คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

หนี้สิน ไม่ได้สร้างภาระเพียงอย่างเดียว ก่อหนี้อย่างไร ? ให้เกิดความมั่งคั่ง

30/04/2024

บทความโดย "ณัฐศรันย์ ธนกฤตภิรมย์"  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 “หนี้” (Obligation) เป็นความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “เจ้าหนี้” มีสิทธิบังคับให้อีกฝ่ายซึ่งเรียก “ลูกหนี้” ทำหรือไม่ทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ของฝ่ายเจ้าหนี้ได้ “หนี้สิน” (Debt) คือ เงินที่ผู้หนึ่งเรียกว่า “ลูกหนี้”  ติดค้างอยู่จะต้องใช้ให้แก่อีกผู้หนึ่งเรียกว่า “เจ้าหนี้”  เรียกสั้น ๆ ว่า หนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 1. หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หมายถึง การซื้อสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้ส่วนตัวในการอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยการขอสินเชื่อจากธนาคาร หรือใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ซึ่งหนี้สินกลุ่มนี้จะมีกระแสเงินสดจ่ายเพียงอย่างเดียวในแต่ละเดือน มีสมการ ดังนี้ กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ รายได้ประจำ-ค่าใช้จ่ายประจำ-กระแสเงินสดจ่ายจากหนี้สิน 2. หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ หมายถึง การซื้อสินทรัพย์เพื่อลงทุน โดยการขอสินเชื่อจากธนาคาร หรือใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ซึ่งหนี้สินกลุ่มนี้จะมีกระแสเงินสดจ่าย และรับในแต่ละเดือน มีสมการ ดังนี้ กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ รายได้ประจำ-ค่าใช้จ่ายประจำ-กระแสเงินสดจ่ายจากหนี้สิน + กระแสเงินสดรับจากสินทรัพย์ คำถาม คือ หนี้สองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ตัวอย่าง ลูกหนี้มีความสามารถในการกู้ยืมเป็นจำนวน 6,000,000 บาท โดยมีการจัดสรรเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (50%) และเพื่อใช้ส่วนตัว (50%) รายการละ 3,000,000 บาท ซึ่งมีระยะเวลาผ่อน 360 เดือน ผ่อนเดือนละ 20,000 บาท (กรณี ปล่อยเช่า ได้ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท) และมีข้อมูลเพิ่มเติม คือ ผู้กู้มีรายได้หลัก 50,000 ต่อเดือน ค่าใช้จ่ายประจำ 25,000 บาท (ข้อมูลทางการเงินไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลา 360 เดือน) มูลค่าโดยระบุไปตามหนี้สิน 2 กลุ่ม ดังนี้ 1. หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ = รายได้ประจำ-ค่าใช้จ่ายประจำ-กระแสเงินสดจ่ายจากหนี้สิน กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ = 50,000-25,000-20,000 = 5,000 ต่อเดือน 2. หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ = รายได้ประจำ-ค่าใช้จ่ายประจำ-กระแสเงินสดจ่าย + กระแสเงินสดรับ = 50,000-25,000-20,000 + 10,000 = 15,000 ต่อเดือน จะเห็นว่ากระแสเงินสดรับต่อเดือนที่แตกต่างกันนั้น ส่งผลต่อการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว โดยเมื่อนำมูลค่าทรัพย์สิน ณ วันสิ้นงวด มารวมด้วย โดยหาจากสมการ ดังนี้ มูลค่าทรัพย์สิน ณ วัน สิ้นงวด = (กระแสเงินรับต่อเดือน * ระยะเวลา) + มูลค่าทรัพย์สิน ณ วันสิ้นงวด กรณีที่ 1 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ = (5,000 * 360) + 6,000,000 = 1,800,000 + 6,000,000 = 7,800,000 บาท กรณีที่ 2 หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ = (15,000 * 360) + 6,000,000 = 5,400,000 + 6,000,000 = 11,400,000 บาท ส่วนต่าง ของ กรณีที่ 2-กรณีที่ 1 = 11,400,000-7,800,000 = 3,600,000 บาท จากข้อมูลดังกล่าว หากเลือกบริหารจัดการหนี้ได้อย่างเหมาะสม หนี้สินนั้นจะทำให้คุณมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอีก 3,600,000 บาท ณ วันสิ้นงวดบัญชีของการผ่อนชำระสรุปได้ว่า “หนี้สิน” ไม่ได้เป็นการสร้างภาระเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีข้อดีแฝงอยู่ข้างใน เพียงแค่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าจะสร้างหนี้เพื่ออะไร และจะบริหารจัดการกระแสเงินสดต่อเดือนอย่างไร เพียงเท่านี้ “หนี้” ก็จะสามารถสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้อย่างแน่นอน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1337945

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

4 ข้อที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การลงทุนอย่างยั่งยืน”

