Everyday knowledge for you
ประกันชีวิต
30/04/2024
ฮ่องกง, 27 เมษายน 2566 – กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“เอไอเอ” หรือ “บริษัท” รหัสหลักทรัพย์: 1299) ประกาศผลประกอบการมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตขึ้นร้อยละ 28 คิดบนอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (CER) สำหรับไตรมาสที่ 1 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 สรุปสาระสำคัญทางการเงิน อัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่: • มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตร้อยละ 28 อยู่ที่ 1,046 ล้านเหรียญสหรัฐ • มูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตขึ้นในทุกส่วนที่รายงาน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน • เอไอเอ ประเทศจีน มูลค่าธุรกิจใหม่กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เติบโตขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก • เอไอเอ ฮ่องกง ส่งมอบมูลค่าธุรกิจใหม่อันยอดเยี่ยมเป็นตัวเลขสองหลัก • การเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ในกลุ่มอาเซียนเติบโตขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก รวมถึงมูลค่าธุรกิจใหม่ในอินเดียที่เติบโตเป็นเลิศ • เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 อยู่ที่ 1,998 ล้านเหรียญสหรัฐนายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า: “เอไอเอ ส่งมอบผลประกอบการอันยอดเยี่ยมด้วยการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 คิดเป็นมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 เรามองเห็นการกลับมาเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งกลุ่มบริษัทเอไอเอ ในขณะที่เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์โรคระบาด และเราอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในด้านการประกันชีวิตและสุขภาพ และผมยินดีเป็นอย่างมากที่เอไอเอ ประเทศจีน ได้รับการอนุมัติตามกฎหมายให้เริ่มดำเนินธุรกิจในเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ได้แล้ว “ความแข็งแกร่งทางการเงินของเอไอเอ และรูปแบบการขายที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างยืดหยุ่น รวมถึงทีมผู้บริหารที่มากประสบการณ์ ถือเป็นปัจจัยหลักในการสร้างความแตกต่างที่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในตลาดการเงินที่ผันผวน และสามารถทำกำไรได้ในโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อย่างยั่งยืน “เอไอเอดำเนินธุรกิจในภูมิภาคที่น่าสนใจที่สุดในโลกด้านประกันชีวิตและสุขภาพ โดยได้รับแรงหนุนจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ผมมั่นใจว่าการมุ่งยึดปฏิบัติตามกลยุทธ์และข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่สำคัญของเรา จะยังคงส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของเรา” สรุปไตรมาสที่ 1 เอไอเอ มีการเติบโตต่อเนื่องปีต่อปี ซึ่งผลประกอบการรวมมาจากรายงานของทุกภาคส่วน โดยมูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตรวมทั้งสิ้น ร้อยละ 28 เป็น 1,046 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 เราเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักสำหรับมูลค่าธุรกิจใหม่นี้ มาจากการดำเนินงานในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง กลุ่มประเทศอาเซียน และอินเดีย ผลประกอบการในภาพกว้างของเรามาจากมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างยอดเยี่ยม ซึ่งมาจากทั้งช่องทางตัวแทนและพันธมิตร ด้วยผลงานที่ตัวแทนทำได้เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก ประกอบกับตัวแทนใหม่ของเรามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เอไอเอ ประเทศจีน ยังคงสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้กับกลุ่มบริษัทเอไอเอได้มากที่สุด และสร้างการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ซึ่งจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดที่ทำให้การดำเนินชีวิตของคนในประเทศจีนกลับมาเป็นปกติ ส่งผลให้เราสามารถเพิ่มยอดขายได้ตลอดในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2566 รวมทั้งได้การสนับสนุนจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล และการวิเคราะห์ รวมไปถึงโครงการพรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเราที่มีความแตกต่าง สามารถสร้างผลงานได้เพิ่มมากขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักในไตรมาสนี้ เรายังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ได้อย่างดีเยี่ยมในการดำเนินงานรูปแบบใหม่ และกลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการรับสมัครตัวแทนใหม่ในวงกว้างทั่วทุกภูมิภาค ทำให้เรามีโอกาสเติบโตที่ไม่เหมือนตลาดอื่น ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เรายังมีมูลธุรกิจใหม่ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2565 เอไอเอ ประเทศจีน ยังเพิ่งได้รับการอนุมัติตามกฎหมายให้เริ่มดำเนินการในมณฑลเหอหนาน เอไอเอ ฮ่องกง มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างยอดเยี่ยมสำหรับไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 โดยเติบโตขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักจากกลุ่มลูกค้าภายในประเทศ และความต้องการอย่างมากในผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ระยะยาว รวมถึงนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่กลับมาเดินทางท่องเที่ยวแบบเต็มรูปแบบในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รูปแบบการขายที่หลากหลายของเราและผลิตภัณฑ์สำหรับการออมระยะยาวที่มีหลากหลาย รวมถึงโซลูชันด้านความคุ้มครอง ทำให้เอไอเออยู่ในตำแหน่งที่สามารถสร้างความต้องการของลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ได้เพิ่มมากขึ้น เรายังคงเติบโตจากทั้งตัวแทนที่เป็นผู้นำตลาด และพันธมิตรคุณภาพสูงของเราในไตรมาส 1 ของปี 2566 เอไอเอ ประเทศไทย สร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2565 และสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเป็นตัวเลขสองหลักในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยการจัดผลิตภัณฑ์แบบผสมผสาน เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ธุรกิจของเราในสิงคโปร์และมาเลเซีย รายงานการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นตัวเลขสองหลักเช่นกัน โดยมาจากการเติบโตจากทั้งช่องทางตัวแทนและพันธมิตร มูลค่าธุรกิจใหม่ในตลาดอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากธุรกิจของเราในอินเดีย อินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ และฟิลิปปินส์ ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต (ทาทา เอไอเอ ไลฟ์) สร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ได้อย่างดีเยี่ยมและต่อเนื่อง จากทั้งช่องทางตัวแทนและพันธมิตร อีกทั้งยังขึ้นเป็นบริษัทประกันชีวิตเอกชนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของอินเดีย กลุ่มบริษัทเอไอเอได้มีการลงทุนในบริษัทบริษัท ไชน่า โพสต์ ประกันชีวิต (ไชน่า โพสต์ ไลฟ์) บริษัทประกันชีวิตชั้นนำในเครือธนาคารของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นการช่วยให้เข้าถึงมูลค่าธุรกิจที่สำคัญจากช่องทางการขายเพิ่มเติมและกลุ่มลูกค้า ซึ่งเป็นส่วนเสริมอย่างยิ่งต่อกลยุทธ์ของเอไอเอ ประเทศจีน มูลค่าธุรกิจใหม่ที่สร้างได้ตลอดทั้งปี 2565 ที่ผ่านมาสูงกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และไชน่า โพสต์ ไลฟ์ ยังมีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยอดเยี่ยมในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 