Everyday knowledge for you
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดข้อมูลเปรียบเทียบปลดหนี้ด้วยการถูกลอตเตอรี่ โอกาส "รวย" ด้วย "หวย" มีมากแค่ไหน? สลากกินแบ่งรัฐบาล ตรวจหวย ลอตเตอรี่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดข้อมูลเปรียบเทียบปลดหนี้ด้วยการถูกลอตเตอรี่ โอกาส "รวย" ด้วย "หวย" มีมากแค่ไหน? ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ศคง. 1213 ว่า ปลดหนี้ด้วยลอตเตอรี่ มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน!! พร้อมเปรียบเทียบตารางโอกาสรวยด้วยหวย มีมากแค่ไหน ตารางโอกาสรวยด้วยหวย มีมากแค่ไหน รางวัลที่ 1 จำนวนเงินรางวัล 6,000,000 บาท โอกาส 1 ใน 1,000,000 รางวัลที่ 2 จำนวนเงินรางวัล 200,000 บาท โอกาส 5 ใน 1,000,000 รางวัลที่ 3 จำนวนเงินรางวัล 80,000 บาท โอกาส 10 ใน 1,000,000 รางวัลที่ 4 จำนวนเงินรางวัล 40,000 บาทโอกาส 1 ใน 100,000 รางวัลที่ 5 จำนวนเงินรางวัล 20,000 บาท โอกาส 1 ใน 10,000 รางวัลเลขหน้า/เลขท้าย 3 ตัว จำนวนเงินรางวัล 4,000 บาท โอกาส 2 ใน 1,000 รางวัลเลขท้าย 2 ตัว จำนวนเงินรางวัล 2,000 บาท โอกาส 1 ใน 100 ทั้งนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย แนะนำว่าให้เริ่มการออมเงินตั้งแต่วันนี้ รับรองว่ามีเงินก้อนปลดหนี้ได้มากกว่า เพราะโอกาสได้เงินก้อนจากการเสี่ยงดวงนั้นไม่ง่าย แต่ถ้าออมวันนี้ ได้มีเงินก้อนแน่ๆ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน โทร. 1213 แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับทีเอ็นเอ็นออนไลน์ https://www.tnnthailand.com/news/wealth/138861/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
หลังเริ่มทำงานไม่นานเพื่อนที่ทำงานด้าน “ประกันชีวิต” คนหนึ่งได้นำเสนอการทำประกันให้กับผม ทุกวันนี้ผมยังจำบทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อนในวันนั้นว่าผมทำประกันชีวิตไปเพื่ออะไรในเมื่อผมไม่ได้มีภาระทางการเงินอะไร เวลาผ่านไปหลายปีผมได้ข่าวว่าเพื่อนคนนี้ได้จากไปก่อนเวลาอันควร การสูญเสียเสาหลักด้านรายได้คงส่งผลกระทบกับครอบครัวของเขาที่มีลูกอายุไม่กี่ขวบไม่มากก็น้อย“ผมคิดว่าด้วยอาชีพของเขาคงจะได้รับเงินจากกรมธรรม์ประกันชีวิตไม่มากก็น้อย ขณะเดียวกันทำให้ผมกลับมาคิดว่าถ้าหากวันหนึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดกับครอบครัวของผมจะเป็นอย่างไร”ต่อมาเมื่อเรียนเรื่อง “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล” ผมพบว่าในกระบวนการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลนั้น “การบริหารจัดการความเสี่ยง” มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ในการวางแผนการเงิน ผู้บรรยายในชั้นเรียนยกตัวอย่างเรื่อง “การสวมหน้ากากออกซิเจนบนเครื่องบิน” ว่า การที่ผู้ใหญ่ต้องสวมหน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อนแล้วจึงสวมหน้ากากให้กับเด็กนั้น เพราะในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นคนจะหมดสติจากการขาดออกซิเจนภายในเวลาเพียง 15 วินาทีเท่านั้น หากผู้ใหญ่มัวแต่สวมหน้ากากให้เด็กก่อน ผู้ใหญ่มีโอกาสสูงมากที่จะหมดสติ ผลสุดท้ายคือทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่สามารถเอาชีวิตรอดไปได้“ผู้ใหญ่จึงต้องสวมหน้ากากเพื่อไม่ให้ตัวเองหมดสติไปก่อน ให้สามารถช่วยเหลือเด็กได้นั่นเอง การสวมหน้ากากให้ผู้ใหญ่ก่อน อาจเป็นสิ่งที่แปลกจากหลักปฎิบัติในชีวิตประจำวันที่เรามักให้ความสำคัญกับเด็ก สตรี และคนชรา แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินอาจเป็นเรื่องจำเป็น”แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับ “ประกันชีวิต” ล่ะ?วัตถุประสงค์หลักในการทำประกันชีวิต คือ การสร้างหลักประกันขั้นพื้นฐานเพื่อคุ้มครองให้บุคคลที่เราเป็นห่วงยังสามารถดำรงชีวิตได้เมื่อเราเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เราจะทำยังไงให้บุคคลที่เรารักและเป็นห่วงยังสามารถดำเนินชีวิตได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หากเราไม่สามารถอยู่ดูแลคุ้มครองได้อีกต่อไป“แต่เพราะไม่มีใครรู้อนาคตของตัวเอง การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดต่างๆ และการสร้างความมั่นใจหรือความมั่นคงสำหรับอนาคตเอาไว้ล่วงหน้าจึงเป็นวิธีการที่ทำให้เรามั่นใจว่าคนข้างหลังจะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ‘การวางแผนการประกันภัยและประกันชีวิต’ จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยในการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว ควบคู่ไปกับการวางแผนการเงินด้านการออมและการลงทุน”ในการสร้างความคุ้มครองเพื่อป้องกันผลกระทบทางการเงิน เราสามารถนำวิธี “การบริหารการเสี่ยงภัย” (Risk Management) มาเลือกแนวทางที่เหมาะสม หรือนำแต่ละวิธีมาใช้ควบคู่กันได้เช่นกัน วิธีการบริหารการเสี่ยงภัย มีดังนี้1. การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงภัย (Risk avoidance) ก็คือการไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมหรือสิ่งที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงภัย วิธีนี้แม้จะเป็นวิธีที่ช่วยไม่ให้เราต้องประสบกับภัยแต่ก็อาจมีผลกระทบทางอ้อมในด้านอื่นๆ เช่น การกลัวอุบัติเหตุทำให้ไม่กล้าเดินทางไปไหนเลย เป็นต้น2. การลดความเสี่ยงภัย (Risk Reduction) หรือลดความรุนแรงเมื่อเกิดเหตุ เช่น การขับรถยนต์อย่างมีสติ เคารพกฎจราจร การเดินทางด้วยรถยนต์แทนรถมอเตอร์ไซค์ ไปจนถึงการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีหรือการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พบปัญหาสุขภาพแต่เนิ่นๆ เป็นต้น3. การรับการเสี่ยงภัยไว้เอง (Risk retention) เมื่อประเมินว่าภัยที่จะเกิดขึ้นมีความเสียหายน้อยมาก จนไม่คุ้มค่ากับการป้องกันความเสี่ยง และยังเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เราก็สามารถรับความเสี่ยงภัยไว้เองได้4. การโอนความเสี่ยงภัย (Risk Transfer) “การทำประกันภัย” และ “ประกันชีวิต” เป็นรูปแบบหนึ่งของ “การโอนความเสี่ยงภัย” จากเราไปยังบริษัทประกันฯ แม้วิธีนี้จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการทำประกันภัย แต่เมื่อเทียบกับระดับความคุ้มครองที่ได้รับจะพบว่าต้นทุนเหล่านี้เป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก แต่สามารถลดผลกระทบทางการเงินเมื่อเกิดภัยขึ้น“เมื่อเราตัดสินใจเลือกโอนความเสี่ยงด้วยการทำประกันชีวิต คำถามที่ตามมาก็คือ เราควรทำประกันชีวิตมากน้อยแค่ไหน? และเราควรเริ่มทำเมื่อไหร่?”