30/04/2024

ผู้เขียน : สิรีฒร ศิวิลัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายผู้ประกอบธุรกิจ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้ยินเกี่ยวกับ การลงทุนอย่างยั่งยืน หรือ sustainable investing รวมทั้งกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Sustainable and Responsible Investing Fund  หรือ SRI Fund ) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มุ่งเน้นลงทุนในกิจการที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมาบ้างแล้ว รวมทั้งคงเคยได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับการลงทุนลักษณะดังกล่าวนี้ แต่อาจไม่แน่ใจว่ามีสถานะและมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร วันนี้ผู้เขียนจึงขอชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักกับการลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ก่อนการตัดสินใจลงทุนสักนิดค่ะ โดยขอหยิบยก 4 ประเด็นสำคัญ ที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การลงทุนอย่างยั่งยืน” มาขยายความเพิ่มเติมดังนี้ค่ะ ข้อแรก “การลงทุนอย่างยั่งยืนทำให้ผลตอบแทนของกองทุนรวมลดลง” ผลการศึกษาจากสถาบันชั้นนำหลายแห่งชี้ให้เห็นว่า ผู้จัดการกองทุนที่ผนวกปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) หรือ “ESG” ในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน จะช่วยให้เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุนรวมได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กรณีรถยนต์ไฟฟ้า (electric vehicle : EV) ที่ปัจจุบันผู้บริโภคไทยมีความต้องการใช้งาน EV เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ารถยนต์สันดาป จะทำให้เกิดโอกาสเชิงธุรกิจที่จะไปช่วยเพิ่มผลประกอบการให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและผู้ผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า หรือกรณีสินค้าเกษตร (เช่น ข้าว) ที่ภาวะฝนแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ทำให้ผลผลิตในประเทศมีปริมาณลดลง การดำเนินธุรกิจและผลกำไรของบริษัทที่ผลิตและแปรรูปจากข้าวอาจได้รับผลกระทบได้ หากไม่มีแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่ดี ดังนั้น ผู้จัดการกองทุนที่ผนวกปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนจะช่วยให้สามารถประเมินโอกาสทางการลงทุน และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่อกิจการที่ออกหลักทรัพย์ที่กองทุนรวมจะตัดสินใจลงทุน และพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งช่วยสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีในระยะยาวได้ต่อไป อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนของกองทุนรวมมีโอกาสปรับลดลงได้เช่นกันหลังจากที่ผู้ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนแล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาเงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic Risk) ที่บริษัทที่กองทุนรวมลงทุนไม่อาจควบคุมหรือขจัดได้ และทุกบริษัทได้รับผลกระทบเหมือนกัน ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่ลงทุนในบริษัทต่าง ๆ อาจได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ข้อที่ 2 “การลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นการลงทุนที่มุ่งเน้นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น” แม้ว่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น จะเป็นประเด็นสำคัญ แต่การลงทุนอย่างยั่งยืนไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว หากเราย้อนไปพิจารณาหลักคิดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ซึ่งมีที่มาจากรายงาน ที่เรียกว่า ‘Our Common Future’ ที่จัดทำโดย Brundtland Commission ภายใต้องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) เมื่อปี ค.ศ. 1987 การพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรของโลกที่มีจำกัดให้สามารถสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลังได้ หากจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ (economic profitability) ความครอบคลุมทางสังคม (social equity) และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (environmental protection) นอกจากนี้ UN ได้จัดทำ “2030 Agenda for Sustainable Development” ซึ่งเป็นกรอบการพัฒนาของโลกเพื่อร่วมกันบรรลุการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยกำหนดให้มีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals:SDGs) 17 เป้าหมาย เป็นแนวทางให้แต่ละประเทศดำเนินการร่วมกัน ซึ่งประเทศไทยและสมาชิก UN รวม 193 ประเทศ ได้ร่วมลงนามรับรองวาระที่สำคัญดังกล่าวของโลกด้วย ด้วยเหตุนี้ กองทุนรวมที่มุ่งเน้นลงทุนอย่างยั่งยืนไม่ได้หมายความว่าต้องสนับสนุนกิจการที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถจัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านอื่น ๆ ตามกรอบ UN SDGs ได้ เช่น การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิต การศึกษา การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เป็นต้น ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรศึกษานโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อให้แน่ใจว่าวัตถุประสงค์การลงทุนด้านความยั่งยืนของกองทุนรวมนั้น ๆ สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของตนเอง ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ลงทุนมีข้อมูลเพียงพอประกอบการตัดสินใจลงทุน ก.ล.ต. ได้กำหนดมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอย่างยั่งยืนของ SRI Fund ซึ่งทุก บลจ. ที่บริหารจัดการกองทุนรวมดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตาม โดยผู้ลงทุนสามารถสังเกตได้จากตราสัญลักษณ์ ‘SRI Fund’ ที่ปรากฏบนหน้าปกของหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมของ SRI Fund ข้อที่ 3 “การลงทุนอย่างยั่งยืน คือ การไม่ลงทุนในกิจการที่ดำเนินธุรกิจขัดต่อเป้าหมายด้านความยั่งยืนเท่านั้น”  การคัดกรองเชิงลบ (negative screening) เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่ผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกใช้ในการบริหารจัดการกองทุนรวมที่มุ่งเน้นลงทุนอย่างยั่งยืน โดย negative screening มีจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1758 เมื่อกลุ่มเควกเกอร์ (Quakers) ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของโปรเตสแตนต์ได้ออกมาเคลื่อนไหวและต่อต้านการซื้อขายทาสในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยเหตุผลทางจริยธรรม ตั้งแต่นั้นมา negative screening จะถูกอ้างอิงถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้จัดการกองทุนคัดกรองกิจการบางประเภทที่อาจขัดต่อหลักจริยธรรมออกจากขอบเขตการลงทุน เช่น กิจการที่เกี่ยวข้องกับยาสูบ การพนัน การค้าอาวุธ เป็นต้น อย่างไรก็ดีในการบริหารจัดการกองทุนรวมที่มุ่งเน้นการลงทุนอย่างยั่งยืน ผู้จัดการกองทุนอาจเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายนอกเหนือไปจาก negative screening ได้ อาทิ     •  การคัดกรอกเชิงบวก (positive screening หรือ best-in-class screening) คือ การคัดเลือกหลักทรัพย์ของกิจการที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน     •  การผนวกปัจจัยด้าน ESG ในกระบวนการลงทุน (ESG integration) คือ การนำข้อมูลทั้งด้านการเงินและด้านความยั่งยืนของกิจการมาใช้วิเคราะห์ คัดเลือกหลักทรัพย์อย่างเป็นระบบ     •  การลงทุนตามธีมความยั่งยืน (thematic investing) คือ การลงทุนในหลักทรัพย์ของกิจการที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องตามธีมหรือวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนที่กองทุนรวมต้องการส่งเสริมเป็นการเฉพาะ เช่น การเปลี่ยนผ่านพลังงานดั้งเดิมไปสู่พลังงานสะอาด สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป็นต้น     •  การลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก (impact investing) คือ การที่ผู้จัดการกองทุนมีเป้าหมายการลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน โดยจะต้องวัดผลกระทบดังกล่าวได้ เพื่อความโปร่งใสและป้องกันการฟอกเขียว (greenwashing) ด้วย นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนจะปฏิบัติหน้าที่ผู้ลงทุนที่มีความรับผิดชอบ (stewardship activities) ด้วยการ เข้าไปมีส่วนร่วมกับบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ (engagement) เพื่อให้บริษัทมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม โดยผู้จัดการกองทุนจะหารือร่วมกับบริษัทในประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าเงินลงทุน เพื่อส่งเสริมให้บริษัทมีการปรับปรุงและพัฒนาแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยหากบริษัทไม่มีการพัฒนาหรือดำเนินการภายใต้กรอบระยะเวลาที่ตกลงกัน ผู้จัดการกองทุนก็อาจพิจารณาลดสัดส่วนหรือ ไถ่ถอนการลงทุนออกจากบริษัทดังกล่าวได้ต่อไป คำถามต่อมาที่หลายท่านอาจสงสัย คือ ผู้จัดการกองทุนมีแนวทางการพิจารณาใช้กลยุทธ์การลงทุนอย่างไร ขอตอบว่า โดยทั่วไปผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาใช้กลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนอย่างยั่งยืนของแต่ละกองทุนรวม เพื่อให้การบริหารจัดการลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่กำหนดไว้ เช่น หากกองทุนรวมมีวัตถุประสงค์การลงทุนเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม ผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณาเลือกใช้กลยุทธ์ impact investing และ engagement ไปพร้อม ๆ กัน เป็นต้น โดยผู้จัดการกองทุนจะทำการวัดผลและรายงานผลกระทบเชิงบวกจากการบริหารจัดการกองทุนรวม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการบรรลุเจตนารมณ์และเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่กองทุนรวมกำหนดไว้ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมีประสิทธิภาพของการมีส่วนร่วมกับบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ของผู้จัดการกองทุนด้วย ทั้งนี้ สำหรับ SRI Fund ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ บลจ. ที่บริหารจัดการกองทุนรวมดังกล่าวเปิดเผยกลยุทธ์     การลงทุนของ SRI Fund ไว้อย่างชัดเจนในโครงการจัดการกองทุนรวมและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวม เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน และเพื่อให้ ก.ล.ต. สามารถตรวจสอบการบริหารจัดการลงทุนของ บลจ. ได้ในภายหลังด้วย ข้อสุดท้าย “การลงทุนอย่างยั่งยืน คือ กระแสการลงทุนของคนกลุ่มมิลเลนเนียลเท่านั้น” แม้ว่าคนกลุ่มมิลเลนเนียล (millennials) หรือกลุ่มคนเจนวาย (Gen Y) ที่เกิดช่วงปี พ.ศ. 2527 – 2539 จะเป็นกลุ่มประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก แต่ผลการศึกษากลุ่มผู้ลงทุนในหลายประเทศพบว่า ความสนใจเกี่ยวกับการลงทุนอย่างยั่งยืนครอบคลุมกลุ่มคนหลายรุ่น ไม่ใช่แค่กลุ่มมิลเลนเนียลเพียงอย่างเดียว โดยความแตกต่างที่สำคัญคือ กลุ่มมิลเลนเนียล ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ขณะที่กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (baby boomer) ที่เกิดช่วงปี พ.ศ. 2489 – 2507 ซึ่งเป็นคนกลุ่มที่เริ่มเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว จะให้ความสำคัญด้านความครอบคลุมทางสังคมและศาสนา รวมทั้งมีวัฏจักรการลงทุนที่แตกต่างจากกลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งเป็นกลุ่มที่เพิ่งจะเริ่มเส้นทางการลงทุนและสามารถยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากกว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ปัจจุบัน SRI Fund ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. มีนโยบายการลงทุนในกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ผ่านการวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้จัดการกองทุนแล้วว่า มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมทั้งบางกองทุนก็สามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ โดยเริ่มต้นการลงทุนด้วยเงินหลักร้อยบาท ดังนั้น SRI Fund จึงเหมาะกับผู้ลงทุนทุกช่วงวัย (ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มคนในรุ่นใดรุ่นหนึ่ง) ที่ต้องการลงทุนอย่างยั่งยืนไปพร้อม ๆ กับการกระจายการลงทุนและออมเงิน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาวเอาไว้ใช้ในยามเกษียณด้วย โดยท่านสามารถตรวจสอบรายชื่อ SRI Fund และเปรียบเทียบข้อมูลระหว่าง SRI Fund ได้ที่ SustainableFinance (sec.or.th) สุดท้ายนี้ ดิฉันหวังว่าบทความฉบับนี้จะช่วยไขข้อข้องใจคุณผู้อ่านหลายท่านเกี่ยวกับ ‘การลงทุนอย่างยั่งยืน’ พร้อมไปกับทำให้ท่านรู้จัก SRI Fund มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนทุกท่านสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีคุณภาพ โดยที่ผลของการลงทุนนั้นจะเป็นประโยชน์ระยะยาวต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของคนรุ่นต่อไปค่ะ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1338581#google_vignette