ซึ่งมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ที่จ่ายเบี้ยประกันภัยระยะยาว อย่างไรก็ตาม รายงานของกลุ่มบริษัทเอไอเอ สำหรับมูลค่าธุรกิจใหม่ เบี้ยประกันภัยรับปีแรก และเบี้ยประกันภัยรับรวม ไม่ได้รวมมูลค่าที่ทำได้จากไชน่า โพสต์ ไลฟ์ โดยภาพรวม เบี้ยประกันภัยรับปีแรกสำหรับกลุ่มบริษัทเอไอเอเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เป็น 1,998 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตรากำไรจากมูลค่าธุรกิจใหม่ลดลง 2.3 จุด เป็นร้อยละ 52.3 มาจากการปรับเปลี่ยนการผสมผสานผลิตภัณฑ์เพื่อการออมระยะยาวในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง อีกทั้งบางส่วนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานทางเศรษฐกิจและค่าใช้จ่ายในการซื้อกิจการที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2565 สมมติฐานผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวที่ใช้ในการคำนวณมูลค่าธุรกิจใหม่ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากที่แสดงในรายงานประจำปี 2565 ของเรา อัตรากำไรขั้นต้นที่รายงานตามมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันธุรกิจใหม่ (PVNBP) ยังคงทรงตัวที่ร้อยละ 10 ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เป็น 10,236 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2565 สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นของเอไอเอเป็นตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญและความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งของเรา และแนวทางการลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยความรับผิดชอบ ในไตรมาสแรกของปี 2566 อัตราความคงอยู่ของพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มบริษัทเอไอเอยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 95 ภาพรวม การคาดการณ์ระยะยาวของธุรกิจเอไอเอทำให้เรามีข้อได้เปรียบอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก ความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และการเติบโตทางโครงสร้างที่แข็งแกร่งเป็นแรงกระตุ้นของธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ การมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงของบริษัทประกันของเอกชนที่ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำ และสวัสดิการภาครัฐที่ให้ความคุ้มครองที่จำกัด ทำให้ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของเอไอเอเป็นที่ต้องการไปทั่วทุกตลาดที่เราดำเนินการอยู่ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเอเชียยังคงแข็งแกร่งโดยคาดว่าจะได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่หลังการยกเลิกข้อจำกัดที่เกี่ยวกับโรคระบาด เรามั่นใจว่าการดำเนินการตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เอไอเอสามารถคว้าโอกาสระยะยาวมหาศาลในตลาดประกันชีวิตและสุขภาพในเอเชีย และสามารถส่งมอบมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นของเราต่อไป ความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน เอไอเอได้รับเบี้ยประกันภัยส่วนใหญ่เป็นเงินสกุลท้องถิ่น ซึ่งทำให้สินทรัพย์และหนี้สินของเรามีมูลค่าใกล้เคียงกัน ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ในรายงานงบการเงินรวมของกลุ่มที่มีการแปลเป็นเงินสกุลเหรียญสหรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น เราจึงมีการเปรียบเทียบอัตราการเติบโตจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เว้นแต่ระบุเป็นอย่างอื่น เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนของผลการดำเนินธุรกิจ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ, 24 เมษายน 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย จัดงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2022 เพื่อมอบรางวัลเกียรติยศให้แก่ตัวแทนยอดเยี่ยมของเอไอเอ ประเทศไทย ประจำปี 2565 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่ผู้บริหารหน่วยและตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอที่มีผลงานเป็นเลิศ “ที่สุดแห่งปี 2565 (Of the Year 2022)” จำนวน 3,753 ท่าน ที่ได้ร่วมกันส่งมอบความคุ้มครองและความมั่นคงทางด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงินให้แก่คนไทยทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives' โดยงานมอบรางวัลได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้แก่พลังตัวแทนเอไอเอ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อาคาร 5-7 วันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา ในงานมอบรางวัล AIA Annual Agency Presentation Awards 2022 ได้รับเกียรติจาก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ขึ้นกล่าวแสดงความยินดีแก่ตัวแทนและผู้บริหารหน่วยที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากกลุ่มบริษัทเอไอเอ นำโดย นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ นายตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารรระดับภูมิภาค ร่วมด้วย ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการอิสระ กลุ่มบริษัทเอไอเอ และประธานที่ปรึกษากรรมการ เอไอเอ ประเทศไทย คณะผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต และนายประกิตติ บุณยเกียรติ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เป็นตัวแทนในการมอบรางวัล และร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จที่มาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการส่งมอบความคุ้มครอง และการบริการอันเป็นเลิศให้กับลูกค้าแก่พลังตัวแทนที่ได้รับรางวัล “ที่สุดแห่งปี 2565 (Of the Year 2022) นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “ผมขอแสดงความยินดีและชื่นชมสำหรับความสำเร็จที่มาจากความมุ่งมั่น ทุ่มเทในการทำงาน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงชัยชนะอีกก้าวของพลังตัวแทนมืออาชีพที่ไม่เคยหยุดที่จะผลักดันตัวเองเพื่อความสำเร็จอีกขั้นที่รออยู่ข้างหน้า และเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ร่วมกันผลักดันให้เอไอเอ ประเทศไทย ยังคงความเป็นหนึ่งตลอดไป รวมถึงขอขอบคุณสำหรับความทุ่มเทและแรงสนับสนุนของทุกท่าน ด้วยการสร้างผลงานที่ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา รางวัล “ที่สุดแห่งปี” ที่มอบให้กับสุดยอดตัวแทน นับเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จที่มาจากแรงกายแรงใจในการทำงาน เพื่อส่งมอบสิ่งดี ๆ ให้แก่ลูกค้าของเรา ผมเชื่อมั่นว่าความสามารถและความตั้งใจของพลังตัวแทนทุกคนจะเป็นแรงขับเคลื่อนอันทรงพลังที่จะผลักดัน และสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองและพลังตัวแทนท่านอื่น ๆ ที่ต้องการประสบความสำเร็จในอาชีพ ได้มีพลังกาย พลังใจ พร้อมที่จะพัฒนาตนเองในการส่งมอบสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นให้คนไทยอีกหลายล้านคนตามพันธกิจ Healthier, Longer, Better Lives เพื่อก้าวไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จอย่างที่ทุกท่านตั้งเป้าหมายในปี 2566 นี้” นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบรางวัลให้กับกับสุดยอดพลังตัวแทนทั้ง 3,753 ท่าน ที่สามารถพิชิตรางวัลไปได้ในปีนี้ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่ได้แสดงให้เห็นตลอดปีที่ผ่านมา นำมาซึ่งความสำเร็จที่ได้รับในวันนี้ ทุกท่านถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้เอไอเอ เติบโตเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทย และอีกหนึ่งความสำเร็จในปีที่ผ่านมา คือ เอไอเอ ประเทศไทย มีตัวแทนที่สามารถพิชิตคุณวุฒิ Million Dollar Round Table (MDRT) จำนวนมากถึง 3,034 ราย ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโลก เติบโต 19% จากปี 2564 ซึ่งการยอมรับจากองค์กรระดับโลกนี้ ถือเป็นมาตรฐานความเป็นมืออาชีพในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและบริการทางการเงิน ที่รับประกันคุณภาพของพลังตัวแทนได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เราสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดี เพื่อช่วยให้ลูกค้าของเราได้รับความคุ้มครองที่มั่นคง และมีการวางแผนทางการเงินอย่างมั่งคั่ง เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพ และชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดระยะเวลากว่า 85 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย”ทั้งนี้ ผู้บริหารหน่วยและตัวแทนประกันชีวิตที่ได้รับรางวัล “ที่สุดแห่งปี 2565 (Of the Year 2022)” มีดังนี้ 1. Top District Manager Up of the Year 2022 - นพ. โสภณ นันทาภรณ์ศักดิ์ หน่วยทริปเปิ้ล เอ 2. Top Unit Manager Up (Direct Team & IO1) of the Year 2022 - คุณปราโมทย์ ถิรมงคลชัย หน่วยเพชรเหรียญทอง 229 3. Top Unit Manager of the Year 2022 - คุณธิดารัตน์ ศักดิ์สยามกุล หน่วยเทพประธานพร 9 4. Top Assistant Unit Manager 2022 - คุณปริญญา ชวีวัฒน์ หน่วยกาฬสินธุ์ 84 5. Top New Unit Manager of the Year 2022 - คุณพรเทพ สิทธิบรวงษ์ หน่วยไนน์แพลนเนอร์ 8 6. Top New Assistant Unit Manager of the Year 2022 - คุณปราณปรีย์ ตรีโชควิพุธ หน่วยนำทอง 1278 7. Top Agent of the Year 2022 – คุณเพชรรัตน์ รงค์บัญฑิต หน่วยเนอวานา 8. Top Agent (Cases) of the Year 2022 - คุณสุดารัตน์ ปิยขจรโรจน์ หน่วยเพชรเหรียญทอง 229 9. Top Agency Leader (Individual) of the Year 2022 – คุณนราภรณ์ อินทะพันธ์ หน่วยเดือนทอง 881
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
เงินล้าน เขาหากันยังไง ? ..วันนี้ผมจะเอามาแจกแจงให้ดูกัน เงินล้านแรก หายังไง หาเงิน มี 2 ทาง คือ หนึ่ง ขายเวลาตัวเอง (อันนี้ก็คือเป็นลูกจ้าง จะมีเงินล้านก็ยากหน่อย เพราะเวลาเรามีจำกัด มันเพิ่มไม่ได้) ที่เพิ่มได้คือ ค่าตัว แต่ปัญหาก็คือ มันเพิ่มได้จำกัดอยู่ดี ดังนั้น เส้นทางนี้มีเงินล้านยากครับ สอง ขายของ (อันนี้มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะยุคนี้ เราให้คนอื่นช่วยขาย หรือ ขายมันออนไลน์ ก็พอจะจัดการได้) มาลองคำนวณกันว่า ขายยังไง - ของ 10 บาท ต้องขาย 100,000 ชิ้น (ขายหมูปิ้งแสนไม้ ลองคำนวณว่า กี่วัน หรือ จะลงทุนเพิ่มรถเข็น จ้างคนมาช่วยขาย ..คุ้มป่าว ?) - ของ 100 บาท ต้องขายได้ 10,000 ชิ้น (โจทย์หินพอๆ กัน ทำอาหารกล่องอย่างแพง ต้องทำหมื่นกล่อง ..ฮึมม !!) - ของ 1,000 บาท ต้องขายได้ 1,000 ชิ้น (ลองคิดซิ สินค้าอะไรกำไร 1,000 บาทต่อชิ้น ...กาแฟ Starbucks ยังไม่ได้เลย ...อะไร กำไรชิ้นละพัน ลองคิดดู?) - ของ 10,000 บาท ต้องขายได้ 100 ชิ้น (เออ !! ร้อยชิ้น เริ่มพอเห็นทาง แต่ประเด็นเหมือนเดิม ขายอะไรกำไรชิ้นละหมื่น ...ถ้าขายตัวเรา จบปริญญาตรี ทำทั้งเดือนเลย หมื่นกว่าบาท ...ถ้าทำ 100 เดือน ก็ แปดปี ไม่ใช้เงินเลย ก็จะได้ล้านนึง) - ของ 100,000 บาท ต้องขายได้ 10 ชิ้น (อันนี้ภาพ รถยนต์ หรือ สร้างบ้านขาย ก็ไม่ใช่จะขายง่ายๆ ...ด้วยทุนเราเองไม่น่าทำได้ ต้องกู้หนักเลยทำระดับนี้) ยากไหม ? ...ใช่ยาก ที่ยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อจะบอกว่า แค่เงินล้าน ถ้าวางแผนไม่ดี ทั้งชีวิตยังหาไม่ได้เลย แล้วสงสัยไหมครับว่า คนที่รวย ร้อยล้าน , พันล้าน , หมื่นล้าน , แสนล้าน พระเจ้าช่วยกล้วยทอด เขาทำกันยังไง ? สินทรัพย์ครับ ...เขาสร้างสินทรัพย์แล้วขายในราคาที่สูง ...สร้างธุรกิจ / ลงทุนในหุ้น / สร้างอสังหา / ปั้นบริษัทเข้าตลาด / ลงทุนในธุรกิจ ...จะบอกว่า เกมนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ได้มีสอนในโรงเรียน เราเลยไม่ค่อยเห็นคนรวยมากๆ ลองตั้งโจทย์กับตัวเองว่า จากวันนี้ไป เราจะต้องเชี่ยวชาญเรื่องสินทรัพย์ เพราะเรื่องนี้มันสร้างมหาเศรษฐี ...ตั้งโจทย์ - หาความรู้ แล้ว ลุยครับ ช้าไปไหม ที่จะเริ่มเรียนรู้เรื่องสินทรัพย์วันนี้ ? ...ไม่ช้าหรอกครับ เพราะคนอีก 99% ของโลก ยังไม่เคยลงทุนในสินทรัพย์อะไรเลย ...รู้วันนี้คุณก็คือ คนที่เลือกเส้นทางการเป็นคน 1% ของโลก ...อย่ารอ เริ่มเรียนรู้เลยครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับstock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5331
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
เมื่ออายุมากขึ้น ความรับผิดชอบในเรื่องต่างๆ ก็มากขึ้นตาม สุขภาพอาจส่งสัญญาณเตือนในรูปแบบของโรคร้าย การทำ “ประกันโรคร้ายแรง” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สามารถเพิ่มความอุ่นใจเรื่องค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพได้ แต่ก่อนที่จะเลือกประกันสุขภาพโรคร้ายแรงกับบริษัทใดก็ตาม วันนี้ขอพาทุกคนไปรู้จักกับ 3 เรื่องสำคัญเกี่ยวกับประกันประเภทนี้ที่หลายคนมองข้ามไป แต่จะมีอะไรบ้าง ตามมาเช็กรายละเอียดได้เลยเรื่องควรรู้ที่ 1 : ความคุ้มครองเมื่อพูดถึงการทำ “ประกันโรคร้ายแรง” แล้ว คนส่วนใหญ่มักมีข้อสงสัยเรื่องความจำเป็นในการทำประกันโรคร้ายแรง รวมถึงความคุ้มครองเพิ่มเติมที่จะได้รับ ซึ่งการจะตอบข้อสงสัยในส่วนนี้ได้อย่างชัดเจน เราจะขออธิบายรายละเอียดเป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้1. หากมี “ประกันสุขภาพ” อยู่แล้ว...ยังจำเป็นต้องทำประกันโรคร้ายแรงหรือไม่?หลายคนมองว่า “ประกันโรคร้ายแรง” เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เพราะเชื่อว่า “ประกันสุขภาพ” เพียงอย่างเดียวสามารถครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ อีกทั้งในปัจจุบันบริษัทประกันหลายๆ แห่งออกผลิตภัณฑ์ประกันเฉพาะโรคอยู่แล้ว ประกันคุ้มครองโรคร้ายที่ครอบคลุมโรคร้ายแรงหลายๆ โรค ยิ่งไม่จำเป็นเข้าไปใหญ่ “แต่ในความเป็นจริงแล้ว ‘ประกันสุขภาพ’ นั้นไม่ได้ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายเมื่อป่วย เพราะส่วนใหญ่จะคุ้มครองค่าใช้จ่ายแค่ในกรณีแอดมิท หรือหากมีการคุ้มครองแบบ OPD ด้วยก็มักจะมีวงเงินที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับเบี้ยที่ต้องจ่ายเพิ่มเติม หรือหากเป็น ‘ประกันเฉพาะโรค’ ก็จะให้ความคุ้มครองเฉพาะโรคที่ระบุไว้เท่านั้น”อย่างไรก็ดี เวลาที่เปลี่ยนไปและอายุที่เพิ่มขึ้นก็นำพาโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ มาสู่ตัวเราได้ บางโรคอาจพัฒนาเป็น “โรคร้ายแรง” ที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงเครื่องมือพิเศษในการรักษา ใช้ระยะเวลาในการรักษาที่นานกว่า ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาจะอยู่ที่หลักแสนหรือหลักล้าน ซึ่งถือว่าสูงกว่าโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ อยู่มาก หลายๆ รายการไม่ได้เกิดขึ้นในโรงพยาบาล“ด้วยเหตุนี้ การทำ ‘ประกันโรคร้ายแรง’ จึงเข้ามาตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายและการรักษาพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องนำเงินออมของตัวเองออกมาใช้จ่ายในการรักษา ลดผลกระทบที่จะเกิดกับสินทรัพย์ของเรา และลดโอกาสการเป็นหนี้ อีกทั้งประกันยังสามารถช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกโรงพยาบาลขณะรักษาตัว ทั้งค่าคนดูแล ค่าเดินทาง ค่าปรับปรุงบ้าน ไปจนถึงภาระหนี้สินต่างๆ ได้ ดังนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยวางแผนและเตรียมความพร้อมให้กับการรักษาโรคเท่านั้น แต่การทำประกันตัวนี้ยังช่วยวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย2. “ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง” ให้ความคุ้มครองโรคร้ายใดบ้างถึงจะมีเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่แตกต่างกันออกไป แต่ “โรคร้ายแรง” ในประกันคุ้มครองโรคร้ายแรงส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มหลัก