ผู้เข้าชม ได้รับรู้ถึงวิธีการผลิต โคอะลา มาร์ช ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและพิถีพิถันจากแผ่นแป้งในจุดเริ่มต้นจนออกมาเป็นบิสกิตหอมกรุ่นสอดไส้ครีมรสชาติต่าง ๆ จนทุกคนได้ลิ้มลองความอร่อยร่วมกันผ่านสเตชั่นทั้ง 6 ขั้นตอนZone 7 : Packaging & Koala’s Time Change (โซนความเป็นมาของโคอะลา)พาย้อนเวลาไปกับโคอะลา มาร์ช คาแรคเตอร์ และกล่องแพคเกจ เพื่อแสดงให้เห็นว่าโคอะลา มาร์ชมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนไปกับยุคสมัยอยู่เสมอZone 7 - Panel 7.1โคอะลา มาร์ชเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่กับคนไทยมาหลายปี แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าแรงบันดาลใจในการออกแบบกล่องของ โคอะลา มาร์ช นั้นมาจากอาหารของโคอาลา เอง คือรูปทรงของต้นยูคาลิปตัสนอกจากนี้โคอะลา มาร์ชเองยังรวมเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการ Australian Foundation Koala องค์กรที่ร่วมสนับสนุนงานวิจัยที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยดูแลและอนุรักษ์โคอาลาจากผลกระทบต่าง ๆ Zone 8 : Surrounded Koala (ห้องโคอะลารายล้อม)หลังจากได้รับชมเรื่องราวและความเป็นมาของ โคอะลา มาร์ช อย่างเต็มที่แล้ว เมื่อเดินทางมาถึงที่โซนนี้ คุณจะถูกความน่ารักของ โคอะลา มาร์ช รายล้อมเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โคอะลา มาร์ชที่รอต้อนรับทุกคนอยู่จะสร้างความประทับใจที่ไม่รู้ลืมให้ทุกคนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนZone 9 : Koala’s Island (เกาะของโคอะลา มาร์ช)หลังจากความน่ารักที่รายล้อม การเดินทางจะพาทุกคนค่อย ๆ ได้เพลิดเพลินไปกับเกาะของโคอะลา มาร์ช พร้อมน้องนางเงือกที่กระโดดขึ้นเหนือน้ำเพื่อรอต้อนรับและเชิญชวนให้ทุกคนมาพักผ่อนด้วยกันกับแก๊งโคอะลา มาร์ชก่อนที่ทุกคนจะผ่านโซนนี้ไป มาร์ชคุงอยากให้เลือกการ์ดคาแรคเตอร์ที่ถูกแขวนเรียงเอาไว้กว่า 214 ลวดลายมา 1 ใบ เพื่อจำลองตัวองเป็นสมาชิกของ โคอะลา มาร์ช เพื่อเตรียมตัวต้อนรับความน่ารักที่รอต้อนรับทุกคนอยู่ในโซนถัดไปZone 10 (Room highlight) Flower zone (สวนดอกไม้ของโคอะลา มาร์ช)จุด Finnale ของโลกโคอะลา มาร์ชที่จะพาให้ผู้เข้าชมได้ร่วมจำลองตัวเองเป็นหนึ่งในสมาชิกแห่งโลก โคอะลา มาร์ช ท่ามกลางสวนดอกไม้ยักษ์นานาพรรณที่รังสรรค์ขึ้นจากฝีมือการออกแบบของ ปั้น นภัสชล ตั้งนุกูลกิจ ศิลปินตัดกระดาษที่คัดสรรกระดาษพิเศษที่มีกรรมวิธีการผลิตสุดพิถีพิถัน เพื่อให้สวนดอกไม้ในโลกของ โคอะลา มาร์ช ออกมาน่ารักเวรี่มาร์ชแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนหลังจากอิ่มเอมกับความน่ารัก สดใส และได้ทำความรู้จักกับโคอะลา มาร์ชมากขึ้นแล้วก่อนออกจากโลกอันแสนสดใสของมาร์ชคุงไป มาร์ชคุงอยากเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคน เขียนความรู้สึกที่ได้รับจากงานนี้ลงบนด้านหลังการ์ด แล้วนำไปแขวนที่ Flower chanderlia แล้วออกไปรับของรางวัลต่าง ๆ ได้ที่หน้างานปุ้ย กนกวรรณ แก้ววานิชเปิดใจ ปุ้ย กนกวรรณ แก้ววานิช   •  ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง? “ในวันนี้ที่เราเห็นว่าความคิดของเราเป็นรูปธรรมแล้วจริงๆ  เราดีใจและมีความสุขไปกับทุกๆ รอยยิ้มของทุกคน เราได้เห็นผู้คนที่ได้ไปสัมผัสความน่ารักเวรี่มาร์ชของ Koala’s March แล้วเดินมาถามเราว่า ‘มีสินค้าขายมั้ยคะ, จะหาซื้อของที่ระลึกได้ที่ไหนบ้างคะ’ หรือจะเป็นคำชื่นชม และขอบคุณที่สร้างนิทรรศกาลน่ารักๆ ครั้งนี้ขึ้นมา…พอได้ฟังเราก็ปลื้มใจจากกระแสตอบรับที่ผ่านมาในนิทรรศการครั้งนี้ ทำให้ทีมงานยิ่งมีรอยยิ้มที่กว้างขึ้น เพราะไม่ว่าจะทาง Social Media ที่มีคนรีวิวมากมาย พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ เด็กๆ มาเข้าชมงานกันอย่างคับคั่ง  ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนรัก และมีความสุขกับสิ่งที่เราอยากจะมอบให้ได้จริงๆ และในมุมของบริษัทฯ เอง เราเป็นเพียงเอเจนซี่เล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ทุกคนอาจจะไม่ได้รู้จัก แต่เราอยากให้ผลงานของเราพูดแทนเราว่าเราทำอะไรได้บ้าง”   •  จากงานนิทรรศการ เห็นว่ามีการใช้มาสคอต Koala's March เป็นตัวเชื่อมโยงในการสร้างประสบการณ์ ในฐานะผู้จัดงานคาดหวังให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับประสบการณ์ในลักษณะใดที่สร้างความประทับใจและผูกพันกับแบรนด์?"ลวดลาย Koala’s March มีตั้ง 214 ตัว ซึ่งทั้ง 214 ลวดลายนี้คนไม่เคยรู้จัก เราก็เลยใช้คาแรคเตอร์ทั้งหมดมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก เพราะปุ้ยเชื่อว่าทั้ง 214 ลวดลาย มันต้องมีสักตัวที่ไปแตะสักมุมหนึ่งของผู้ร่วมงาน เพราะคาแรคเตอร์ทุกตัวน่ารัก แต่คนไม่เคยรู้เพราะฉะนั้น การเอาคาแรคเตอร์ทั้ง 214 ลวดลายเข้ามาเป็นตัวเชื่อมโยงใน brand experience ในครั้งนี้ ก็คือทำให้ทุกคนรู้จักลวดลายของ Koala’s March มากขึ้น ทำให้คนรู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์อย่างที่เขาแทบไม่รู้ตัว ผ่านคาแรคเตอร์ใดคาแรคเตอร์หนึ่งที่พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงด้วยเช่น มีตัวที่เล่นสเก็ตบอร์ด แต่เราก็ไม่เคยรู้ มันมีตัวเล็กจิ๋ว มีบางตัวเป็น snowman คนไม่รู้ แต่ popular มาก มีบางตัวเป็นตัวนำโชค มีบางตัวใส่ชุดนักเรียน ก็คือไปตรงกับกลุ่มเด็กนักเรียน เด็กนักเรียนก็จะชอบตัวนี้ เพราะสื่อถึงตัวเองบางตัวเป็นแม่กับลูก Koala’s March มีคาแรคเตอร์มากมายขนาดนี้อะ มันต้อง touch ซักมุมใดมุมหนึ่งของแต่ละคนแหละ และนั่นคือเหตุผลที่เราอยากเอาตัว Koala’s March มาเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา"   •  ในการจัดงานนิทรรศการที่มุ่งเน้นความทรงจำและความผูกพัน คุณคาดหวังอะไรจากการเชื่อมโยงในระยะยาวกับผู้เข้าชมหลังงานจบแล้ว?"คาดหวังให้ Koala’s March อยู่ในใจทุกคน 'ตลอดไป' และ 'ตลอดเวลา' คือหมายความว่าผู้เข้าชมงานก้าวขาออกมาจากงาน ยกตัวอย่างเช่น วัยรุ่น หลังจากงาน เดี๋ยวต้องมีสอบละ ก็เครียดละ แต่ปุ้ยว่าอย่างน้อยในมุมหนึ่งของวัยรุ่นที่มางานนี้ เขาได้ความสุขกลับไป เขาเก็บเป็นความทรงจำว่า 'วันนี้มีความสุขมากเลยที่ได้มางาน Koala’s March' ปุ้ยอยากจะบอกคนที่มางานทุกคนว่า 'ก็จงมีความสุขให้ได้แบบ Koala’s March สิ' ปุ้ยเลยคาดหวังให้ Koala’s March อยู่กับเขาตลอดเวลาในใจเขาเวลานึกถึงความสุข เช่น เครียดหรอ เดินไปซื้อ Koala’s March กิน แล้วให้เขามีความสุข นึกถึงตอนที่มาเดินในงาน ให้เขานึกว่า Koala’s March = ความสุข”นิทรรศการ '"oala’s March World เปิดใจให้โลกน่ารักเวรี่มาร์ช"   •  ความยากลำบากที่พบในการตั้งความคิดริเริ่มของงาน ‘Koala's March เปิดใจให้โลกน่ารักเวรี่มาร์ช’ มีอะไรบ้าง?"