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

เลขาธิการ คปภ. เตือนประชาชนระวังภัยจากประกันภัยออนไลน์เถื่อน เช็คได้ที่เว็บไซต์ “กูรูประกันภัย” หรือสายด่วน คปภ. 1186

30/04/2024

2 กรกฎาคม 2566 : จากกรณีที่มีการแชร์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียหรือสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีบริษัทผู้ให้บริการด้านการตลาดแห่งหนึ่ง กระทำการในลักษณะเป็นตัวกลางในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับสัตว์เลี้ยงผ่านทางเว็บไซต์ หรือออนไลน์ รวมถึงให้บริการประชาชนผู้เอาประกันภัยในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน โดยมีประชาชนจำนวนมากซื้อประกันภัยนั้น ซึ่งมีประเด็นว่าบริษัทดังกล่าวมีใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยหรือไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่าได้สั่งการให้สายกฎหมายและคดี สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ติดตามสถานการณ์และบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยแก่ประชาชนทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบว่า บริษัทฯ ดังกล่าวมีใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัย  จึงได้สั่งการให้สายกฎหมายและคดี สำนักงาน คปภ. ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และดำเนินการตามกรอบอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. อย่างเด็ดขาด เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการซื้อประกันภัย Online มีความมั่นคงปลอดภัยและทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมประกันภัยผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์โดยสำนักงาน คปภ. กำหนดให้บริษัทประกันภัย นายหน้าประกันภัยและธนาคารพาณิชย์ ที่ทำการเสนอขายประกันภัยผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ต้องขึ้นทะเบียนกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประชาชนสามารถตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการที่ขายกรมธรรม์ทางอิเล็กทรอนิกส์จากเว็บไซต์ “กูรูประกันภัย” https://guruprakanphai.oic.or.th และสามารถเข้าไปตรวจสอบผ่านทางเว็บไซต์ https://www.oic.or.th/th/consumerโดยกด link เข้าไปใน banner กูรูประกันภัยได้อีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการซื้อประกันภัยผ่านทางเว็บไซต์ หรือออนไลน์ ควรตรวจสอบใบอนุญาตที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ. ทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อประกันภัย และบุคคลใดก็ตามกระทำการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยต้องได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันวินาศภัยหรือนายหน้าประกันวินาศภัยจากนายทะเบียน หรือสำนักงาน คปภ. หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ“สำนักงาน คปภ. จะดำเนินการกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายในเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด และเพื่อป้องกันมิให้ถูกหลอกลวงจากผู้ขายประกันเถื่อน พี่น้องประชาชนที่ประสงค์จะซื้อประกันภัยออนไลน์ ควรจะตรวจสอบว่าผู้เสนอขายประกันภัยได้ขึ้นทะเบียนกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์จากสำนักงาน คปภ. แล้วหรือไม่ โดยสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์กูรูประกันภัย และศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านระบบ Online หรือสามารถสอบถามข้อมูลจากสายด่วน คปภ. 1186ทั้งนี้ หากพบเห็นพฤติกรรมการหลอกลวงด้านประกันภัยกรุณารีบแจ้งข้อมูลที่สำนักงาน คปภ. ทั่วประเทศ หรือที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้ายแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=148337

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิด 5 ขั้นตอนเอาชนะ “หนี้” กับ 3 วิธีสร้างนิสัยดีๆ ทางการเงิน

30/04/2024

“หนี้” เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากมีแน่นอน แต่ในปัจจุบันเองภาวะเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เงินเฟ้อ น้ำมันแพง อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น ทำให้ต้องใช้เงินมากขึ้น รวมไปถึงบางคนอาจเผลอใช้จ่ายเกินตัวจนหมุนเงินไม่ทันทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่ายรู้ตัวอีกทีก็มีหนี้เยอะแล้ว ดังนั้นสำหรับใครที่กังวลใจและหาทางออกในเรื่องหนี้ไม่ได้ “การเงินธนาคาร” ได้รวบรวมวิธีแก้หนี้ให้จบไว ไว้ให้แล้ว 5 ขั้นตอน แก้หนี้ให้จบไว หากมีปัญหาเรื่องนี้แล้วต้องรู้จักวางแผนบริหารเงิน จัดการแก้หนี้ พร้อมทั้งปรับวินัยทางการเงินกันใหม่โดยมีขั้นตอนดังนี้     •  ขั้นตอนที่ 1 สำรวจตัวเอง สำรวจตัวเองก่อนว่าเรามีหนี้สินอะไร กับใคร และเท่าไหร่บ้าง แล้วลองนำมารวมกันเพื่อให้รู้ยอดหนี้สินที่แท้จริงว่าทั้งหมดเท่าไร     •  ขั้นตอนที่ 2 วางแผนการปลดหนี้ โดยแก้หนี้เจ้าปัญหาจากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดไปยังเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่ำที่สุดเมื่อได้แล้ว ก็นำทั้งหมดนี้มาหาทางแก้หนี้โดยการรวมหนี้ และขอสินเชื่อใหม่จากสถาบันการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหมด ซึ่งถ้าหากรวมหนี้แล้วยังไม่สามารถผ่อนไหวตามจำนวนเงินที่สถาบันการเงินให้ชำระ จำเป็นจะต้องแจ้งรายละเอียดเพื่อให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือหาทางแก้หนี้มาให้อีกทาง อย่างไรก็ตามวิธีการแก้หนี้โดยเลือกที่จะรวมหนี้ อาจไม่ได้ทำกันง่าย ๆ ดังนั้นควรมีแผนสำรอง โดยอาจจะเริ่มปลดจากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ยเยอะที่สุดก่อน เพื่อไม่ให้ดอกเบี้ยเหล่านั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ปลดหนี้ที่ดอกเบี้ยรองลงมาจนหมดหนี้นั่นเอง     •  ขั้นตอนที่ 3 ลงมือทำตามแผนที่วางไว้ ลงมือทำตามแผนแก้หนี้ให้สำเร็จ โดยเริ่มระบุระยะเวลาในการปลดหนี้ไปพร้อม ๆ กับดำเนินการติดต่อธนาคารตามแผน อีกทั้งหากมีช่วงเวลาที่ว่างอาจจะมองหาทางเลือกเสริมที่ทำให้หนี้หมดไว ๆ ควบคู่กันไปด้วย     •  ขั้นตอนที่ 4 เพิ่มตัวช่วยการปลดหนี้ ตัวช่วยแก้หนี้ที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของรายได้เสริม โดยอาจจะเริ่มมองหารายได้ที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนหนัก และไม่กระทบกับการงานหลักด้วยเช่นกัน อย่างการขายของออนไลน์ รับงานฟรีแลนซ์     •  ขั้นตอนที่ 5 ใช้บัตรเครดิตอย่างระมัดระวัง ส่วนใหญ่แล้วหนี้ที่เกิดขึ้นมักมาจากหนี้บัตรเครดิต ดังนั้นต้องรู้วิธีการใช้บัตรเครดิตที่ถูกต้อง และใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด สร้างวินัยทางการเงินใหม่ด้วย 3 ขั้นตอน หลังจากเคลียร์ปัญหาหนี้สินได้แล้ว ก็ควรสร้างวินัยทางการเงินใหม่ เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นหนี้ที่จัดการไม่ไหวอีกครั้ง โดยมีขั้นตอนดังนี้     •  ขั้นตอนที่ 1 มีเป้าหมายทางการเงิน สร้างเป้าหมายทางการเงินของเราให้ชัดเจน และไม่ไกลตัวจนเกินไป เช่น ปลดหนี้หมดแล้วต้องการที่จะมีบ้านก็วางเป้าหมายทางการเงินให้อยู่ในระดับที่มีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ และสามารถทำให้ฝันอยากมีบ้านเป็นจริงได้     •  ขั้นตอนที่ 2 บันทึกค่าใช้จ่าย การบันทึกค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะอาจใช้จ่ายจนลืมตัวไป ดังนั้นต้องบันทึกค่าใช้จ่ายตลอด เพื่อไม่ให้ก่อหนี้โดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง     •  ขั้นตอนที่ 3 แบ่งเงินการใช้จ่ายให้เป็นสัดส่วนชัดเจน โดยอาจลองแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็นหมวดๆ เช่น หมวดชีวิตประจำวัน ที่เราสามารถจ่ายค่าอาหารได้แต่ละมื้อ หมวดค่าใช้จ่ายประจำเดือนที่จำเป็น เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราเองมีเงินเท่าไร เหลือเก็บเท่าไหร่ และมีเงินพอที่จะนำไปลงทุนต่อยอดให้รายรับมากกว่าเดิมได้ไหม เป็นหนี้เสีย แก้ไขได้ รู้หรือไม่ว่าหากมีหนี้เยอะจนไม่สามารถจัดการได้และเริ่มเป็นหนี้เสียแล้ว ยังสามารถแก้ไขได้ โดยการเข้าร่วมโครงการ คลิกนิกแก้หนี้ by SAM ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด โดยเป็นการรวมหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันหลายสถาบันการเงิน แก้ไขหนี้เสียสารพัดบัตรให้สามารถกลับมาชำระได้ตามเดิม สำหรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการมีดังนี้ (1) เป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ อายุไม่เกิน 70 ปี (2) เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันของสถาบันที่เข้าร่วมโครงการ (3) เป็นหนี้เสีย (NPL) ค้างชำระมากกว่า 120 วัน (4) หนี้รวมไม่เกิน 2 ล้านบาท และ (5) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ที่มา: Krungsri The COACH, คลินิกแก้หนี้ by SAM แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับการเงินธนาคารhttps://moneyandbanking.co.th/2023/42889/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ประกันอัคคีภัย vs ประกันภัยเจ้าบ้าน แบบไหนใช่สำหรับบ้านเรา