คำถามว่า…“ควรทำเมื่อไหร่?” เป็นเรื่องที่เห็นภาพได้ง่ายผ่านการเปรียบเทียบข้อมูลของแบบประกันชีวิต เพียงแต่ปกติการนำเสนอแบบประกันมักไม่เปรียบเทียบให้เราเห็น เพราะมักเป็นการนำเสนอเพื่อให้เราตัดสินใจทำประกันทันที เรามาหาคำตอบจากตัวอย่างแบบประกันชีวิตแบบหนึ่งที่มีการนำเสนอในปัจจุบันกันครับคุณหนึ่ง อายุ 30 ปี กำลังพิจารณาทำประกันชีวิตเพื่อลูกน้อยวัย 3 ขวบ คุณหนึ่งได้ขอให้ตัวแทนประกันชีวิตทำรายละเอียดของแบบประกันชีวิตแบบหนึ่งเพื่อพิจารณา ความตั้งใจเดิมคิดว่าจะทำประกันชีวิตเมื่อมีอายุ 40 ปี แต่ก็อยากดูว่าถ้าเริ่มทำประกันชีวิตทันทีจะเป็นอย่างไร ตัวแทนประกันชีวิตจึงได้นำเสนอรายละเอียดการทำประกันชีวิตในช่วงอายุต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเปรียบเทียบ ตามตารางหากคุณหนึ่งตัดสินใจ “ทำประกันทันที” อัตราเบี้ยประกันชีวิตที่คุณหนึ่งต้องจ่ายปีละ 23,390 บาท หรือเท่ากับคุณหนึ่งต้องชำระเบี้ยรวมเป็นเงิน 467,800 บาท สัญญาประกันชีวิตมีความคุ้มครองเป็นระยะเวลา 69ปี จนคุณหนึ่งมีอายุถึง 99 ปี เมื่อครบสัญญาหรือเสียชีวิตไปก่อนหน้าครอบครัวคุณหนึ่งจะได้รับเงินเอาประกันภัยเป็นเงิน 1 ล้านบาท เท่ากับมีส่วนต่างของเงินที่ได้รับกับเบี้ยประกันที่ชำระไปเท่ากับ 532,200 บาท “แต่หากคุณหนึ่งตัดสินใจ ‘ยกเลิกความคุ้มครอง’ เมื่อลูกจบการศึกษาหรือในอีก 20 ปีข้างหน้า คุณหนึ่งจะได้รับเงินจากมูลค่าเงินสดของกรมธรรม์ในวันยกเลิกสัญญา เป็นเงิน 387,000 บาท เมื่อหักเบี้ยประกันที่คุณหนึ่งชำระ ส่วนต่างที่เกิดขึ้นคือค่าใช้จ่ายเพื่อความคุ้มครองเป็นเงิน 80,800 บาท หรือปีละ 4,040 บาท”แต่ถ้าคุณหนึ่งตัดสินใจ “ทำประกันแบบเดียวกันนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้า” เมื่อคุณหนึ่งมีอายุ 35 ปี เบี้ยประกันชีวิตที่คุณหนึ่งต้องชำระปีละ 26,640 บาท หรือเบี้ยประกันชีวิตรวมเป็นเงิน 532,800 บาท ส่วนต่างของเงิน1 ล้านบาท ที่จะได้รับกับเบี้ยที่ชำระไปคำนวณได้เท่ากับ 467,200 บาท“แต่หากคุณหนึ่งตัดสินใจ ‘ยกเลิกความคุ้มครอง’ เมื่อลูกจบการศึกษาหรือในอีก 15 ปีข้างหน้า เท่ากับคุณหนึ่งชำระเบี้ยประกันรวม 15 ปี คิดเป็นเบี้ยประกันรวม 399,600 บาท ในวันยกเลิกความคุ้มครอง คุณหนึ่งจะได้รับเงินจากมูลค่าเงินสดของกรมธรรม์เป็นเงิน 301,000 บาท เท่ากับคุณหนึ่งมีค่าใช้จ่ายในการทำประกันชีวิตเป็นเงิน 98,600 บาท หรือคิดเป็นปีละ 6,573 บาท”จะเห็นได้ว่าหากคุณหนึ่งเลือกทางเลือกนี้ นอกจากการที่คุณหนึ่งจะไม่ได้รับความคุ้มครองในช่วงอายุ 30-35 ปี แล้ว คุณหนึ่งยังมีต้นทุนค่าใช้จ่ายของการประกันชีวิตเพื่อสร้างความคุ้มครองที่สูงกว่าด้วย หรือในทางกลับกันคุณหนึ่งจะได้รับ “ผลประโยชน์สุทธิ” จากกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ต่ำกว่าการตัดสินใจทำประกันชีวิตทันทีเห็นแบบนี้แล้ว อย่าลังเลอีกต่อไป.... มา “เริ่มทำประกัน” แต่เนิ่นๆ กันดีกว่าครับแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/12858