ทำให้เป็นจริงท่ามกลางคำพูดว่า 'ทำไม่ได้หรอก' อันนี้ยากที่สุดเลย เพราะทำให้เป็นจริงให้ความคิดเป็นรูปธรรมว่ายากแล้ว แต่พอเราไปหาใคร (suppliers) แล้วบอกว่าทำไม่ได้อันนี้ยากกว่ามากๆ เพราะทุกคนบอกว่า ‘มันไม่มีทางทำได้’ หรือ ‘เป็นไปไม่ได้หรอก’ นั่นแหละยากสุดๆ แล้วเป็นที่มาว่าเราก็เลยทำกันเอง เพราะพอเราพึ่งใครไม่ได้ เราก็พึ่งตัวเอง และช่วงเวลาที่ทำกันเองนี่แหละ มันคือที่สุดแล้ว ปุ้ยรักทีมขึ้นมากๆ เพราะงานนี้เลย”ทีมครีเอทีฟสร้างสรรค์ Koala’s March World   •  สุดท้ายแล้ว มีประสบการณ์หรือเรื่องราวใดน่าจดจำที่สุดในงานนี้ไหม?มีทั้งหมด 3 ส่วน ประสบการณ์อันยากจะลืมเลือนเลยคือ1. “ทีม” เราเริ่มต้นทำงานนี้ด้วยการที่ทั้ง supplier และ organizer บอกว่าทำไม่ได้ ปุ้ยก็เลยหันไปบอกทีมว่า... “กว่าจะขายงานผ่านไม่ง่าย เราจะยอมแพ้เพียงแค่ organizer บอกว่าทำไม่ได้หรอ?” มันก็เลยเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจที่สุดเลยคือการเห็นทีมทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ อดทนทำ และเห็นทีมรักกัน มันประทับใจที่สุดเลยนะที่เราผ่าน 9 วัน 8 คืน เต็มๆ ไม่ได้พักกันเลย เราเลยได้เห็นความทรหดของทีม ส่วนนี้ยากที่สุด และก็ประทับใจที่สุดเลยที่เราหันไปเห็นทีมอยู่ด้วยตลอด ไม่ทะเลาะกัน ไม่ทิ้งกัน นี่คือ perfect มากๆ “I finally found my dream team” จากงานนี้เลย2. ส่วนที่สองที่ประทับใจสุดๆ คือ “แววตา และ รอยยิ้ม” ของผู้ร่วมงาน มันคือน้ำทิพย์ชโลมใจ แล้วก็ภาพคนที่ต่อคิวกันแบบไม่ย่อท้อ ไม่ออกจากคิว ไม่หงุดหงิดว่ารอนาน แล้วเป็นแบบนี้ตลอดทั้งงาน3. สิ่งสุดท้าย “ลูกค้า” เลย เพราะไม่มีลูกค้าที่อนุมัติให้เราทำ มันจะไม่มีวันที่เราจะได้ทำอะไรแบบนี้เลย ถ้าไม่มีคำว่า “I love this idea” เราจะไม่มีวันได้ประสบการณ์ในการทำงานนี้เลย ตอนที่ลูกค้าเดินมาหามันเป็นดวงตาที่สื่อออกมาว่าเชื่อมั่นในตัวเราจริงๆ ขอบคุณเราจากใจจริงๆ แต่ปุ้ยก็ขอบคุณลูกค้าเหมือนกันที่เขาซื้อสิ่งนี้ สิ่งที่ประทับใจสุดๆ อีกอย่างของงานเลยคือลูกค้า เพราะสุดท้ายแล้วลูกค้าคือคนที่ทำให้เราได้ทำในสิ่งนี้หมายเหตุ : นิทรรศการ "โคอะลา มาร์ช เวิลด์ เปิดใจให้โลกน่ารักเวรี่มาร์ช"   •  ครั้งที่ 1 จัดที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก (River City Bangkok) 12 ตุลาคม - 12 พฤศจิกายน 2566   •  ครั้งที่ 2 จัดที่ Future Art Land ชั้น G โซนเซ็นทรัล สเปลล์  Future Park and Zpell ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต 8-28 มกราคม 2567แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับbangkokbiznewshttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1109128

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ซากุระเมืองไทย “ภูลมโล” บานสะพรั่งสวยงามแล้ว เที่ยวได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

29/04/2024

หนึ่งปีมีครั้ง อช.ภูหินร่องกล้า เผยภาพซากุระเมืองไทยบน “ภูลมโล” กำลังออกดอกบานสะพรั่งสวยงามเกือบ 100% นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า - Phu Hin Rong Kla National Park เผยภาพดอกนางพญาเสือโคร่งที่กำลังเบ่งบานสวยงามบนภูลมโล พร้อมโพสต์ข้อความ ระบุว่า‼️️Update!‼️ 🌸🌸🌸สถานการณ์การออกดอกของนางพญาเสือโคร่ง บน "ภูลมโล" ณ วันที่ 16 มกราคม 2567 ช่วงนี้ดอกนางพญาเสือโคร่งพร้อมใจกันผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งสวยงาม จนกลายเป็นภูเขาสีชมพูอ่อนหวาน ให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมและบันทึกภาพความงดงามตระการตา ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป.... 👉ขอให้ติดตามการอัปเดตข้อมูลข่าวสารจากเพจของทางอุทยานฯในระยะต่อไป นะครับ......🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸📷 ภาพถ่าย วันที่ 16 มกราาคม 2567👉 อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เปิดบริการให้ท่องเที่ยว และพักค้างแรมทุกวันนะ📍📍#ภูลมโล#อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)รู้จักภูลมโลภูลมโล ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.กกสะทอน อ.ด่านซ้าย จ.เลย เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า บนรอยต่อของสามจังหวัดคือ เลย เพชรบูรณ์ และพิษณุโลกชื่อของภูลมโลมีที่มา 2 ทางด้วยกัน คือ ทางชาวบ้านกกสะทอน(ทางฝั่งเลย) ให้ข้อมูลว่า ภูลมโล เป็นภาษาถิ่น หมายถึงภู(ยอดเขา)ที่มีลมพัดผ่านเยอะ พัดผ่านมาก โดยคำว่า “โล” ในภาษาถิ่น หมายถึง มาก หรือ เยอะ ซึ่งหากจะพูดรวมๆให้ฟังเข้าใจง่ายก็คือ “ภูลมโล เป็นภูที่มีลมแรงพัดผ่านอยู่ตลอด”(ทั้งปี)ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)ส่วนข้อมูลจากชาวม้งบ้านร่องกล้า(ทางฝั่งพิษณุโลก) ให้ข้อมูลไว้ว่า ภูลมโล มาจากชื่อที่สมัยก่อนชาวบ้านเรียกเขาลูกนี้ว่า “ภูลงรู” หรือที่ภาษาม้งเรียกว่า“ตร๊งลงรู” อันหมายถึง ภูเขาที่มีน้ำไหลลงรู ก่อนที่ภายหลังจะเรียกเพี้ยนเป็น “ภูลมโล” ซึ่งที่มาของชื่อนี้มาจากการที่ภูเขาลูกนี้(เคย)มีตาน้ำไหลหายลงไปในรู ชาวบ้านเมื่อเดินป่ามาถึงก็จะใช้ประโยชน์จากตาน้ำแห่งนี้ในอดีตภูลมโลเคยเป็นพื้นที่สีแดงในช่วงยุคลัทธิคอมมิวนิสต์ ต่อมาเมื่อเหตุการณ์สงบได้กลายเป็นภูเขาหัวโล้นทางอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าจึงได้ทำการขอพื้นที่คืน โดยตกลงให้ผู้ที่หักล้างถางพงปลูกพืชไร่ควบคู่ไปกับต้นพญาเสือโคร่งในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนออกจากพื้นที่ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)หุบเขาสีชมพูปัจจุบันภูลมโลถือเป็นแหล่งปลูกนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย โดยมีเนื้อที่กว่า 1,200 ไร่ มีต้นนางพญาเสือโคร่งมากมายนับหลายหมื่นต้น ย้อมหุบเขาแห่งนี้ให้กลายเป็นสีชมพู จนได้รับฉายาว่า“ภูลมโล หุบเขาสีชมพู”สำหรับนางพญาเสือโคร่งเป็นต้นไม้ในวงศ์เดียวกับต้นซากุระของประเทศญี่ปุ่น ยามเมื่อมันออกดอกจะดูคล้ายดอกซากุระของญี่ปุ่น หลาย ๆ คน จึงนิยมเรียกดอกนางพญาเสือโคร่งว่า “ซากุระเมืองไทย” ขณะที่ชื่อภาษาถิ่นนั้นจะเรียกกันว่า “ซากุระดอย”ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)บนภูลมโลมีจุดชมซากุระเมืองไทยเบ่งบาน อยู่ 3 แปลงหลัก ๆ ได้แก่จุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่ภูลมโลนั้น มีอยู่ 3 แปลงหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่-“แปลงภูลมโล” แปลงนี้มีไฮไลท์สำคัญอยู่บริเวณ “คอกวัว” เพราะมีคอกวัวที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้อยู่ในบริเวณนี้ ที่แปลงภูลมโลเราสามารถมองเห็นดอกนางพญาเสือโคร่งได้อย่างงดงามทั่วเนินเขาดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)-“แปลงก้อนหินใหญ่” ที่มีทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่งให้ชมกันควบคู่ไปกับก้อนหินใหญ่ 2 จุดเป็นพร็อพถ่ายรูปที่มีคนแวะเวียนไปโพสต์ท่าถ่ายรูปคู่กันระหว่างก้อนหินกับฉากสีชมพูของทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่งกันไม่ได้ขาด-“แปลงภูขี้เถ้า” ซึ่งส่วนใหญ่แล้วดอกนางพญาเสือโคร่งที่แปลงที่ภูขี้เถ้าจะบานทีหลังสุดปกติทุก ๆ ปีในช่วงกลางฤดูหนาวราวเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ต้นนางพญาเสือโคร่งทั่วเมืองไทยจะพร้อมใจกันออกดอกเบ่งบานชมพูสะพรั่งไล่เลี่ยกันไป แต่ก็มีบางปีที่บานก่อนหรือหลัง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศปีนั้น ๆดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)ในส่วนดอกนางพญาเสือโคร่งที่ภูลมโล ตามปกติจะบานไล่เรียงแปลงไป แต่บางปีก็ต่างพากันออกดอกบานพร้อมกันทั้ง 3 แปลง ย้อมทั้งหุบเขาเป็นสีชมพูกว้างใหญ่ดูสวยงามยิ่งนักนอกจากจะเป็นแหล่งชมนางพญาเสือโคร่งที่มีความสวยงามเป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยแล้ว พื้นที่ภูลมโลยังมีจุดชมวิวเลาะเลียบผาที่น่าสนใจในหลายจุดด้วยกัน นำโดย “ผาดรรชนี” ที่เป็นยอดสูงสุดของภูลมโล ตั้งอยู่บนความสูง 1,664 เมตร จากระดับน้ำทะเล ระยะทางเดิน 650 เมตร ด้านบนจะมีชะง่อนหินเป็นจุดถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามอีกด้วยเส้นทางขึ้นภูลมโล ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)การขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลมี 2 เส้นทางหลัก คือ ขึ้นทางฝั่ง จ.พิษณุโลก และ ขึ้นทางฝั่ง จ.เลย แต่ทั้งสองเส้นทาง เป็นเส้นทางถนนลูกรังขึ้นเขาสูงที่คดเคี้ยวและค่อนข้างอันตราย จึงต้องขับรถด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทางอุทยานฯ จึงห้ามมิให้นักท่องเที่ยวขับรถขึ้นไปเองอย่างไรก็ดีปัจจุบันทาง อุทยานฯภูหินร่องกล้า ได้ร่วมมือกับชาวชุมชนในพื้นที่ จัดให้มีจุดบริการและอำนวยความสะดวกรถรับ – ส่งนักท่องเที่ยวขึ้นภูลมโลใน 2 ฝั่ง จังหวัด ดังนี้ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)ฝั่ง จังหวัดพิษณุโลก-จุดที่ 1 ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า (ห่างจากภูลมโล ประมาณ 15 กม.)-จุดที่ 2 ชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้า (ห่างจากภูลมโล ประมาณ 7 กม.)ฝั่ง จังหวัดเลย-จุดที่ 1 ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวกกสะทอน (ห่างจากภูลมโล ประมาณ 25 กม.)-จุดที่ 2 ชมรมม้งอีสานนำเที่ยว บ้านตูบค้อ (ห่างจากภูลมโล ประมาณ 13 กม.)ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากจังหวัดเพชรบูรณ์ สามารถเดินทางจากเส้นทางฝั่งภูทับเบิก ผ่านด่านอุทยาน มายังจุดบริการรถนำเที่ยวของชมรมบ้านใหม่ร่องกล้าดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถาม ข้อมูลการบานของนางพญาเสือโคร่ง ที่พัก จุดกางเต็นท์ บริการรถเช่า และการเดินทางสู่ภูลมโล ได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า โทร. 08 1596 5977, ททท.พิษณุโลก โทร. 055 252 742-3 / 097 072 1838 ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนกกสะทอน โทร. 062 557 0912 และ ททท.เลย โทร. 042 812 812แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000005328