30/04/2024

“บ้าน” เป็นอีกหนึ่งทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง และมีความเสี่ยงไม่ต่างจากทรัพย์สินประเภทอื่นๆ การทำ “ประกันภัย” ไว้ก็อาจเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้เราเบาใจ และสบายใจได้ทุกครั้งเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับบ้านของเรา เปรียบเสมือนเป็นการถ่ายโอนความเสี่ยงไปให้บริษัทประกันช่วยจัดการดูแลแทน ซึ่งจากข้อมูลของ คปภ.พบรูปแบบของประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองสิ่งปลูกสร้างประเภทที่อยู่อาศัยหลักๆ มีอยู่ด้วย 2 แบบ คือการประกันอัคคีภัยเพื่อที่อยู่อาศัย เป็นประกันบ้านที่ให้ความคุ้มครองสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย (ไม่รวมฐานราก) และทรัพย์สินภายใน ซึ่งประกันอัคคีภัยเพื่อที่อยู่อาศัยนั้นเป็นประกันภัยภาคบังคับที่ต้องทำหากยื่นเรื่องกู้สินเชื่อบ้าน เพราะตาม “พรบ.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2496 มาตราที่ 29 กำหนดไว้ว่าในการที่ธนาคารจะให้ผู้ใดกู้ยืมเงินไป ธนาคารมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้กู้เอาประกันภัย หรือคงให้มีการเอาประกันภัยไว้ซึ่งทรัพย์สินที่จำนำ หรือจำนองไว้ให้แก่ธนาคารเพื่อเป็นหลักประกันเงินกู้ยืนนั้นจนเป็นที่พอใจแก่ธนาคาร” แต่ถ้าซื้อบ้านด้วยเงินสดก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเราเองว่าจะทำหรือไม่ทำ  รายละเอียดความคุ้มครองของประกันอัคคีภัยเพื่อที่อยู่อาศัย มีดังนี้ภัยคุ้มครองพื้นฐานทั่วไป    •  ไฟไหม้      •  ความเสียหายจากการระเบิดทุกชนิด     •  ฟ้าฝ่า    •  ภัยจากการเฉี่ยว และหรือการชนของยานพาหนะหรือสัตว์พาหนะ      •  ภัยจากอากาศยาน และหรือวัตถุที่ตกจากอากาศ     •  ภัยจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากน้ำ  เช่น การรั่วไหล หรือการล้นออกมาของน้ำภัยคุ้มครองพื้นฐานที่เป็นภัยธรรมชาติ    •  ภัยจากลมพายุ     •  ภัยจากน้ำท่วม      •  ภัยจากแผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิด หรือคลื่นใต้น้ำ หรือสึนามิ      •  ภัยจากลูกเห็บหมายเหตุ ในหมวด ภัยคุ้มครองพื้นฐานที่เป็นภัยธรรมชาติ บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงจากหรือทุกภัยรวมกันแล้วไม่เกิน 20,000 บาท/ปีประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน จัดอยู่ในประเภทประกันภัยทรัพย์สิน (Property Insurance) หมวดการประกันภัยเบ็ดเตล็ด (Miscellaneous Insurance) ซึ่งเป็นประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองหลากหลายไม่ใช่แค่เฉพาะตัวบ้าน แต่ยังคุ้มครองไปถึงเจ้าของที่อยู่อาศัยนั้นๆ ด้วย  รายละเอียดความคุ้มครองของการประกันภัยสำหรับเจ้าบ้านแบ่งเป็น 5 หมวด ดังนี้หมวดที่ 1 ความคุ้มครองต่ออาคารชดเชยค่าสินไหมทดแทนให้ในกรณีที่อาคารได้รับความเสียหายจากภัยต่างๆ อาทิเช่น อัคคีภัยหมวดที่ 2 ความคุ้มครองต่อทรัพย์สินในอาคารชดเชยค่าสินไหมทดแทนให้ในกรณีที่ทรัพย์สินภายในอาคารที่ได้รับความเสียหายจากภัยต่างๆ อาทิเช่น การระเบิดหมวดที่ 3 ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเช่าที่พักอาศัยชั่วคราวและการสูญเสียค่าเช่าหมวดที่ 4 คุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกอาทิเช่น จ่ายค่ารักษาให้กับบุคลภายนอกซึ่งได้รับบาดเจ็บภายในที่อยู่อาศัยของเรา หมวดที่ 5 ความคุ้มครองสำหรับเงินชดเชยการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์ในกรณีที่เจ้าของบ้าน (ผู้เอาประกัน) ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตขณะที่อยู่ภายในบ้านที่ทำประกันภัยไว้เปรียบเทียบประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย vs ประกันภัยเจ้าบ้านหมายเหตุ การคำนวณเบี้ยประกันเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้งสิ่งที่แรกที่เราต้องคำนึงถึงคือสภาพความเสี่ยงภัย และความต้องการความคุ้มครอง ยกตัวอย่างเช่น บ้านของเราอยู่ใกล้กับสถานที่ที่มีโอกาสเกิดไฟไหม้ หรือระเบิดได้ง่าย เราก็อาจเลือกทำเป็นประกันอัคคีภัยเพื่อที่อยู่อาศัย เพราะจะได้รับความคุ้มครองในหมวดไฟไหม้ได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าการทำประกันภัยสำหรับเจ้าบ้านซึ่งให้ความคุ้มครองที่หลากหลาย แต่อาจไม่ตอบโจทย์กับความเสี่ยงที่มีขอบคุณแหล่งข้อมูล :oic.or.th, bot.or.th, bangkokinsurance.com, fpo.go.th, bot.or.thi, muangthaiinsurance.com, Money buffalo, Easyinsure, oic.or.th-miscellaneous, oic.or.th-fire-housingแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/compare-fire-insurance-vs-home-insurance/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เผย 4 วิธีแก้หนี้บัตรเครดิต เอาตัวรอดอย่างไรดี