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการออมเงินในการเตรียมตัวสําหรับเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต จึงมีการสร้างนิสัยรักการออมให้มากจะดีกว่า เมื่ออายุครบ 28 ปี ก็ถึงเวลาเป็นสมาชิกของสังคมอย่างเต็มตัว ดังนั้น บางคนจึงสามารถออมเงินได้ในระดับหนึ่ง เมื่อถึงอายุ 28 ปี สามารถออมเงินได้เท่าไหร่? ในบทความนี้จะอธิบายจํานวนเงินออมของกลุ่มเป้าหมายหลักที่มีอายุ 28 ปี และวิธีการออมเงินของพวกเขา ● เงินออมสําหรับคนโสดอายุ 28 ปี และคู่แต่งงานแล้ว เมื่ออายุ 28 ปี การพัฒนาชีวิตของคุณจะมีความแตกต่างอย่างมาก ต่างก็ได้ใช้เวลามาเป็นเวลานานแล้วในการเป็นสมาชิกของสังคม ดังนั้น จะมีความแตกต่างในแง่ของรายได้ เช่นเดียวกับการออมของแต่ละคน ในบทความนี้จะเน้นที่ค่ากลางและค่าเฉลี่ยของการออมของประชาชนกลุ่มเป้าหมายหลักที่มีอายุ 28 ปี จากนั้นเรามาตรวจสอบเงินออมของคนอายุ 28 ปีที่ยังโสด และคนที่แต่งงานแล้วกัน คณะกรรมการกลางการประชาสัมพันธ์ทางการเงินอธิบายข้อมูลของ "จํานวนการถือครองสินทรัพย์ทางการเงิน" (รวมถึงครัวเรือนที่ไม่มีสินทรัพย์ทางการเงิน) จากการสํารวจความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับการเงินครัวเรือนและพฤติกรรมทางการเงิน (การสํารวจครัวเรือนเดียวและการสํารวจครัวเรือนที่อาศัยอยู่ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป) ในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างในเรื่องเงินเดือนระหว่างครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังของยุค 20 และมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าใกล้เงินออมเฉลี่ยของคนในวัย 30 ปี เมื่ออายุ 28 ปี โปรดใช้วิจารณญาณและเป็นแนวทางในการจัดการเงินออม ● เงินออมสําหรับคนโสดอายุ 28 ปี ก่อนอื่นมาดูการออมของคนโสดในวัย 20 และ 30 ปีกันก่อน วัย 20 ปี : มูลค่าเฉลี่ย : 1.06 ล้านเยน ค่ามัธยฐาน: 50,000 เยน วัย 30 ปี : มูลค่าเฉลี่ย : 3.59 ล้านเยน ค่ามัธยฐาน : 770,000 เยน นอกจากการออมแล้ว ข้างต้นยังรวมถึงทรัพย์สินทางการเงิน เช่น ประกันชีวิตและกองทุนรวมที่มีการออม เนื่องจากมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างค่าเฉลี่ยและค่ามัธยฐาน จึงเห็นได้ว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างผู้ที่ออมกับผู้ที่ไม่ออมเงิน ● เงินออมสําหรับคนที่แต่งงานแล้วอายุ 28 ปี จากนั้นตรวจสอบเงินออมของคนที่แต่งงานแล้วในวัย 20 ปี และ 30 ปี วัย 20 ปี : มูลค่าเฉลี่ย : 1.65 ล้านเยน ค่ามัธยฐาน : 710,000 เยน วัย 30 ปี : มูลค่าเฉลี่ย : 5.29 ล้านเยน ค่ามัธยฐาน : 2.4 ล้านเยน อาจเป็นเพราะมีครัวเรือนที่ทำงานทั้งสามีภรรยาจํานวนมาก จะเห็นว่าจํานวนสินทรัพย์ทางการเงินที่ถืออยู่นั้นสูงกว่าครัวเรือนเดี่ยว กระนั้นแม้แต่ในกรณีของคนที่แต่งงานแล้วก็มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างค่าเฉลี่ยและค่ามัธยฐาน ทําไมถึงได้ผลลัพธ์เช่นนี้? เรามาจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยและค่ามัธยฐานกัน ค่าเฉลี่ยคือค่าที่สามารถหาได้โดยการหารจํานวนข้อมูลทั้งหมดด้วยจํานวนข้อมูล ค่ามัธยฐานคือค่าที่อยู่ตรงกลางเมื่อข้อมูลถูกจัดเรียงตามลําดับจากมากไปน้อย หากมีข้อมูลขนาดใหญ่มากและข้อมูลขนาดเล็กมาก จึงไม่มีข้อมูลใดที่อาจสอดคล้องกับค่าเฉลี่ย ในกรณีนี้มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างค่าเฉลี่ยและค่ามัธยฐาน