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิดเทคนิคบริหารเงินโบนัส ให้คุ้มค่าเหนื่อยล้าทั้งปีที่เราแลกมา

29/04/2024

บทความโดย “ราชันย์ ตันติจินดา”  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย  วันที่ 15 มกราคม 2567 โบนัส เงินก้อนโตที่ปีหนึ่งจะได้สักครั้ง เพื่อเป็นรางวัลให้กับการทำงานหนักมาทั้งปี แล้วเราจะบริหารเงินโบนัสที่ได้นี้อย่างไรดี ให้คุ้มกับความเหนื่อยล้าทั้งปีที่แลกมา 1. ปย์ให้ตัวเอง แบ่ง 10-20% ของเงินโบนัส เพื่อเป็นรางวัลให้กับชีวิต เช่น ซื้อ Gadget ใหม่ ไปท่องเที่ยวต่างเมือง หรือทานอาหารหรู ๆ สักมื้อ ก็เป็นการเติมพลังให้กับชีวิต ทำให้มีกำลังใจในการทำงานต่อไป รวมถึงช่วยกระชับความสัมพันธ์สมาชิกในครอบครัวด้วยการใช้เวลาร่วมกัน แต่ก็ไม่ควรเปย์มากเกินไปเพราะเป็นเงินส่วนที่ใช้แล้วหมดไป แม้ส่งผลดีต่อจิตใจ แต่ไม่ช่วยลดต้นทุนหรือทำให้เงินงอกเงยได้ในอนาคต 2. ดหนี้ที่มี ลองเช็กหนี้สินที่มีอยู่ ว่ามีหนี้ไหนคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกบ้าง มียอดหนี้เหลืออยู่เท่าไร ถูกคิดอัตราดอกเบี้ยกี่ % ต่อปี พร้อมทั้งเรียงลำดับจากหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดและหนี้คงเหลือน้อยที่สุดก่อน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต หนี้บ้าน ฯลฯ หากมีหนี้ไหนที่ดอกเบี้ยสูงกว่า 10% ต่อปี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต ฯลฯ ควรนำเงินโบนัสส่วนใหญ่ เช่น 50-70% ของโบนัส ไปเร่งปิดหนี้ส่วนนี้ เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้อนาคตสามารถเก็บเงินได้มากขึ้น 3. นเงินไว้ ให้อุ่นใจ การมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินช่วยให้อุ่นใจได้ว่าจะมีเงินไว้รองรับกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด ทำให้สามารถใช้ชีวิตไว้อย่างสบายใจและโฟกัสกับการทำงานได้มากขึ้น รวมถึงยังเพิ่มความมั่นใจได้ว่าเงินเก็บส่วนที่เกินกว่าเงินสำรองนั้น สามารถนำไปลงทุนในทางเลือกที่มีพันธะด้านระยะเวลาลงทุน เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุน Term Fund หรือมีความเสี่ยงที่มากขึ้นได้ เช่น กองทุนผสม หุ้น กองทุนหุ้น รวมถึงกองทุน SSF/RMF ฯลฯ เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินที่ดี ควรมีจำนวนให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย 6 เดือน ในทางเลือกที่พร้อมถอนหรือนำออกมาใช้จ่ายได้ทันเวลา เช่น เงินฝากที่โอนเงินผ่านมือถือ ถอนผ่านตู้ ATM/สาขาธนาคารได้ทันที หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ขายคืนและได้รับเงินคืนภายใน 1 วันทำการถัดจากวันที่ขายคืน ฯลฯ โดยปัจจุบันทางเลือกเก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินที่น่าจะตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ คือ เงินฝาก e-Savings ที่หลายธนาคารให้ดอกเบี้ยสูงถึง 1.5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนที่ผ่านมาของกองทุนตราสารหนี้หลายกองทุน ทั้งยังมีความเสี่ยงต่ำกว่าและมีความคล่องตัวในการถอนหรือโอนมากกว่าด้วย 4. ยอยสร้าง Passive Income แหล่งรายได้ที่มั่นคงโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน เริ่มต้นได้ไม่ยาก แต่หากจะให้มีจำนวนเพียงพอกับการใช้จ่ายโดยเฉพาะช่วงหลังเกษียณอายุ คงไม่สามารถทำได้ทันทีแต่สามารถทยอยเริ่มได้ทีละน้อยและสะสมจนเพียงพอกับการใช้จ่ายในที่สุด ตัวอย่างเช่น การสร้าง Passive Income ด้วยประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่จ่ายเบี้ยสั้น ๆ เช่น 5 ปี สามารถเริ่มต้นด้วยการแบ่งเงินโบนัสส่วนหนึ่ง อาจจะสัก 50,000 บาท เพื่อเตรียมเป็นเบี้ยประกันบำนาญปีละ 10,000 บาท  แล้วหากปีหน้าได้รับเงินโบนัสอีกก็แบ่งเงินเพื่อเป็นเบี้ยประกันบำนาญฉบับต่อ ๆ ไปได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีเงินเป็นค่าเบี้ยประกันปีต่ออายุหรือไม่ โดยเงินบำนาญรวมที่จะได้รับตอนเกษียณ ก็มีโอกาสที่จะเพียงพอกับการใช้จ่ายได้ในที่สุด นอกจากประกันบำนาญแล้ว ยังมีทางเลือกในการสร้าง Passive Income อื่นอีก เช่น พันธบัตร/หุ้นกู้ ที่หากทยอยลงทุนจากเงินโบนัสที่ได้รับในแต่ละปี รวมถึงนำดอกเบี้ยและเงินครบกำหนดที่ได้รับจากเงินลงทุนแต่ละก้อนไปลงทุนต่อใน พันธบัตร/หุ้นกู้ ที่ออกใหม่เรื่อย ๆ ก็ช่วยให้มี Passive Income มากขึ้นได้ในอนาคต หรือหากสะสมไว้หลายปีจนมากพอที่จะนำไปลงทุนคอนโดด้วยเงินสดเพื่อปล่อยเช่า ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำได้เช่นกัน 5. งทุนให้งอกเงย การลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยจำเป็นต้องลงทุนในทางเลือกที่มีความเสี่ยง แต่หลายคนยังกังวลกับความเสี่ยงนั้น จึงเลือกที่จะเก็บเงินหรือลงทุนในทางเลือกความเสี่ยงต่ำที่เน้นความปลอดภัยของเงินต้น อย่างไรก็ตามเงินโบนัสเป็นเงินที่ได้มาปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เงินที่แบ่งจากเงินโบนัสเพื่อนำไปลงทุน จึงสามารถเป็นเงินที่รับความเสี่ยงได้สูงกว่าเงินเก็บส่วนอื่น โดยอาจแบ่ง 10-30% ของเงินโบนัส ไปลงทุนในกองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น ในภูมิภาคหรือธีมการลงทุนที่ชื่นชอบ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น หรือเลือกลงทุนในกองทุน SSF/RMF ที่เป็นกองทุนหุ้น/ผสม เพื่อผลประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมได้ เงินโบนัส ถือว่าเป็นรางวัลตอบแทนจากการทำงานด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งปี ที่ต้องจัดสรรให้ดีเพื่อเป็นรางวัลให้กับตนเองด้วยเทคนิคการบริหารที่เหนือล้ำเพื่อให้มีเงินมากขึ้นได้ในอนาคต แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจhttps://www.prachachat.net/finance/news-1479082

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

สมาคมประกันชีวิตไทยชวนต่อยอดโบนัสและเงินคืนภาษีให้งอกเงยอย่างมั่นคง

29/04/2024

สมาคมประกันชีวิตไทย ชวนออมเงินโดยนำเงินโบนัส เงินคืนภาษี มาต่อยอดให้งอกเงยมั่งคั่ง พร้อมสร้างความมั่นคงให้ตนเองและครอบครัวด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตนายพิชา สิริโยธิน ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมาหลายๆ คนอาจเริ่มต้นปีด้วยข่าวดีกับการได้รับโบนัสก้อนโต และยังได้รับคืนเงินภาษีมาให้ชื่นใจ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงวางแผนซื้อความสุขให้กับตนเองและคนที่รักไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้แบ่งใช้ แบ่งเก็บเพื่ออนาคตโดยการต่อยอดเงินออมให้งอกเงย