30/04/2024

บัตรเครดิตเป็นสิ่งที่หลายคนนำมาใช้เป็นทางเลือกในการใช้จ่าย จับจ่ายใช้สอยอย่างสะดวกสบาย ซึ่งการใช้บัตรเครดิตนั้น โดยมีโปรโมชั่นเป็นเเรงจูงใจให้คนใช้บัตรมากขึ้น เผย 4 วิธีแก้หนี้บัตรเครดิต เอาตัวรอดอย่างไรดีอยากแก้หนี้บัตรเครดิตเริ่มต้นอย่างไร หากติดหนี้บัตรเครดิตขึ้นมา ต้องมองหาทางแก้หนี้บัตรเครดิตเพื่อไม่ให้หนี้บานปลาย และดอกเบี้ยสูงทบต้นไปมากกว่านี้ โดยมี 4 วิธีที่จะช่วยแก้หนี้บัตรเครดิตมาฝากกันวิธีที่ 1 รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต ปกติเราจะได้ยินแต่คำว่า รีไฟแนนซ์บ้าน ใช่หรือไม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีการรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตด้วยเช่นกัน คือ การที่เรารวมหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดจากหลายๆ แหล่งเพื่อนำไปให้สถาบันการเงินแห่งใหม่ หรือธนาคารใหม่ เพื่อขอทำการผ่อนชำระ โดยขั้นตอนการรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตเริ่มทำได้ดังนี้ รวมยอดหนี้บัตรเครดิตทุกใบที่มีอย่างละเอียด ดูความสามารถในการชำระหนี้ของเราติดต่อธนาคารเดิมเพื่อต่อรองและแจ้งปิดหนี้เก่า มองหาธนาคารใหม่เพื่อติดต่อขอรีไฟแนนซ์ โดยพิจารณาหลายๆ ธนาคาร โดยหาธนาคารที่ดอกเบี้ยคุ้มค่าที่สุดวิธีรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตเหมาะกับคนที่ติดหนี้บัตรเครดิตอย่างเดียว และมีหนี้บัตรเครดิตหลายใบ วิธีที่ 2 รวมหนี้ การนำหนี้ดอกเบี้ยสูง เช่น หนี้บัตรเครดิต, หนี้บ้าน หรือสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่นๆ ที่เป็นหนี้อยู่หลายธนาคารมารวมไว้ที่เดียว เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการและการผ่อนชำระหนี้ วิธีนี้จะทำให้เราสามารถเลือกผ่อนจ่ายเป็นงวดได้ตามกำลังที่เราไหว แถมยังช่วยลดภาระเรื่องดอกเบี้ยลงได้ ส่งผลให้เราปิดหนี้ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น สำหรับคนที่อยากจะรวมหนี้บัตรเครดิตก็สามารถทำได้ 2 รูปแบบด้วยกัน คือ การรวมหนี้บัตรเครดิตหลายใบ รวมหนี้บัตรเครดิตที่เรามีอยู่กับหลายธนาคารมาเป็นสินเชื่อบุคคลกับธนาคารเดียวเพื่อให้ดอกเบี้ยลดลง และบริหารจัดการหนี้ได้ง่ายขึ้นด้วยการผ่อนจ่ายหนี้เพียงก้อนเดียว ระยะเวลาสินเชื่อยืดหยุ่นได้สูงสุดถึง 5 ปี โดยมีหลายธนาคารให้บริการอยู่ ส่วนใหญ่จะให้วงเงินได้สูงสุด 5 เท่าของรายได้กรณีไม่มีหลักประกัน การรวมหนี้บัตรเครดิตเข้าไว้กับหนี้สินเชื่อบ้าน รวมหนี้บัตรเครดิตไว้กับสินเชื่อบ้านที่เราอยู่ให้กลายเป็นหนี้ก้อนเดียวกับธนาคารเดียวกัน เพื่อช่วยลดภาระเรื่องดอกเบี้ยและการผ่อนค่างวด โดยจะได้วงเงินไม่เกินมูลค่าของหลักประกันวิธีที่ 3 เปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตให้กลายเป็นสินเชื่อระยะยาวหากติดหนี้บัตรเครดิตอยู่ อาจเลือกวิธีนี้ในการแก้หนี้บัตรเครดิต โดยเปลี่ยนเป็นหนี้สินเชื่อระยะยาวที่จะสามารถช่วยลดค่างวด พร้อมทั้งทำให้เราสามารถขยายระยะเวลาชำระหนี้ เมื่อเปลี่ยนเป็นสินเชื่อระยะยาวแล้วจะทำให้เราได้รับดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตเดิมของเราได้ ขั้นตอนการเปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตให้เป็นสินเชื่อระยะยาว 1. สำรวจค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน : เริ่มสำรวจค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน พร้อมคำนวณจากรายได้ของเราเพื่อที่จะได้เห็นชัดถึงความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ได้ เช่น มีรายได้เดือนละ 40,000 บาท มีหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดราว 300,000 บาท เรามาเริ่มวางแผนการเงินค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อเดือนก่อนเพื่อที่จะได้รู้ถึงความสามารถในการผ่อนชำระหนี้สินของเราได้ จะเห็นได้ว่าหากเราสามารถหักค่าใช้จ่ายของเราทั้งหมดออกแล้ว เราจะเหลือเงินราว ๆ 9,000 บาท ที่สามารถใช้ชำระหนี้ระยะยาวของเราได้ แต่เราขอแนะนำว่าไม่ควรให้ยอดหนี้ของเราอยู่ในระดับที่ 9,000 พอดี เพื่อช่วยให้การเงินของเราคล่องตัวขึ้น ท่านอาจจะผ่อนเพียงแค่ 6,000-7,000 บาทเท่านั้น (นี่เป็นเพียงกรณีตัวอย่าง ทุก ๆ ท่านควรศึกษาข้อมูลและวางแผนการเงินของเราให้ดีก่อนตัดสินใจทำสินเชื่อระยะยาว) 2. ติดต่อธนาคารเดิมที่เรามีหนี้ : เข้าติดต่อธนาคารเดิมที่เรามีหนี้บัตรเครดิต และขอเปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตเดิมให้กลายเป็นหนี้ระยะยาว 3. รอธนาคารพิจารณา : โดยธนาคารจะพิจารณาจากวงเงินของบัตรเครดิตของเรา เพื่อใช้คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกิน 12% ต่อปี และ 22% ต่อปี รวมถึงธนาคารจะพิจารณาระยะเวลาสินเชื่อระยะยาวไปให้เราอีกด้วย ซึ่งวิธีการนี้ก็เหมาะกับคนที่ไม่สามารถจ่ายยอดบัตรเครดิตขั้นต่ำไหว ต้องการยืดระยะในการเป็นหนี้บัตรเครดิตนั่นเอง วิธีที่ 4 ปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย วางแผนการเงินก่อนรูดบัตร การวางแผนการเงินก่อนตัดสินใจรูดบัตรเครดิตเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะไม่ทำให้เราเป็นหนี้บัตรเครดิตเพิ่มขึ้น หากเราต้องการซื้อสิ่งของที่จำเป็นเพิ่มโดยใช้บัตรเครดิต ควรคำนวณค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนและดูยอดเงินคงเหลือที่สามารถจ่ายบัตรเครดิตไหว เพื่อให้มีเงินที่ไปชำระหนี้บัตรเครดิตคงค้างและพยายามจ่ายให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และที่สำคัญเราควรเช็กสิทธิพิเศษต่าง ๆ จากบัตรเครดิตก่อนตัดสินใจรูดบัตรของเราก่อนด้วย เพื่อที่เราจะได้วางแผนการใช้จ่ายได้ดีขึ้น เช่น สิทธิผ่อนชำระสินค้าดอกเบี้ย 0% (ขึ้นอยู่กับประเภทบัตรเครดิตของเรา) ท้ายที่สุดของบทความนี้ การเลือกใช้บัตรเครดิตถือเป็นหนึ่งในทางเลือกใช้จ่ายที่ดี เพียงแค่เราต้องรู้จักคิด รู้จักใช้ ให้เกิดประโยชน์กับเราที่สุด แต่หากเกิดความผิดพลาดในการควบคุมค่าใช้จ่ายทำให้ติดหนี้บัตรเครดิตขึ้นมา สิ่งที่เราควรทำให้ไวคือการหาทางออกของการแก้หนี้บัตรเครดิตนี้ เพื่อรักษาประวัติทางการเงินที่ดีของตัวเรา แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยนิวส์ https://www.thainewsonline.co/news/economy-business/855796