ประกอบไปด้วย 1. กลุ่มโรคมะเร็งและเนื้องอก เช่น มะเร็งระยะลุกลาม เนื้องอกชนิดที่ไม่ใช่มะเร็ง 2. กลุ่มโรคหัวใจ ระบบการหายใจ และระบบการไหลเวียนโลหิต เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจ 3. กลุ่มโรคหลอดเลือดสมอง และระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เช่น ภาวะโคม่า อัลไซเมอร์ 4. กลุ่มโรคอวัยวะและระบบการทำงานที่สำคัญของร่างกาย เช่น ไตวายเรื้อรัง 5. กลุ่มโรคภาวะติดเชื้อ การบาดเจ็บร้ายแรงและภาวะทุพพลภาพ เช่น แผลไหม้ เบาหวานขึ้นตา 6. กลุ่มโรคร้ายแรงสำหรับผู้เยาว์อายุไม่เกิน 16 ปี เช่น โรคคาวาซากิ และ โรคเบาหวานชนิดที่ 1“นอกจากนี้ ‘ประกันโรคร้ายแรง’ ยังให้ความคุ้มครองที่แตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของโรคร้าย ตลอดจนอายุและโรคประจำตัวของผู้เอาประกัน ดังนั้น อย่าลืมศึกษาและทำความเข้าใจเอกสารเสนอขาย เงื่อนไขกรมธรรม์ และรายละเอียดให้ครบถ้วนเพื่อเลือกประกันสุขภาพโรคร้ายแรงที่สามารถคุ้มครองค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม”เรื่องควรรู้ที่ 2 : ผลประโยชน์ทางภาษี“ประกันสุขภาพ” ไม่เพียงคุ้มครองกรณีโรคร้ายแรง แต่ยังได้ “ผลประโยชน์ทางภาษี” ด้วย โดย “ประกันโรคร้ายแรง” นั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มประกันสุขภาพที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาทต่อปี หรือตามเงื่อนไขทางภาษีในแต่ละปี ซึ่งเมื่อรวมเบี้ยประกันในส่วนนี้เข้ากับประกันสุขภาพตัวอื่นและประกันชีวิตแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท โดยเราจะได้รับประโยชน์ทางภาษีก็ต่อเมื่อเราทำประกันกับบริษัทประกันในประเทศไทยเท่านั้นเรื่องควรรู้ที่ 3 : เลือกกรมธรรม์ตามต้องการได้“ประกันโรคร้ายแรง” มาพร้อมกับกรมธรรม์ที่หลากหลาย ให้ความคุ้มครองแตกต่างกัน และมีรูปแบบการจ่ายเบี้ยที่เลือกได้ เช่น เบี้ยทิ้ง/เบี้ยไม่ทิ้ง เบี้ยเพิ่มขึ้น/เบี้ยคงที่ จ่ายทุกปีตลอดระยะเวลาคุ้มครอง/จ่ายสั้นคุ้มครองยาว ไม่มีมูลค่าเงินสด/มีมูลค่าเงินสด เป็นต้น โดยผู้เอาประกันสามารถเลือกพิจารณาให้เหมาะกับเงินเดือนและเงื่อนไขที่ตัวเองต้องการได้ นอกจากนี้แล้ว ผู้เอาประกันยังสามารถเลือกเงื่อนไขของค่าใช้จ่ายในการรักษาในประกันคุ้มครองโรคร้ายแรงได้เช่นกัน โดยจะแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ 1. แผนประกันแบบจ่ายเงินก้อน: ประกันจะจ่ายเงินเป็นก้อนให้ทันทีเมื่อตรวจพบเจอโรคร้ายแรง ทำให้ผู้เอาประกันมีเงินก้อนสำหรับรักษา และหากเหลือก็สามารถนำมาดูแลค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ได้ 2. แผนประกันแบบจ่ายวงเงินรักษา: หากผู้เอาประกันเลือกแผนประกันนี้ ประกันจะจ่ายวงเงินสำหรับการรักษาให้ โดยค่าใช้จ่ายนี้จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง หรือตามระยะเวลาที่เข้ารับการรักษานั่นเอง“นอกเหนือจากรายละเอียดข้างต้นนี้ การเลือกทำ ‘ประกันโรคร้ายแรง’ ยังมาพร้อมกับเงื่อนไขอีกมากมายที่แตกต่างไปตามความต้องการของบุคคล ซึ่งสำหรับใครที่ต้องการเลือกประกันประเภทต่างๆ ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของตัวเองมากที่สุด ควรศึกษา รายละเอียดความคุ้มครองของกรมธรรม์ และสอบถามจากตัวแทนบริษัทประกัน หรือนักวางแผนทางการเงิน ให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/12774
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ข้อมูลจากการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกประจำปี 2023 ของ นิตยสารฟอร์บส (Forbes) ซึ่งยึดข้อมูล ณ วันที่ 10 มีนาคม 2023 ทั่วโลกมีมหาเศรษฐีที่มั่งคั่งระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป (billionaire) อยู่จำนวน 2,640 คน เป็นพลเมืองของ 77 ประเทศ/เขตการปกครองทั่วโลก ในแง่จำนวนมหาเศรษฐีระดับพันล้าน (billionaire) ปี 2023 ทั่วโลกมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านลดลงจากปี 2022 ที่มี 2,668 คน ส่วนในแง่ “ที่มา” ของเหล่า billionaire เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ซึ่งมาจาก 75 ประเทศ/เขตการปกครอง โดยสองประเทศที่มีมหาเศรษฐีพันล้านรายใหม่ขึ้นมาที่ละ 1 คน ได้แก่ ปานามา และอาร์เมเนีย สหรัฐอเมริกา ยังครองตำแหน่งเป็นประเทศที่มีพลเมืองที่ร่ำรวยมากที่สุด ด้วยจำนวนมหาเศรษฐีพันล้าน 735 คน จำนวนคงที่เท่ากับในปี 2022 ถึงแม้ว่าชาวอเมริกันเกือบ 50 คน รวมถึงคานเย เวสต์ (Kanye West) และแซม แบงก์แมน-ฟรายด์ (Sam Bankman-Fried) ได้ร่วงลงจากการเป็นผู้มั่งคั่งระดับพันล้าน แต่ก็มีคนที่มั่งคั่งขึ้นถึงระดับพันล้านเป็นครั้งแรกในปีนี้เข้าไปทดแทนในลิสต์ รวมถึงนักกีฬาชื่อดัง เลบรอน เจมส์ (LeBron James) และไทเกอร์ วูดส์ (Tiger Woods) ในปีนี้สหรัฐไม่ใช่บ้านของบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลกแล้ว เพราะ เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ (Bernard Arnault) มหาเศรษฐีเจ้าของอาณาจักรสินค้าหรูชาวฝรั่งเศส ได้แซงหน้า อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกไปแล้ว ถึงอย่างนั้น อเมริกายังคงมีมหาเศรษฐีระดับ top 25 มากที่สุดจำนวน 17 จาก 25 คน โดยรวมแล้ว มหาเศรษฐีชาวอเมริกันมีความมั่งคั่งรวมกัน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว เนื่องจากตลาดถดถอย การสะดุดของเหล่าสตาร์ทอัพระดับ “ยูนิคอร์น” (สตาร์ตอัพที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงตามหลอกหลอนนักลงทุน ทำให้มีการลงทุนในบริษัทของมหาเศรษฐีเหล่านี้น้อยลง ประเทศจีน มีมหาเศรษฐีพันล้านมากเป็นอันดับ 2 ของโลก จำนวน 495 คน (ไม่รวมชาวฮ่องกงและมาเก๊า) มีทรัพย์สินรวมกัน 1.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีจีนในภาพรวมตกต่ำลงเช่นกัน โดยจำนวนมหาเศรษฐีพันล้านลดลงจากเมื่อปี 2022 ที่มี 539 คน กับความมั่งคั่งรวม 1.96 ล้านล้านดอลลาร์ ปัจจัยลบของจีนที่ทำให้ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีลดลงมีหลายปัจจัย ทั้งนโยบาย Zero-COVID ที่ใช้เกือบตลอดทั้งปี 2022 ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจลดลงและกระทบต่อราคาหุ้น ขณะที่วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนก็ส่งผลเศรษฐกิจของจีนในช่วงที่ผ่านมารวมถึงแนวโน้มในอนาคต ขณะที่การปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ส่งผลให้ความมั่งคั่งของเจ้าของบริษัทบิ๊กเทคลดลง คนที่ความมั่งคั่งลดลงมากอย่างเด่นชัดคือ เชือง เซาหมิง (Xiong Shaoming) ผู้ก่อตั้ง Smoore International และเจ้า เว่ยกั๋ว (Zhao Weiguo) ประธานบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ Tsinghua Unigroup อินเดีย มีมหาเศรษฐีพันล้านมากเป็นอันดับที่ 3 จำนวน 169 คน ปี 2023 เป็นปีที่ตัวเลขทางสถิติของอินเดียออกมาเป็นแบบผสม คือ ในแง่จำนวนมหาเศรษฐี อินเดียมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านเพิ่มขึ้น 3 คน แต่ในแง่ความมั่งคั่ง มหาเศรษฐีพันล้านของอินเดียมีความมั่งคั่งรวมกัน 675,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2022 ถึง 75,000 ล้านดอลลาร์ สาเหตุสำคัญที่ความมั่งคั่งในภาพรวมของมหาเศรษฐีอินเดียลดลงนั้นคือ การสูญเสียความมั่งคั่งของ โกตัม อดานี (Gautam Adani) หลังจากที่ Adani Group ถูกกล่าวหาเรื่องฉ้อโกง ทำให้ความมั่งคั่งของเขาลดลงจากปี 2022 เกือบ 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งของความมั่งคั่งที่ลดลงทั้งหมด ทั้งนี้ เมื่อตอนที่ฟอร์บสจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกปี 2022 โกตัม อดานี มีสินทรัพย์ 90,000 ล้านดอลลาร์ แต่ ณ วันที่ 10 มีนาคม 2023 ที่ฟอร์บสจัดเก็บข้อมูลวันสุดท้ายเพื่อจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกปี 2023 เขามีสินทรัพย์ 47,200 ล้านดอลลาร์ เยอรมนี เป็นประเทศที่มีมหาเศรษฐีพันล้านมากเป็นอันดับ 4 อีกครั้ง โดยมีจำนวน 126 คน ลดลงจาก 134 คนในปีที่แล้ว