สร้างความมั่งคั่งและมั่นคงอย่างยั่งยืนแบบมีวินัยการเก็บออมอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ ซึ่งนอกจากการเก็บออมแล้วก็ยังจะได้รับความคุ้มครองชีวิต คุ้มครองสุขภาพ หรือคุ้มครองอุบัติเหตุ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เป็นการลดภาระให้กับตัวเองและครอบครัว ไม่ดึงเงินเก็บออกมาใช้ในยามฉุกเฉิน ถือเป็นวิธีสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตและอนาคตสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตนั้นมีหลากหลายให้เลือกตามความต้องการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล เช่น แบบประกันสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) ซึ่งเป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ โดยบริษัทรับประกันภัยจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อครบกำหนดสัญญา หรือ ให้กับบุคคลที่ผู้เอาประกันภัยระบุไว้ว่าจะมอบประโยชน์ให้หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตทั้งนี้ ในรายละเอียดของบางแบบประกันชีวิตสะสมทรัพย์อาจจะมีเงินคืนระหว่างสัญญา ซึ่งประกันแบบดังกล่าวนี้ยังเหมาะที่จะสะสมเป็นเงินทุนเพื่อเป้าหมายที่สำคัญของชีวิต หรือทำไว้ให้กับบุตรหลานเพื่อเป็นการสร้างความมั่นคง เป็นทุนการศึกษา เป็นมรดก รวมถึงเป็นทุนไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเมื่อยามเติบโตได้อีกด้วยส่วนผู้ที่ชื่นชอบการลงทุน ก็ยังมีประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Unit Linked) ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มค่าทั้งด้านความคุ้มครองชีวิตและโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการลงทุน มีลักษณะสำคัญคือมีความยืดหยุ่น เพราะผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกลงทุนด้วยตนเองจากกองทุนรวมที่บริษัทประกันชีวิตคัดสรรไว้ โดยที่ได้รับความคุ้มครองจากการประกันชีวิตรวมอยู่ด้วย หรือจะวางแผนออมเงินเพื่อวัยเกษียณ ประกันชีวิตแบบบํานาญ (Pension) ก็สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นแบบที่มุ่งเน้นการออมเงินในขณะที่ผู้เอาประกันภัยกำลังอยู่ในวัยทำงานและเป็นผู้มีรายได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บไว้เป็นรายได้ยามเกษียณ โดยเก็บสะสมไว้ทุกปีและเมื่อถึงวัยเกษียณ 55 ปี หรือ 60 ปี บริษัทก็จะจ่ายเป็นเงินบำนาญให้ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตถือเป็นการสร้างวินัยการออมที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้จะมีสภาพคล่องน้อยกว่าฝากเงินกับธนาคารเนื่องจากไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ก่อนครบกำหนดสัญญา แต่ถือเป็นการนำเงิน ไปต่อยอดที่คุ้มค่า เพราะการลงทุนหรือออมผ่านประกันชีวิตมีการคุ้มครองชีวิตเป็นหลัก หากมีเหตุทำให้ ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถส่งเบี้ยประกันภัยต่อไปได้ ครอบครัวหรือผู้ได้รับผลประโยชน์ก็ยังสามารถ ได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่าเงินออมหรือการลงทุนประเภทอื่นๆ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติม แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/506236

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X