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย มอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่โรงภาพยนตร์ เอ็มบาสซี ดิโพลแมท สกรีน สำหรับสมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ

30/04/2024

กรุงเทพฯ, 28 มิถุนายน 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด จับมือ นายไบรอัน ฮอลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์เซกคิวทีฟ ซีนีม่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดตัวแคมเปญมอบเอกสิทธิ์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับด้านความบันเทิงให้แก่สมาชิกเอไอเอ       เพรสทีจ คลับ (AIA Prestige Club) กับประสบการณ์การชมภาพยนตร์แบบพรีเมียมระดับโลกฟรี สำหรับสมาชิก เอไอเอ เพรสทีจ คลับ ระดับแพลทินัม และส่วนลดสูงสุด 50% ให้แก่สมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ ระดับโกลด์ ณ โรงภาพยนตร์ เอ็มบาสซี ดิโพลแมท สกรีน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์สุดหรู เพรียบพร้อมด้วยบริการระดับ 6 ดาว จับมือกับบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ อย่างเอไอเอ ประเทศไทย เพื่อร่วมเปิดประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับสมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ เท่านั้น ตอกย้ำถึงความตั้งใจที่เอไอเอต้องการส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและเอกสิทธิ์เหนือระดับให้แก่สมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ โดยสามารถรับสิทธิพิเศษนี้ได้ผ่านแอปพลิเคชัน AIA iService ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2566 เป็นต้นไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อศูนย์บริการลูกค้าเอไอเอ เพรสทีจ 02-353-8900 ทุกวัน เวลา 08:00 – 22:00 น. *เงื่อนไขเป็นไปที่ตามบริษัทเอไอเอ จำกัด กำหนด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิด 6 เหตุผล ที่ทำให้คนล้มเหลวในการวางแผนเกษียณ

30/04/2024

บทความโดย "วริศรา แสงอุไรพร"  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 27 มิถุนายน 2566 ถ้าพรุ่งนี้คุณจะต้องเกษียณแล้ว คุณอยากเห็นภาพชีวิตในวัยเกษียณของคุณเป็นอย่างไร ? คุณกำลังใช้ชีวิตอย่างไร ? อยู่ที่ไหน ? ภาพชีวิตในวัยเกษียณของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคนอาจมีความสุขกับการไปท่องเที่ยวที่ต่าง ๆ บางคนอาจมีความสุขกับการอยู่บ้าน ใช้เวลากับครอบครัว หรือเพื่อนฝูง ในขณะที่บางคนก็ยังคงสนุกกับการทำงาน ซึ่งคำตอบที่แตกต่างกันจะส่งผลถึงจำนวนเงินเกษียณที่ต้องเตรียมต่างกัน แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร คนส่วนใหญ่ก็อยากมีชีวิตวัยเกษียณที่ดี มีเงินมากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการกับคนที่รัก โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น แต่ทำไมถึงมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถทำแบบนั้นได้ มาร่วมอ่านไปพร้อม ๆ กัน ไม่มีเป้าหมาย ข้อแรกที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คนล้มเหลวในการวางแผนเกษียณ คือ ไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินเกษียณเท่าไหร่ หรือไม่เคยคิดเรื่องเก็บเงินเกษียณมาก่อน และเมื่อไม่เคยคิดถึงจึงไม่ได้เริ่มเก็บเงิน และเมื่อไม่เก็บจึงมีไม่มากพอ หรืออาจคิดว่าในยามเกษียณสามารถพึ่งพาลูกหลาน หรือรัฐบาลได้ หรือคิดจะทำงานต่อไปจนตลอดชั่วชีวิต ทำให้ไม่สนใจที่จะเริ่มเก็บเงิน แต่ถ้าถามว่าการจะพึ่งพาคนอื่นหรือทำงานไปจนชั่วชีวิตได้ไหม ? ก็อาจจะได้ แต่ไม่ง่าย และถ้าไม่เป็นอย่างที่คิด จะมาเริ่มเก็บตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว ไม่มีแผนในการเก็บเงิน ข้อต่อมาที่ทำให้คนล้มเหลวในการวางแผนเกษียณ คือ ไม่มีแผนในการเก็บเงินที่ชัดเจน บางคนเลือกใช้จ่ายก่อนเหลือแล้วค่อยเก็บ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือ ใช้ไปจนหมดจึงไม่เหลือให้เก็บ หรือเลือกที่จะใช้จ่ายไปกับความสุขในปัจจุบัน และไม่ได้เหลือเงินสำหรับอนาคต เช่น ซื้อของฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ทั้งรถ เสื้อผ้า สินค้าเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ท้ายที่สุดแล้วก็แทบไม่เหลือมูลค่า ซื้อบ้านที่ราคาแพงเกินไปทำให้เสียเงินเป็นค่าดอกเบี้ยมหาศาล ทุ่มเงินกับการศึกษาที่ดีที่สุดของลูกจนลืมเก็บเงินเผื่อไว้ให้ตัวเอง ฯลฯ ไม่ได้กระจายการลงทุน หรือไม่ได้มีแผนการเก็บเงินอย่างสม่ำเสมอทำให้สุดท้ายมีเงินเกษียณไม่เพียงพอ เริ่มเก็บเงินช้าเกินไป ในช่วงที่อายุยังน้อย คนส่วนใหญ่ยังไม่คิดถึงการเตรียมเงินเกษียณ เพราะรู้สึกว่ายังมีเวลาอีกนาน จนปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาถึงวัย 40 หรือ 50 แล้วค่อยเริ่มเก็บเงินอย่างจริงจัง ทำให้เวลาในการออมเงินเกษียณอาจเหลือน้อยเกินไป เก็บไม่มากพอ หรือลืมคำนึงถึงค่าใช้จ่ายบางตัว เงินที่ใช้ในยามเกษียณเป็นเงินก้อนใหญ่ที่อาจต้องใช้อย่างยาวนาน บางคนอาจจากไปก่อนเกษียณ ขณะที่บางคนอาจอายุยืนถึง 100 ปี ซึ่งจำนวนปีที่เกษียณขึ้นกับว่าคนคนนั้นเกษียณเร็วหรือช้า และอายุยืนมากหรือน้อย ซึ่งแน่นอนว่าการเตรียมเผื่อเหลือย่อมดีกว่าเผื่อขาด เพราะถ้าเตรียมไว้น้อยไปจะมาเริ่มทำงานเก็บเงินใหม่ในวัยเกษียณก็อาจไม่ทัน แต่ถ้าเงินเหลือยังส่งมอบให้ลูกหลานต่อได้ ทำให้เมื่อเกษียณต้องใช้เงินก้อนใหญ่ แต่ถ้าเก็บเงินน้อย แน่นอนว่ามันย่อมไม่เพียงพอ หรือบางครั้งอาจเกิดจากการประมาณค่าใช้จ่ายน้อยเกินจริง อาจลืมคำนึงถึงเงินเฟ้อ ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ค่ารักษาพยาบาลทั้งของตัวเองและคนที่ต้องดูแล ค่าซ่อมแซมบ้าน ค่ารถคันใหม่ ค่าภาษี หรือค่าใช้จ่ายในการดูแลพ่อแม่ที่อายุยืน ฯลฯ ทำให้เตรียมเงินไว้น้อยเกินไป ไม่เข้าใจเรื่องการลงทุน บางคนเลือกเก็บเงินเกษียณเกือบทั้งหมดไว้ในธนาคาร ที่ปัจจุบันได้ดอกเบี้ยเพียง 0.25% ซึ่งได้ผลตอบแทนต่ำกว่ามูลค่าเงินเฟ้อ ทำให้เงินที่เก็บไว้ไม่เพียงพอ ในขณะที่ถ้านำเงินบางส่วนไปลงทุนในหุ้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ถ้ามีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานพอ ความเสี่ยงจากการลงทุนจะลดลง หรือบางคนก็ถูกหลอกให้ลงทุนทำให้สูญเงินไปจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่ต้องระวังอย่างหนึ่งคือ การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีเกินจริงมักไม่มีอยู่จริง หรือไม่ได้กระจายการลงทุน เพราะสิ่งสำคัญในพอร์ตการเกษียณไม่ใช่ผลตอบแทนสูงสุด แต่เป็นผลตอบแทนที่เพียงพอให้บรรลุเป้าหมายโดยอยู่ในระดับความเสี่ยงที่รับได้ ไม่มีที่ปรึกษาที่ดี คนส่วนใหญ่มีเงินผ่านมือตลอดชีวิตมากมาย แต่หากปราศจากที่ปรึกษาที่ดีน้อยคนที่จะมีเงินเก็บมากพอที่จะใช้ยามเกษียณ ที่ปรึกษาที่ดีไม่ใช่คนที่เก่งกว่า แต่คือผู้ที่จะทำให้ท่านมีเป้าหมายที่ชัดเจน ร่วมสร้างแผนเกษียณ คอยกระตุ้นและให้กำลังใจท่านในการการลงมือทำ ติดตามแผน และปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้คนบรรลุเป้าหมาย ดังนั้นเพื่อความสำเร็จในการวางแผนเกษียณ ท่านต้องมีเป้าหมายการเกษียณที่ชัดเจน โดยคำนวณให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้น เขียนแผนการเก็บเงินที่เรียบง่ายที่สามารถทำได้จริงอย่างสม่ำเสมอและทำเป็นระบบที่จะตัดเงินไปออมหรือลงทุนอย่างอัตโนมัติ เริ่มเก็บเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วงเวลาเก็บเงินเกษียณที่ดีที่สุดคือตั้งแต่เริ่มทำงาน แต่ถ้าจะคิดเริ่มตอนนี้ก็ไม่ถือว่าช้าเกินไป มีวินัยในการออมอย่างต่อเนื่อง ออมให้ได้อย่างน้อย 10% ของรายได้ กระจายพอร์ตการลงทุนให้หลากหลาย อาจเลือกออมและลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. RMF SSF หุ้น กองทุนรวม ประกันบำนาญ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ โดยเก็บไว้ทั้งในรูปแบบเงินที่จะได้คืนแน่นอนให้เพียงพอสำหรับรองรับค่าใช้จ่ายประจำ และลงทุนเพื่อให้เงินเติบโตเพียงพอสำหรับไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น เพียงเท่านี้ชีวิตวัยเกษียณที่ดีของคุณก็จะไม่เป็นเพียงฝัน แต่สามารถเกิดขึ้นจริง แล้วพบกันที่ชีวิตเกษียณสุขของทุกท่าน เป็นกำลังใจให้เสมอ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1331219