ตัวอย่างคนที่ความมั่งคั่งลดลงอย่างมากจนหลุดจากสถานะ “มหาเศรษฐีพันล้าน” ได้แก่ โยอาคิม อันเต (Joachim Ante) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเกม Unity Software และสามทายาทตระกูลคนอฟ (Knauf) เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านวัสดุก่อสร้าง Knauf Gips KG ส่วนบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของเยอรมนี คือ ดีเทอร์ ชวาร์ซ (Dieter Schwarz) ด้วยความมั่งคั่ง 42,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบริษัท Schwarz Group ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ซูเปอร์มาร์เก็ตลดราคา Lidl และ Kaufland ที่สร้างยอดขายปีละกว่า 140,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับรัสเซีย แม้จะมีสงครามและเผชิญการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก แต่ในขวบปีที่ผ่านมามหาเศรษฐีชาวรัสเซียกลับทำผลงานได้ดีกว่าบรรดากลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดของโลกจากประเทศอื่น ๆ โดยกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศรัสเซียสามารถชดเชยความสูญเสียเกือบทั้งหมดที่รัสเซียได้รับจากการคว่ำบาตร รัสเซียมีมหาเศรษฐีพันล้าน 105 คนในปีนี้ มีความมั่งคั่งรวมกัน 474,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีคนร่ำรวยขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีพันล้านเพิ่มขึ้น 22 คน จากปี 2022 ที่มีจำนวน 83 คนกับความมั่งคั่งรวม 320,000 ล้านดอลลาร์ เหตุผลที่จำนวนมหาเศรษฐีพันล้านในรัสเซียเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ เนื่องจากผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจของรัสเซียส่วนใหญ่ได้ความมั่งคั่งที่สูญเสียไป (ในช่วงแรกที่รัสเซียบุกยูเครน) กลับคืนมา โดยในบรรดามหาเศรษฐีพันล้านชาวรัสเซีย 105 รายในปีนี้ มี 25 รายที่เคยเป็นมหาเศรษฐีพันล้านในปีก่อน ๆ แต่ความมั่งคั่งของพวกเขาลดลงเมื่อปีที่แล้วในช่วงแรกที่รัสเซียบุกยูเครน ก่อนที่จะฟื้นกลับขึ้นมาได้ในปีนี้ เมื่อปี 2021 รัสเซียมีมหาเศรษฐีพันล้านจำนวน 117 คน มีสินทรัพย์รวมกัน 584,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลังจากรัสเซียบุกยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซียอย่างหนัก แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลกได้หนุนให้บริษัทรัสเซียบางแห่งมีรายรับเพิ่มขึ้น ผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคือบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของรัสเซีย อันเดรย์ เมลนิเชนโก (Andrey Melnichenko) เจ้าของธุรกิจปุ๋ย ซึ่งมีทรัพย์สินประมาณ 25,200 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 11,100 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 เป็นผลมาจาก EuroChem บริษัทปุ๋ยยักษ์ใหญ่ของเขาได้ประโยชน์จากราคาปุ๋ยที่พุ่งสูงขึ้นหลังรัสเซียบุกยูเครน ส่วนคนอื่น ๆ ที่กอบกู้ความมั่งคั่งของพวกเขากลับมาได้ ได้แก่ ผู้ประกอบการน้ำมัน วากิต อาเล็กเพรอฟ (Vagit Alekperov) รวยเพิ่มขึ้น 10,000 ล้านดอลลาร์ อเล็กซีย์ มอร์ดาชอฟ (Alexey Mordashov) เจ้าของธุรกิจเหล็ก Severstal รวยเพิ่มขึ้น 7,700 ล้านดอลลาร์ และเจ้าพ่อธุรกิจนิกเกิล วลาดีมีร์ โปตานิน (Vladimir Potanin) แห่ง Norilsk Nickel ที่รวยเพิ่มขึ้น 6,400 ล้านดอลลาร์ 20 ประเทศ/เขตการปกครองที่มีมหาเศรษฐีพันล้าน (billionaire) มากที่สุดในโลกในปี 2023 ตามการจัดอันดับของฟอร์บส ได้แก่ สหรัฐอเมริกา : 735 คน (2022 : 735) จีน : 495 คน (2022 : 539) อินเดีย : 169 คน (2022 : 166) เยอรมนี : 126 คน (2022 : 134) รัสเซีย : 105 คน (2022 : 83) ฮ่องกง : 66 คน (2022 : 67) อิตาลี : 64 คน (2022 : 52) แคนาดา : 63 คน (2022 : 64) ไต้หวัน : 52 คน (2022 : 51) สหราชอาณาจักร : 52 คน (2022 : 50) บราซิล : 51 คน (2022 : 62) ออสเตรเลีย : 47 คน (2022 : 46) ฝรั่งเศส : 43 คน (2022 : 43) สวิตเซอร์แลนด์ : 41 คน (2022 : 41) ญี่ปุ่น : 40 คน (2022 : 40) สวีเดน : 39 คน (2022 : 45) สิงคโปร์ : 35 คน (2022 : 26) เกาหลีใต้ : 30 คน (2022 : 41) อิสราเอล : 30 คน (2022 : 30) อินโดนีเซีย : 29 คน (2022 : 30) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/world-news/news-1265009
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
30/04/2024
ชีวิต คือ ความไม่แน่นอน มีความเสี่ยงหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ โดยหนึ่งในความเสี่ยงที่สร้างผลกระทบกับการดำรงชีวิตประจำวัน รวมไปถึงอาจรุนแรงถึงการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของคนคนหนึ่งได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ คือ ความเสี่ยงด้านสุขภาพ การเจ็บไข้ได้ป่วย โดยเฉพาะการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง หรือภาวะการเจ็บป่วยเรื้อรังต่าง ๆเป็นเรื่องดีที่คนในวัยทำงานหลายคนได้ทำงานอยู่ในองค์กรที่มีประกันสุขภาพแบบกลุ่มช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามมีหลายคนที่สนใจทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมจากสวัสดิการที่บริษัททำให้ ซึ่งแน่นอนว่าสามารถทำได้ แต่ก่อนตัดสินใจควรพิจารณาว่าตัวเองมีความจำเป็นที่จะต้องทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และหากต้องทำเพิ่มเติม จะต้องทำอย่างไร ซึ่งมี 3 เรื่องที่ต้องคำนึง ดังนี้1. ประกันกลุ่มเป็นสวัสดิการที่บริษัทมีให้สำหรับบุคคลที่มีสถานะเป็นพนักงานของบริษัทเท่านั้น หากพนักงานลาออก เกษียณ หรือพ้นจากสภาพการเป็นพนักงานของบริษัทไม่ว่าด้วยเหตุผลใด สวัสดิการเหล่านั้นก็จะไม่ได้ติดตัวตามมาด้วยดังนั้น ผู้ที่วางแผนจะออกจากงาน โดยเฉพาะหากจะลาออกมาเป็นเจ้าของกิจการหรือทำงานอิสระเอง จึงมีความสำคัญและจำเป็นที่จะต้องวางแผนหรือคำนึงถึงเรื่องการทำประกันสุขภาพ เพื่อให้เป็นสวัสดิการของตนเองทดแทนประกันแบบกลุ่มที่เคยได้รับความคุ้มครอง เนื่องจากทุกวันที่ผ่านเลยไป หมายถึงอายุที่มากขึ้น และโอกาสที่จะเจ็บป่วยหรือมีปัญหาด้านสุขภาพอาจมากขึ้นตามไปด้วยหากไปสมัครทำประกันสุขภาพในช่วงเวลานั้นที่มีความเจ็บป่วยเกิดขึ้นแล้ว ค่าใช้จ่ายการทำประกันก็จะสูงขึ้นเนื่องจากบริษัทประกันอาจจะรับทำประกันโดยมีเบี้ยประกันส่วนเพิ่ม หรืออาจจะไม่รับคุ้มครองความเจ็บป่วยที่มีขึ้นก่อนหน้า หรืออาจจะไม่รับทำประกันเลยก็เป็นไปได้2. เงินเฟ้อของค่ารักษาพยาบาล เป็นอัตราที่สูงมากถึง 7-8% ต่อปี หมายความว่า ภายในระยะเวลาประมาณ 8-10 ปี ค่ารักษาพยาบาลและค่าบริการทางการแพทย์ต่าง ๆ อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า วงเงินค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับจากประกันกลุ่มที่มีอยู่เพียงทางเดียวจึงอาจจะไม่เพียงพอกับค่ารักษาพยาบาลที่ปรับสูงขึ้นอีกในอนาคต จึงจำเป็นต้องพิจารณาในแต่ละบุคคลว่ามีความต้องการที่จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากประกันสุขภาพที่ทำเพิ่มเติมไว้เองด้วยหรือไม่3. ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องในการเจ็บป่วย เช่น ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับการรักษา ค่าจ้างคนดูแลสำหรับกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รวมถึงค่าเสียโอกาสจากการไม่ได้ไปประกอบอาชีพ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ โดยส่วนใหญ่จะไม่ได้รับการชดเชยในรูปแบบของประกันกลุ่มหากมีความจำเป็นที่จะต้องทำประกันสุขภาพเพิ่มเติม ในแง่ของการวางแผนประกันสุขภาพ สามารถพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ดังนี้● ประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพของตนเองและรูปแบบการใช้ชีวิต โดยดูจากประวัติด้านสุขภาพและความเจ็บป่วยของตนเอง บุคคลในครอบครัวและญาติพี่น้อง เนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตส่งผลต่อคุณภาพของสุขภาพและเกี่ยวเนื่องกับโรคบางโรค โรคร้ายแรงบางกลุ่มยังสามารถส่งต่อและถ่ายทอดทางพันธุกรรม ให้พิจารณาร่วมกับสถานพยาบาลที่เรามีแนวโน้มจะได้ใช้รักษาหรือที่ใช้บริการอยู่เป็นประจำ ซึ่งจะมีค่ารักษาพยาบาลและรูปแบบการรักษาที่แตกต่างกัน จะทำให้ประเมินความคุ้มครองของวงเงินการรักษาที่ต้องใช้ได้● เปรียบเทียบความคุ้มครองที่ต้องการ (วงเงินการรักษา) กับวงเงินการรักษาที่มีอยู่จากสวัสดิการประกันกลุ่ม เพื่อพิจารณาและหาความคุ้มครองที่ต้องการเพิ่มเติม หรือความคุ้มครองที่ต้องใช้ ในกรณีที่ออกจากงาน ในวันที่ไม่มีสวัสดิการประกันกลุ่มอีกต่อไป เพื่อนำไปเลือกแบบประกัน● แบบประกันสุขภาพ จะมีทั้งรูปแบบที่กำหนดวงเงินค่ารักษาสูงสุดที่จะจ่ายตามค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละรายการ แต่ไม่เกินค่าวงเงินสูงสุดที่กำหนดไว้ และประกันแบบเหมาจ่ายที่จะกำหนดวงเงินความคุ้มครองสูงสุดสำหรับบางรายการ และกำหนดวงเงินความคุ้มครองในลักษณะแบบเหมาจ่ายโดยรวมสำหรับความคุ้มครองรายการอื่น ๆ ที่เหลือ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายจะมีค่าเบี้ยประกันโดยรวมที่สูงกว่าแบบประกันที่กำหนดวงเงินค่ารักษาแต่ละรายการสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง คือ เบี้ยประกันสุขภาพจะปรับขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะหากเป็นช่วงที่อายุมากขึ้นหลังเกษียณจะมีเบี้ยประกันที่สูงมาก ควรตรวจสอบความเป็นไปได้ในการจัดการสภาพคล่องของเราในอนาคต เพื่อให้ชำระเบี้ยประกันได้ตลอดระยะเวลาที่สัญญาคุ้มครอง หลักเกณฑ์ทั่วไปคือ อัตราส่วนเบี้ยประกันเทียบกับรายได้ควรจะอยู่ที่ประมาณ 10-15% ของรายได้รวม เพื่อไม่ให้การชำระเบี้ยประกันสุขภาพเป็นภาระที่หนักเกินไปหากมีความจำเป็นต้องควบคุมค่าใช้จ่ายในการทำประกันสุขภาพ สามารถเลือกแบบประกันสุขภาพที่มีค่า Deductible หรือความรับผิดส่วนแรก ที่สามารถเคลมได้จากสวัสดิการที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันสุขภาพได้มากยิ่งขึ้น เช่น เลือกทำประกันสุขภาพแบบที่มี “รับผิดส่วนแรก (Deductible)” 30,000 บาท หากค่าการรักษาพยาบาลทั้งหมด 100,000 บาท บริษัทประกันจะคุ้มครอง 70,000 บาท และผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบ 30,000 บาทแรกซึ่งค่าใช้จ่ายในความรับผิดส่วนแรกมูลค่า 30,000 บาท ผู้เอาประกันสามารถใช้วงเงินจากประกันสุขภาพฉบับเดิมที่มีอยู่แล้วหรือวงเงินสวัสดิการของบริษัทในการชำระได้ เท่ากับว่าผู้เอาประกันจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มทั้งสิ้น หรือพิจารณารับความเสี่ยงด้านสุขภาพไว้เองในบางส่วน ด้วยการสำรองเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายส่วนนี้ รวมทั้งการวางแผนนำเงินสำรองไปลงทุนให้งอกเงย เปรียบได้กับการสร้างแผนการลงทุนเพื่อดูแลสุขภาพของตนเอง ซึ่งหากเป็นการเก็บออมในระยะยาวแล้ว อาจรับความเสี่ยงบางส่วนเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นนอกจากการทำประกันสุขภาพซึ่งเป็นวิธีการจัดการความเสี่ยงในรูปแบบการโอนความเสี่ยงแล้ว สิ่งที่ควรทำควบคู่กันไป คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตและดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงในเชิงป้องกัน หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และดูแลเรื่องอาหารการกิน การพักผ่อน และสภาวะจิตใจเพื่อช่วยลดและควบคุมความเสี่ยงด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการช่วยจัดการความเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (ที่มา: www.setinvestnow.com, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)บมความโดย ธชธร สมใจวงษ์ นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/prachachat-wealth/news-1220509
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ กระแสเรื่อง “เงินหยวน” ของจีนอาจจะโค่นล้มดอลลาร์สหรัฐขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ทั้งในแง่การเป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ (reserve currency) รวมทั้งจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระค่าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ (cross-border payments) เริ่มเปรี้ยงปร้างขึ้นมาครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว หลังจากรัสเซียรุกรานยูเครน และรัสเซียถูกชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกาและยุโรปลงโทษด้วยการไม่ให้เข้าถึงเงินสกุลดอลลาร์และยูโร ทำให้รัสเซียหันไปพึ่งมิตรอย่างจีน และทั้งสองประเทศก็เปิดการค้าขายระหว่างกันด้วยสกุลเงินของตัวเอง แทน “ดอลลาร์สหรัฐ” มาปีนี้กระแสเงินหยวนจะโค่นเงินดอลลาร์กลับมาอีกครั้ง หลังจากจีนทำข้อตกลงกับซาอุดีอาระเบียในการชำระค่าน้ำมันด้วยเงินหยวน จากเดิมชำระด้วยดอลลาร์ ประกอบกับรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ล่าสุดระบุว่า สัดส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกในรูปดอลลาร์สหรัฐลดลงมาก จากที่เคยอยู่ระดับ 71% เมื่อปี 2000 เหลือเพียง 59.79% ในปัจจุบัน ส่วนเงินหยวนสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาที่ 2.76% หรืออยู่อันดับ 5 ต่อจากยูโร (19.66%) เยน (5.26%) และปอนด์ (4.62%) สำหรับฝ่ายที่เชื่อว่าหยวนจะผงาดขึ้นมาแทนดอลลาร์ จะอ้างอิงเหตุผลที่ว่า การที่สหรัฐใช้ดอลลาร์เป็นเครื่องมือลงโทษรัสเซีย ทำให้หลายประเทศเริ่มหวาดกลัวว่าอาจจะถูกสหรัฐใช้วิธีเดียวกันเล่นงาน จึงลดการถือครองดอลลาร์ไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามการที่เงินสกุลใดจะผงาด ขึ้นมาเป็นสกุลทรงอิทธิพล ได้รับการยอมรับ และที่สำคัญได้รับความไว้วางใจจากทั่วโลกไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนั้น การเป็นสกุลเงินเบอร์หนึ่งของโลก ไม่ได้มีแต่ข้อดีหรือข้อได้เปรียบ หากแต่มีข้อเสียและภาระต้องแบกรับเช่นกัน เมื่อปี 1965 อดีตประธานาธิบดี “ชาร์ลส์ เดอโกล” ของฝรั่งเศส เคยวิจารณ์ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นมี “exorbitant privilege” (สิทธิพิเศษหรือข้อได้เปรียบมากเกินไป) ต่อมาปี 2011 อดีตประธานาธิบดี “หู จิ่นเทา” ของจีนวิจารณ์ว่า ระบบการเงินโลกที่มีดอลลาร์สหรัฐครอบงำนั้น “เป็นอดีตไปแล้ว” และจีนจะแทนที่ด้วยเงินหยวน เมื่อกาลเวลาผ่านไป สถานะของการเป็นสกุลเงินหลักของโลกย่อมหมายถึง “ค่าเงินแข็ง” เพราะความต้องการสูง ใคร ๆ ก็นิยมดอลลาร์ ส่งผลให้สหรัฐไม่สามารถแข่งขันเรื่องส่งออกได้ และ ขาดดุลการค้ามหาศาล นำมาสู่การขาดดุลแฝด กล่าวคือขาดดุลการคลังและดุลบัญชีเดินสะพัดพร้อมกัน ต้องกู้เงินมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อแก้ปัญหา จึงทำให้นักเศรษฐศาสตร์สร้างวลีใหม่สำหรับดอลลาร์ นั่นคือ “exorbitant burden” (สร้างภาระมากเกินไป) เพราะสถานะของ reserve currency ทำให้ดอลลาร์มีมูลค่าสูงเกินจริงประมาณ 5-10% สำหรับประเด็นที่ว่าหยวนมีแนวโน้มจะมาแทนที่ดอลลาร์ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าในอนาคตจีนจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้มีคุณสมบัติเดียวกับสหรัฐได้เร็วแค่ไหน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ดอลลาร์ผงาดขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลก จากปัจจัยสำคัญ เช่น 1. อเมริกามีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และแข็งแกร่ง 2. ระดับการเปิดประเทศสูง 3. ไม่จำกัดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (fully convertible) 4. การเปิดเสรีบัญชีทุน (capital account openness) 5. มีตลาดการเงิน (เช่นพันธบัตร) ที่ลึกและกว้าง มีสภาพคล่องสูง 6. ความโปร่งใสของรัฐบาล ไม่แทรกแซงกลไกตลาดด้วย คุณสมบัติทั้งหมดทำให้ดอลลาร์ กระจายอยู่ทั่วโลก มีสภาพคล่องสูง เข้าถึงได้ง่าย ส่วนจีนนั้นมีคุณสมบัติเหมือนสหรัฐอยู่เพียงข้อเดียวคือ เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงสหรัฐแบบสูสี ส่วนคุณสมบัติที่เหลือจีนยังสอบไม่ผ่าน และยังอยู่ห่างไกล จากระดับที่จะส่งให้หยวนขึ้นมาผงาดในระยะใกล้หรือกลาง เพราะยังจำกัดการแลกเปลี่ยนเงินตราอย่างมาก มีการควบคุมบัญชีทุนในระดับสูง ควบคุมการเข้า-ออกของเงินทุนสูง ตลาดการเงินยังแคบและตื้น สภาพคล่องน้อย และรัฐบาลยังควบคุมเศรษฐกิจและแทรกแซงค่าเงิน จนมีการเปรียบเปรยว่า การจะให้จีนเลิกแทรกแซงควบคุมค่าเงินหยวน ก็ไม่ต่างจากการคาดหวังให้คณะโปลิตบูโร จัดเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ทั้งหมดนี้จึงทำให้เงินหยวนไม่ถูกปล่อยออกไปแพร่กระจายทั่วโลกมากพอที่จะทำให้ เกิดสภาพคล่องและสะดวกในการเข้าถึง โดยปกติประเทศใดก็ตามที่ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจก็มักจะตามมาด้วยสกุลเงินนั้น ๆ จะถูกใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก แต่ปรากฏว่าสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นกับจีน เพราะว่าสัดส่วนการใช้เงินหยวนเพื่อชำระค่าสินค้าระหว่างประเทศมีเพียง 2.5% ขณะที่ใช้ดอลลาร์ถึง 40% จะเห็นว่าสัดส่วนทิ้งห่างกันมาก ขัดแย้งกับขนาดเศรษฐกิจของจีนที่สูสีกับสหรัฐมาก จะเห็นได้ว่าเงินหยวนยังตามหลังดอลลาร์สหรัฐห่างมาก ทั้งในแง่ของการเป็น reserve currency และ cross-border payments แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/world-news/news-1262436
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
21/04/2023
กรุงเทพฯ, 21 เมษายน 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพ ร่วมมือกับ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ผู้นำบริการดิจิทัลครบวงจร เปิดตัวโครงการ “เบาหวานจัดการได้” มอบบริการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานแบบครบวงจร ผ่านแอปพลิเคชัน MorDee (หมอดี) ซึ่งเป็นการผนึกกำลังของผู้นำด้านสุขภาพและดิจิทัลของประเทศไทย เพื่อร่วมดูแลสุขภาพลูกค้าที่เจ็บป่วยด้วยโรคเบาหวานให้สามารถควบคุมความเสี่ยงที่เกิดจากโรคเบาหวานได้อย่างมั่นใจ ด้วยบริการตรวจสุขภาพ ตรวจค่าเลือด พร้อมพบแพทย์และนักโภชนาการผ่านแอปพลิเคชัน MorDee (หมอดี) โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น สมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 พฤษภาคม 2566 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนคนไทยให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “จากที่เอไอเอ มีพันธกิจสำคัญในการดูแลและสนับสนุนให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น เราเล็งเห็นถึงสถิติที่เพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของคนทั่วโลก โดยหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่พบบ่อยที่สุด คือโรคเบาหวาน จากสถิติพบว่าปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเบาหวานกว่า 5 ล้านราย โดยมีผู้ป่วยเพียงครึ่งหนึ่งที่ได้รับการรักษา และในจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา มีเพียง 1 ใน 3 คนที่สามารถบรรลุเป้าหมายของการรักษา นั่นก็คือสามารถควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด HbA1c ให้ลดลงได้[1] อีกทั้งผู้ป่วยเบาหวานยังมีโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมา เช่น โรคหัวใจ ภาวะแทรกซ้อนทางไต ตา ปลายประสาท และเท้า เป็นต้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี เอไอเอ จึงร่วมมือกับพันธมิตรด้านดิจิทัลอย่าง ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เปิดรับสมัครผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการปรับพฤติกรรม พร้อมทั้งอยากให้เอไอเอมีส่วนช่วยดูแล เพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้อย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการเบาหวานจัดการได้ จะได้รับการตรวจสุขภาพถึงบ้านจากบุคลากรของแอปพลิเคชัน MorDee (หมอดี) เจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ตรวจปริมาณโปรตีนในปัสสาวะเพื่อดูค่าความเสื่อมของไต รวมทั้งปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน MorDee (หมอดี) โดยทั้งหมดนี้ลูกค้าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลา 1 ปี ซึ่งโครงการเบาหวานจัดการได้ ถือเป็นโครงการนำร่องที่เอไอเอต้องการมีส่วนช่วยคนไทยให้คลายกังวลจากโรคร้าย ด้วยการเริ่มต้นจากตัวเอง โดยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต พร้อมกับมีเอไอเอเป็นพาร์ทเนอร์อยู่ในชีวิตประจำวัน เพื่อส่งเสริมให้ทุก ๆ วันของลูกค้า เป็นวันที่มีความหมาย เพื่อการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว” ดร.อดิภัทร ชัยชนะสกุล กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจดิจิทัล เฮลท์ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันคนไทยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทรู เฮลท์ จึงได้นำความเชี่ยวชาญและศักยภาพเทคโนโลยีดิจิทัลมาต่อยอดฟังก์ชันบนแอปพลิเคชัน MorDee (หมอดี) เพื่อตอบโจทย์การดูแลสุขภาพยุคใหม่ในหลากหลายมิติ ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและสาขาของโรคที่ครอบคลุมมากขึ้น ล่าสุดได้ขยายความร่วมมือกับเอไอเอประเทศไทย ผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพ เปิดโครงการ “เบาหวานจัดการได้” บนแอปพลิเคชัน MorDee (หมอดี) เพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเบาหวานเข้าถึงแพทย์เฉพาะทางได้สะดวกรวดเร็วทุกที่ทุกเวลา ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเพื่อลดความรุนแรงของโรค โดยสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ในวันและเวลาที่สะดวก เลือกได้ทั้งการโทร แชต และวิดีโอคอล (VDO Call) พร้อมบริการส่งยาตามที่แพทย์สั่งถึงบ้าน โดยไม่ต้องเดินทางและไม่ต้องรอคิวที่โรงพยาบาล อีกทั้งยังสามารถปรึกษานักโภชนาการเพื่อสร้างความเข้าใจในการดูเเลสุขภาพเเบบองค์รวม ตลอดจนช่วยวางแผนการกินอาหาร อาหารเสริม ซึ่งมั่นใจว่าโครงการที่ดีมีประโยชน์เช่นนี้จะสามารถขยายผลสู่ผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วประเทศต่อไป” ลูกค้าที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานและสนใจเข้าร่วมโครงการเบาหวานจัดการได้[2] สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ http://bit.ly/3KrNjK ตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 พฤษภาคม 2566 โดยเงื่อนไขจะเป็นไปตามบริษัทกำหนด[3] หมายเหตุ: [1] ข้อมูลจาก The Blueprint for Change Programme เรียบเรียงโดย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี [2] ผู้สมัครที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือมีโรคร่วมอื่น เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับหลอดเลือด โรคไต โครงการขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครตามความเหมาะสม [3] รายละเอียดและเงื่อนไขสำหรับการพิจารณา การให้สิทธิประโยชน์ การให้บริการต่างๆ เป็นไปตามนโยบายของชีวีบริรักษ์ คลินิก และบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทนอกกลุ่มเอไอเอ และอยู่นอกเหนือการบริหารงานของเอไอเอ เอไอเอจะไม่รับผิดชอบต่อการบริการ ผลิตภัณฑ์และข้อเสนอใดๆ ที่นำเสนอโดยผู้ให้บริการนี้ *สงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลง ยกเลิก แก้ไขรายละเอียดหรือเงื่อนไขต่างๆ โดยแจ้งให้ทราบล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
30/04/2024
เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องเป็นแห่งที่ 4 ภายใต้ชื่อโครงการ “เอไอเอ คอนเน็คท์ (AIA Connect) โดยได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ ณ สถานที่ตั้งโครงการ ใจกลางย่านรัชดาภิเษก ซึ่งมี นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร พันธมิตร และพนักงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี โดยในพิธีได้รับพระมหากรุณาจาก พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ผู้นำสูงสุดแห่งลัทธิพราหมณ์ในประเทศไทย และผู้ดำรงตำแหน่งประธานพระครูพราหมณ์คนปัจจุบัน เป็นผู้นำดำเนินพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการเอไอเอ คอนเน็คท์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา โครงการเอไอเอ คอนเน็คท์ (AIA Connect) เป็นอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดพรีเมียม มีความสูง 33 ชั้น พื้นที่ใช้สอยกว่า 110,400 ตารางเมตร มาพร้อมพื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อส่งเสริมด้านสุขภาพของผู้เช่า อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกด้วยพื้นที่จอดรถกว่า 708 คัน เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษก และยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีน้ำเงินและสายสีส้ม เพื่อการคมนาคมที่สะดวกและรวดเร็ว สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังอาคาร เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตลอดจนสามารถเดินทางต่อไปยังอาคาร เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ และอาคาร เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ ย่านบางนา-ตราด ได้อย่างสะดวกง่ายดาย อาคาร เอไอเอ คอนเน็คท์ ถูกออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้ใช้สอยอาคาร ตามเกณฑ์มาตรฐานของ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) และ WELL Building Standard ระดับโกลด์ สอดคล้องตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ “Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น” ซึ่งโครงการดังกล่าว ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนภาคธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจองค์รวมของประเทศไทยต่อไปอย่างยั่งยืน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี) ถ้าระบบควบคุมภายในของธนาคารนั้นเรียบร้อยดี แต่ไม่ได้ดูแลการบริหารสภาพคล่อง หรือการกระจุกตัวของลูกค้า หรือการด้อยค่าของสินทรัพย์นั้น ก็สามารถทำให้ธนาคารล้มไม่เป็นท่าได้ โดยปกติแล้วกลยุทธ์การรับมือนั้น ธนาคารจะต้องมี Asset Liability Matching หรือเทคนิค ALM ไปด้วย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดในอเมริกานั้น จะเห็นว่าธนาคารบางแห่งไม่ได้ทำ ALM กันอย่างจริงจัง และอาจจะมีธนาคารท้องถิ่นในอเมริกาอีกประมาณ 5 แห่ง ที่เข้าข่ายการบกพร่องในการทำ ALM แบบนี้ด้วยปกติแล้ว ธนาคารจะทำการตกแต่งบัญชีได้ยากอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้สอบบัญชีก็จะระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ธนาคารก็ยังสามารถล้มอยู่ ก็อาจจะมาจากนโยบายการบริหารผิดพลาด เงินที่ได้จากเงินฝากเอาไปลงทุนในตราสารหนี้ และ mismatched ระยะเวลาของสินทรัพย์กับหนี้สินอยู่มาก พอดอกเบี้ยขึ้นก็เลยขาดทุนหนักเพราะต้องรับรู้เป็นขาดทุนออกมา ทั้ง ๆ ที่ตราสารหนี้ที่ถืออยู่นั้นต้องการจะถือจนครบกำหนดสัญญา (ปกติ ใครที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลจะเลือกที่จะถือจนครบกำหนดสัญญากัน)การที่ธนาคารไปมีกลุ่มลูกค้าเงินฝากค่อนข้างกระจุกตัวนั้น ก็ส่งผลให้เวลาเกิดอะไรที่เป็นแง่ลบกับธุรกิจที่ไปกระจุกตัวนั้น ก็จะกระทบไปเกือบจะพร้อมกัน แต่สาเหตุหลักนั้น มาจากการที่ระยะเวลาการลงทุนของสินทรัพย์นั้นไม่ match กับระยะเวลาของหนี้สิน (ALM mismatch) ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น ธนาคารที่เลือกจะ mismatch นั้นอาจจะคิดว่า คนที่ฝากเงินก็จะต่ออายุไปเรื่อย ๆ (เหมือนที่เวลาเราฝากเงินฝากประจำ ก็จะต่ออายุหรือลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ) ในขณะที่ฝั่งสินทรัพย์นั้นก็ซื้อตราสารหนี้ระยะยาวเสียเลย (เพราะตราสารหนี้ระยะยาวจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น) ทั้งนี้ ธนาคารใหญ่ ๆ นั้นจะมีการถูกบังคับให้ตรวจสอบเรื่อง ALM ผ่าน stress test (การทดสอบภาวะวิกฤต) อยู่เสมอ แต่สำหรับธนาคารท้องถิ่นในอเมริกานั้น ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำการทดสอบ stress test หรือ ALM เรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าธนาคารมีการทำการทดสอบ ALM และดูว่า mismatch กันระหว่างสินทรัพย์กับหนี้สินหรือไม่ สถานการณ์ที่ธนาคารจะล้มไปเนื่องจากไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวนั้น ก็จะเกิดขึ้นได้ยากมาก ทั้งนี้ การล้มของธนาคารที่เกิดจากการไม่ทำ ALM ที่ดีพอ จึงเป็นเฉพาะของธนาคารใด ธนาคารหนึ่ง และจะไม่ลามไปสู่ธนาคารอื่น แต่น่าจะมีธนาคารท้องถิ่นอีกหลายแห่งที่ไม่ได้ทำ ALM ที่อาจจะล้มตามมาก็ได้ ดังนั้น ธนาคารแห่งไหนที่ได้มีการทำ stress test และได้มีการทำการทดสอบ ALM เพื่อให้แน่จึงมีการ matching ระหว่างสินทรัพย์กับหนี้สินได้ดีเพียงพอ ก็น่าจะปลอดภัยและไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ส่วนบริษัทประกันชีวิตนั้น ทุกบริษัทถูกให้ทำ ALM กันอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว เพียงแต่บริษัทประกันชีวิตจะกังวลในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธนาคาร กล่าวคือ ธนาคารจะกลัว mismatch จากการที่ระยะเวลาการลงทุนของสินทรัพย์นั้นยาวกว่าหนี้สิน แต่บริษัทประกันชีวิตจะกลัว mismatch จากการที่ระยะเวลาการลงทุนของสินทรัพย์นั้นที่สั้นกว่าหนี้สิน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความเสี่ยงของธนาคารจะมีกับงบการเงินตอนที่ภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น (จึงต้องทำ ALM ในจังหวะที่ดอกเบี้ยขาขึ้น) และจะปล่อยให้มี mismatch กันตอนที่อัตราดอกเบี้ยขาลง แต่บริษัทประกันชีวิตจะปล่อยให้มี mismatch กัน ตอนที่ดอกเบี้ยขาขึ้น (เพราะจะได้อานิสงส์กำไรจากดอกเบี้ยขาขึ้น) และจะให้มีการทำ ALM ในจังหวะดอกเบี้ยขาลง เพื่อป้องกันการขาดทุน แต่สิ่งสำคัญสำหรับการรับรู้กำไรหรือขาดทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงก็คือ การที่สินทรัพย์หรือหนี้สินที่เลือกจัดกลุ่มให้ถือจนครบกำหนดสัญญานั้น ในทางบัญชีจะรับรู้กำไรที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยลงใน “กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น” เท่านั้น ซึ่งเป็นเหมือนกำไรที่รออยู่ในงบดุล และจะรับรู้เป็นกำไรในงบกำไรขาดทุนก็ต่อเมื่อมีการขายจริงเท่านั้น ธนาคารเมื่อมีคนแห่มาถอนเงินจนต้องถูกบังคับขายตราสารหนี้ตอนภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นก็จะรับรู้ขาดทุนในงบกำไรขาดทุน (ดังนั้น ธนาคารที่ดีจึงต้องทำ matching ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น จึงจะไม่เกิดปัญหานี้) แต่ถ้าบริษัทประกันมีคนแห่มาถอนกรมธรรม์จนต้องถูกบังคับขายตราสารหนี้ตอนภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นก็จะรับรู้กำไรในงบกำไรขาดทุน สรุปว่า เทคนิค ALM นั้น – สำหรับธนาคารจะทำตอนดอกเบี้ยขาขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดผลขาดทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง – สำหรับธนาคาร อาจจะไม่ต้องทำตอนดอกเบี้ยขาลง เพื่อให้มีกำไรจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง (สำหรับพันธบัตรรัฐบาล จะรับรู้กำไร หรือไม่ ก็ขึ้นกับขายจริงหรือไม่) – สำหรับบริษัทประกันชีวิตจะทำตอนดอกเบี้ยขาลง เพื่อไม่ให้เกิดผลขาดทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง – สำหรับบริษัทประกันชีวิต อาจจะไม่ต้องทำตอนดอกเบี้ยขาขึ้น เพื่อให้มีกำไรจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง (สำหรับพันธบัตรรัฐบาล จะรับรู้กำไร หรือไม่ก็ขึ้นกับขายจริงหรือไม่) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1262302
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
19/06/2024
30/04/2024
15/08/2024
09/08/2024
06/11/2024