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

สร้างวินัยการออมกับ “ประกันสะสมทรัพย์”

30/04/2024

หลายคนที่เริ่มมองหาช่องทางการออมเงินในช่วงจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้น อีกหนึ่งรูปแบบการออมที่ไม่ควรมองข้ามทั้งมือใหม่และมือเก๋า คือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งเป็นประกันชีวิตที่มาในรูปแบบของการเก็บออมเงิน และมีความคุ้มครองด้วย โดยกรมธรรม์จะดำเนินไปตามสัญญา หากชำระเบี้ยประกันครบตามสัญญา ก็จะได้รับทุนประกันคืนพร้อมดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ตามที่บริษัทประกันชีวิตกำหนดไว้ในสัญญากรมธรรม์ โดยผู้ทำประกันสามารถเลือกรับเงินก้อนเดียวเมื่อครบสัญญา หรือเลือกรับเป็นเงินคืนระหว่างปีกรมธรรม์ก็ได้ทั้งนี้ หากเสียชีวิตในระหว่างปีกรมธรรม์ ผู้รับผลประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์จะได้รับผลประโยชน์ตามที่กรมธรรม์ได้ระบุไว้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทประกันชีวิตได้มีการพัฒนารูปแบบกรมธรรม์ที่หลากหลาย ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันสะสมทรัพย์จึงต้องทำความเข้าใจและศึกษารายละเอียดของผลประโยชน์ของกรมธรรม์ให้เข้าใจก่อนตัดสินใจซื้อ“ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ แตกต่างจากการออมเงินในธนาคารที่จะไม่สามารถถอนออกมาใช้ได้ก่อนครบกำหนดตามสัญญา ซึ่งผลประโยชน์จะคุ้มค่าต่อเมื่ออยู่ครบตามสัญญาเท่านั้น ช่วยสร้างวินัยในการเก็บออม และการวางแผนการเงินในอนาคต และสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้”ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ดียังไง?1. สร้างวินัยการออม เพราะสามารถเลือกชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน หรือรายปี เป็นระยะเวลาติดต่อกันตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย2. สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้ สำหรับแบบะประกันชีวิตสะสมทรัพย์ที่มีระยะเวลาคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด3. ผู้เอาประกันจะได้รับเงินคืนระหว่างปี โดยจะได้เป็นรายปีไปจนกระทั่งครบกำหนดสัญญา อย่างไรก็ตาม เงินคืนระหว่างสัญญาจะได้จำนวนเท่าไรขึ้นอยู่กับที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ขณะเดียวกันยังมีประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์แบบที่ไม่มีเงินคืนระหว่างสัญญาด้วย ซึ่งสามารถตรวจสอบเงื่อนไขจากตัวแทนประกันชีวิตของแต่ละบริษัทได้3 ข้อมือใหม่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจทำประกันจากข้อดีที่หลากหลายของประกันสะสมทรัพย์ สำหรับมือใหม่ที่สนใจจะเลือกออมเงินกับประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ควรต้องรู้ก่อนตัดสินใจ กับ 3 ข้อควรรู้ง่ายๆ คือข้อที่ 1 ควรต้องรู้ก่อนว่ารายละเอียดของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์นั้นเป็นอย่างไร เพราะแบบประกันสะสมทรัพย์จะแตกต่างระหว่างการออมเงินในธนาคาร ถ้าอยู่จนครบสัญญาจะได้รับผลกำไรที่ดีกว่าการหยุดไประหว่างทาง ที่สำคัญผู้เอาประกันจะไม่สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายไปแล้วนั้นออกมาใช้ได้เหมือนกับการออมเงินแบบปกติ จึงทำให้เราสามารถออมเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการออมเงินผ่านธนาคารซึ่งมีสภาพคล่องมากกว่าข้อที่ 2 การเลือกประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ระยะสั้นไม่ได้ดีไปกว่าการฝากเงินระยะยาว เพราะไม่ว่าจะเลือกออมระยะสั้นหรือออมระยะยาวจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคนเป็นหลัก เพราะในบางครั้งการออมระยะสั้นอาจจะไม่ได้รับเงินที่คุ้มค่ากว่าระยะยาวเสมอไป ดังนั้น จึงต้องพิจารณาเงื่อนไขให้ดี เช่นเดียวกันกรมธรรม์ที่มีเงินปันผล กับแบบที่ไม่มีเงินปันผล ซึ่งไม่ว่าแบบไหนจะเหมาะกว่ากันนั้นต่างก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของการออมของแต่ละคนทั้งสิ้นข้อ 3 ประเมินความสามารถในการชำระเบี้ยประกันให้ดี เพื่อไม่ให้เงินที่ชำระค่าเบี้ยประกันไปแล้วเสียเปล่าหากจ่ายไม่ไหวและต้องหยุดส่งกลางทางได้ ซึ่งอาจจะทำให้เสียประโยชน์มากกว่าการชำระเบี้ยไปจนครบอายุสัญญา ดังนั้นในการเลือกกรมธรรม์จึงไม่ควรที่จะเลือกแบบประกันที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันที่สูงเกินกว่ากำลังซื้อที่จะสามารถจ่ายได้ไปตลอดอายุสัญญากรมธรรม์“จะเห็นได้ว่า การทำประกันสะสมทรัพย์เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเงินออม ที่สามารถสร้างวินัยในการออมเงินได้เป็นอย่างดี เพราะจะต้องส่งค่าเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอตามสัญญา อีกทั้งรับความคุ้มครองชีวิตและสามารถส่งต่อเป็นมรดกให้กับคนข้างหลังได้เป็นอย่างดี”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับการเงินธนาคารhttps://moneyandbanking.co.th/2023/43266/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

แบงก์ชาติ เปิดวิธีรับมือหนี้บ้านในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น

30/04/2024

ธปท.เปิดเคล็ดลับจัดการ “หนี้บ้านช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น” แนะ 2 วิธีรับมือ “ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้-ขอธนาคารลดดอกเบี้ย-รีไฟแนนซ์” เผย ลูกค้าจ่ายดอกเบี้ยคงที่มีเวลาปรับตัว ส่วนดอกเบี้ยลอยตัวเงินตัดต้นน้อยลง วันที่ 25 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุผ่าน Line Official ว่า ในช่วงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแลเศรษฐกิจจากการที่เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในที่สุดแล้วย่อมส่งผลมาถึงภาระการผ่อนบ้าน กล่าวคือ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านก็จะสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วลูกหนี้สินเชื่อบ้านกลุ่มใดจะได้รับผลกระทบบ้าง และเราจะมีวิธีไหนมาช่วยลดภาระดอกเบี้ย รวมถึงมีเทคนิคอะไรบ้างที่จะช่วยให้ปลดหนี้บ้านได้เร็วขึ้นด้วย Financial Wisdom มีคำตอบและคำแนะนำมาฝาก ทั้งนี้ ในวงการสินเชื่อบ้านจะมีกลุ่มคนที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ 2 กลุ่ม ที่จะได้รับผลกระทบแตกต่างกัน คือ 1. กลุ่มที่ได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ (Fixed Rate) ลูกหนี้กลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากยังคงถูกคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปตามสัญญา โดยสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะกำหนดให้เป็น fixed rate ในช่วงแรก เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ 3% ใน 3 ปีแรก แล้วค่อยปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว ทำให้ยังพอมีเวลาปรับตัวและสามารถหาเงื่อนไขเงินกู้ที่ดีก่อนที่ดอกเบี้ยตามสัญญาจะเปลี่ยนไปเป็นช่วงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว 2. กลุ่มที่ได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว (Floating Rate) กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบเมื่ออัตราดอกเบี้ยในสัญญาถึงกำหนดปรับเป็น Floating Rate เนื่องจากค่างวดที่ชำระในแต่ละเดือนจะมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้น หากจ่ายค่างวดบ้านเป็นจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นก็จะเหลือเงินมาตัดชำระเงินต้นได้น้อยลงสำหรับใครที่อยากลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้หรือหมดหนี้บ้านไวขึ้น อยากชวนมาลองทำตามวิธี ดังนี้ 1. จัดการรายรับ-รายจ่าย ได้แก่ ลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ ทั้งการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้จะช่วยให้เรามีเงินคงเหลือในแต่ละเดือนเพิ่มมากขึ้น (เงินคงเหลือ = รายรับ-รายจ่าย-ภาระผ่อนหนี้) พอมีเงินเหลือมากขึ้น เราก็สามารถนำเงินที่มีไปโปะหนี้เพิ่มเพื่อปลดหนี้ให้เร็วขึ้น และยังช่วยให้ประหยัดดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายอีกด้วย เราอาจเริ่มจากการปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นต่างๆ  อย่างค่าลอตเตอรี่หรือค่ากาแฟ ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามรายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เพราะหากสามารถลดได้ เช่น จากซื้อทุกวันเหลือสัปดาห์ละครั้ง หรือลดจำนวนเงินที่จ่ายต่อครั้งลง นอกจากจะดื่มด่ำกับกาแฟแก้วโปรดยิ่งขึ้นแล้ว ยังอาจมีเงินเหลือเป็นก้อนใหญ่จนเราตกใจก็เป็นได้ (ลองคำนวณจำนวนเงินคร่าว ๆ ได้ที่ โปรแกรม “เงินหายไปไหน”) นอกจากนี้ อาจจะมองหารายได้เสริมเพิ่มเติมจากสิ่งที่เราถนัดหรือสนใจด้วย เช่น ขายของออนไลน์ ขายเสื้อผ้า 2. เจรจาเจ้าหนี้หรือหาเงื่อนไขใหม่ที่ดีกว่า ได้แก่ เจรจาขอลดดอกเบี้ยและ Refinance การเจรจาต่อรองขอลดดอกเบี้ยกับเจ้าหนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้และควรทำ เพราะหนี้บ้านส่วนใหญ่จะมีอัตราดอกเบี้ย 2 ช่วง คือ ดอกเบี้ยต่ำในช่วงแรกเพื่อจูงใจลูกค้า และมักจะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ 3% ใน 3 ปีแรก และช่วงที่สองเป็นแบบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัวซึ่งมักจะแพงกว่าช่วงปีแรกๆ เช่น MRR จนสิ้นสุดอายุสัญญา เมื่อเราผ่อนไประยะหนึ่งจนใกล้ถึงช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามสัญญาจะคิดแบบลอยตัว เราก็สามารถเข้าไปยื่นเรื่องเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย เช่น ปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัวได้ ซึ่งจะช่วยให้ภาระดอกเบี้ยไม่สูงขึ้นไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งยังช่วยปลดหนี้ได้เร็วขึ้นกว่าการจ่ายตามสัญญาไปเรื่อย ๆ โดยไม่ไปขอลด ดังนั้น ใครมีสินเชื่อบ้านอย่ารอช้า รีบดูสัญญาว่าใกล้ช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังจะหมดโปรโมชั่นหรือถูกปรับขึ้นหรือยัง ถ้าใกล้แล้ว อย่าลืมไปยื่นเรื่องเจรจาขอลดดอกเบี้ยกัน โดยขอแนะนำว่า ควรเตรียมตัวอย่างน้อย 1 เดือนก่อนที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในสัญญาจะปรับเป็นแบบลอยตัว ซึ่งเราสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันการเงินที่ใช้บริการว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เพื่อประกอบการยื่นเรื่องให้สถาบันการเงินพิจารณา ถัดมาก็คือ refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่นที่ให้อัตราดอกเบี้ยถูกกว่าสถาบันการเงินที่เราใช้บริการอยู่ อย่างไรก็ดี ก่อนจะ refinance อย่าลืมคำนึงถึงต้นทุนแฝงต่าง ๆ ด้วยว่าคุ้มกับการ refinance หรือไม่ เช่น ค่าเบี้ยปรับชำระก่อนครบกำหนด (prepayment fee) ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากใครที่ต้องการ refinance และกำลังมองหาเงื่อนไขที่ดีกว่าสถาบันการเงินที่ใช้อยู่เดิม การเจรจาขอลดดอกเบี้ยและการ refinance จะช่วยให้เราประหยัดดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย และชำระเป็นเงินต้นในแต่ละเดือนได้มากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เราปลดหนี้ได้เร็วขึ้นด้วยนั่นเอง จะเห็นได้ว่า แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อภาระหนี้บ้านของเรา แต่หากมีการจัดการที่ดี หนี้บ้านก็จะไม่ใช่ปัญหาหนัก กลายเป็นทรัพย์สินและสถานที่ที่อบอุ่นสำหรับทุกคนในครอบครัวไปตราบนานเท่านาน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1332308

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X