ดังนั้น จึงคิดว่าการกระจายของผู้ที่มีเงินออมสูงมากและผู้ที่มีเงินออมต่ำมากนั่นเอง ผู้คนจํานวนมากในวัย 20 ปีไม่ออมเงิน? ใน "การสํารวจเกี่ยวกับครัวเรือนและพฤติกรรมทางการเงิน" ก่อนหน้านี้ (การสำรวจครอบครัวเดี่ยว) อัตราการไม่เป็นเจ้าของสินทรัพย์ทางการเงินอยู่ที่ 45.2% ในวัย 20 ปี และ 36.5% ในวัย 30 ปี ดูเหมือนว่าเปอร์เซ็นต์ของคนที่ไม่ออมเงิน (หรือไม่สามารถ) ออมเงินได้นั้นมีจำนวนไม่น้อยเลย ● แนะนำวิธีการออมเงิน ทุกคนล้วนต้องพบเจอเหตุการณ์ในชีวิตมากมายในใช่ไหม? นอกจากนี้ ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง คุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ในการเตรียมตัวสําหรับกรณีเช่นนี้ การมีเงินออมจะยิ่งเป็นสิ่งที่ควรเตรียมการมากขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกของความปลอดภัยที่สามารถหาได้จากการมีเงินออมเพียงพอนั้นยอดเยี่ยมมาก ดังนั้น จะอธิบายหลักเพื่อการประหยัดเงิน แม้ว่าจะไม่มีเงินออมมากนัก 1 : ทําความเข้าใจค่าใช้จ่ายรายเดือนของคุณ คุณอาจกําลังชอปปิ้งเป็นประจํา แม้ว่าจะเป็นรายจ่ายเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าทำซ้ำซ้อนกัน มันจะเป็นค่าใช้จ่ายจํานวนมากตามมา แล้วทําไมไม่ทบทวนภาพค่าใช้จ่ายรายวันของคุณด้วยการทำสมุดบัญชีครัวเรือนล่ะ? เมื่อเห็นกระแสเงินจะเห็นค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่าได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันนี้มีแอปเกี่ยวกับบัญชีครัวเรือนก็มีความสําคัญเช่นกัน ดังนั้น จึงสามารถบันทึกสมุดบัญชีครัวเรือนจากสมาร์ทโฟนของคุณได้เช่นกัน เป็นความคิดที่ดีที่จะบันทึกค่าใช้จ่ายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น บัตรเครดิต บัตรแต้มต่างๆ ซึ่งกว่าจะถูกหักเงินหลังจากใช่อาจมีระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นจะมีความแตกต่างด้านเวลา เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะลืมไปว่าคุณใช้เงินไปเท่าไหร่ และอาจนําไปสู่การใช้จ่ายเงินที่มากเกินไป ในทางกลับกัน หากเป็นบัตรเดบิต บัตรเดบิตจะถูกหักออกจากบัญชีพร้อมกับการชําระเงินทันที เพื่อให้คุณสามารถบันทึกค่าใช้จ่ายของคุณได้ทันที คุณสมบัติอีกประการหนึ่งคือคุณไม่สามารถซื้อสินค้าได้มากกว่ายอดคงเหลือที่สามารถหักออกได้ ความสะดวกสบายเหมือนกับบัตรเครดิตทั่วไป ดังนั้นคุณอาจต้องการพิจารณาใช้งานบัตรประเภทนี้ 2 : ทบทวนต้นทุนคงที่ ทบทวนเรื่องจ่ายค่าใช้จ่ายคงที่ และค่าสื่อสาร ค่าเช่า บริการสมัครสมาชิก มีผลบังคับใช้ โดยพื้นฐานแล้ว ยอดมักไม่ผันผวน ดังนั้นหากคุณตรวจสอบให้ดีจะนําไปสู่การประหยัดได้มาก ตัวอย่างเช่น มีบางกรณีที่คุณจ่ายเงินทุกเดือนในฐานะสมาชิกโรงยิมโดยไม่รู้ตัว ค่าใช้จ่ายคงที่จะเกิดขึ้นแม้ว่าจะไม่ได้ใช้บริการก็ตาม หากมีบริการมากมายที่จ่ายด้วยยอดคงที่ คุณอาจลืมมันไปก่อนที่คุณจะรู้ตัวว่ามีภาระค่าใช้จ่ายนี้ และคุณอาจจ่ายเงินที่สูญเปล่าต่อไป 3 : การจัดการสินทรัพย์ นอกจากนี้ ยังมีวิธีเพิ่มการออมโดยเปลี่ยนรายได้ส่วนหนึ่งให้เป็นการจัดการสินทรัพย์ และสามารถใช้ประโยชน์จากระบบแรงจูงใจทางภาษีได้ นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกสําหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินส่วนตัว เช่น การประกันภัย 4 : รับของโดยไม่ใช้เงิน/ซื้อของราคาประหยัด เป็นเรื่องง่าย แต่การซื้อของราคาถูกก็เป็นวิธีประหยัดเงินเช่นกัน หากคุณมีรายได้ไม่เพียงพอ แต่ต้องใช้จ่ายอยู่เสมอเพราะต้องซื้อของใช้ประจําวัน คุณจะไม่สามารถประหยัดเงินได้ แต่อาจเลือกซื้อของที่เหมาะสมและราคาย่อมเยาแทน เช่น สําหรับเฟอร์นิเจอร์ สามารถซื้อได้ที่ตลาดนัด หาซื้อจากคนรู้จัก หรือที่แบ่งปันได้ นอกจากนี้ยังมีบริการอินเทอร์เน็ตที่มีการแจกสิ่งของที่ไม่ต้องการเพื่อรวบรวมฟรี และหากคุณลองเจรจาก็อาจจะได้รับเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ฟรี สําหรับอาหาร มีวิธีการต่างๆ เช่น การทําสวนครัวและเก็บผักป่ากลางแจ้ง หรือคุณอาจต้องการซื้อผักที่ร้านขายผักไร้คนขับ เพราะสามารถซื้อได้ค่อนข้างถูก สําหรับการผลิตในท้องถิ่นเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของบริการ แต่ก็ยังสามารถเพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆ ได้ฟรี มีพิพิธภัณฑ์และพิพิธภัณฑ์มากมายที่คุณสามารถเข้าได้ฟรีในโตเกียว ในใจกลางเมืองยังมีจุดชมวิวที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม จึงสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนของโตเกียวที่นั่นได้ ทําไมไม่หาวิธีที่จะสนุกกับมันโดยไม่ต้องใช้เงิน? แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/japan/detail/9660000005302
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
สหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีหนี้ 1,000,000,000,000,000 บาท /โดย ลงทุนแมน ตัวเลขนี้อ่านว่า “หนึ่งพันล้านล้านบาท” โดยเป็นตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ จนต้องมีการขอขยายเพดานหนี้เพิ่มเติม ที่น่าสนใจคือ หนี้สาธารณะดังกล่าว มีสัดส่วนต่อ GDP ของประเทศสหรัฐอเมริกา สูงถึง 120% ในขณะที่ไทย มีสัดส่วนต่อ GDP ราว ๆ 60% เท่านั้น ทำไมสหรัฐอเมริกา ถึงสามารถก่อหนี้ได้สูงถึง 1,000 ล้านล้านบาท และมากกว่า GDP ของประเทศ ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง แนวทางของรัฐบาลมี 2 วิธีในการหาเงินมาใช้จ่าย ทางเลือกแรกคือ การเก็บภาษีเพิ่ม แต่วิธีนี้รัฐบาลส่วนมากไม่ค่อยใช้ เนื่องจากการเพิ่มภาษีจะเป็นการลดกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น ทางเลือกที่สองคือ วิธีการกู้ยืมเงินของรัฐบาลจึงเกิดขึ้น โดยการก่อหนี้สาธารณะ การก่อหนี้สาธารณะ อาจเป็นการกู้ยืมเงินระยะสั้นและระยะยาว โดยที่แหล่งเงินกู้นั้น อาจมาจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการขายหลักทรัพย์ของรัฐบาล เช่น ตั๋วเงินคลัง ในกรณีที่เป็นการกู้ยืมระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี พันธบัตรรัฐบาล ในกรณีที่เป็นการกู้ยืมระยะยาวเกิน 1 ปี ในส่วนของสหรัฐอเมริกา หนี้จำนวนมหาศาลของประเทศนั้น มักพอกพูนมาจากนโยบายใหญ่ ๆ อย่างเช่น - การทำสงครามในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในอิรักและอัฟกานิสถาน - นโยบายปฏิรูประบบสาธารณสุข ในสมัยประธานาธิบดี Barack Obama - งบประมาณช่วยเหลือในวิกฤติเศรษฐกิจแต่ละครั้ง โดยเฉพาะ งบของกระทรวงกลาโหมในแต่ละปี ที่มากกว่างบประมาณของประเทศไทยทั้งประเทศ 7 ถึง 8 เท่า ทั้งหมดนี้ สะท้อนไปยังอัตราหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่เพิ่มขึ้นจาก 55% ของ GDP หรือ 186 ล้านล้านบาท ในปี 2000 เพิ่มเป็น 120% ของ GDP หรือ 1,012 ล้านล้านบาท ในปี 2022 จะเห็นว่า ตัวเลขหนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า ซึ่งนอกจากจำนวนหนี้จะไม่ลดลงแล้ว ยังมีการก่อหนี้เพิ่ม ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบัน ตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 1,029 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่าเพดานหนี้ที่กำหนดไว้ จนต้องมีการขอขยายเพดานหนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ แล้วทำไม สหรัฐอเมริกา ถึงสามารถก่อหนี้ได้มากมาย อีกทั้งยังสะสมและเพิ่มขึ้น จนถึงหลักพันล้านล้านบาทได้ คำตอบของคำถามนี้ คือ สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในโลก คำว่า แข็งแกร่ง ได้มาจากการเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก และครองแชมป์มาตั้งแต่ปี 1920 หรือมากกว่า 100 ปีมาแล้ว โดยไม่มีใครสามารถโค่นลงได้ ซึ่งตัวเลขขนาดเศรษฐกิจและสถิติที่ยาวนานนี้ ทำให้เจ้าหนี้ทั่วโลกต่างเชื่อมั่นว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกา จะสามารถเก็บภาษี หรือก็คือมีรายได้มากพอ ที่จะชดใช้หนี้ได้ตามกำหนดเวลา อีกทั้งการที่เจ้าหนี้ ต่างปล่อยกู้ให้กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อย่างต่อเนื่อง จนตัวเลขหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงถึง 120% ก็เพราะ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เติบโตมาตลอดเวลา และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปในอนาคต ทำให้ถึงแม้ปริมาณหนี้จะเพิ่มขึ้น แต่เจ้าหนี้ต่างก็มั่นใจว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา จะยังคงเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ รัฐบาลก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น และยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้คืนได้อยู่ดี หากพูดให้เห็นภาพ การก่อหนี้ในกรณีนี้ ก็ไม่ต่างจากการขอสินเชื่อของธุรกิจ หรือบุคคลทั่วไป ที่หากตรวจเช็กประวัติทางการเงินแล้วขาวสะอาด ไม่เคยเบี้ยวหนี้ ธุรกิจมีผลประกอบการที่ดี ก็จะได้รับความน่าเชื่อถือ หรือมีเครดิตที่ดี ซึ่งเครดิตที่ดีนี้ ก็ทำให้เราขอกู้ได้ง่ายขึ้น มากขึ้น และนานขึ้น แม้ว่าหนี้เก่าจะยังใช้คืนไม่หมดก็ตาม.. ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ ประเทศญี่ปุ่น คือประเทศที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP มากที่สุดในโลก โดยมีสัดส่วนสูงถึง 261% และเจ้าหนี้ที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นกว่าครึ่งหนึ่ง ก็คือ BOJ หรือธนาคารกลางประเทศญี่ปุ่น นั่นเอง.. แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับลงทุนแมน https://www.longtunman.com/44007
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
30/04/2024
สรรพากรระบุจะตรวจสอบการขอคืนภาษีบุคคลธรรมดาเข้มข้นสำหรับกลุ่มคนที่จัดอยู่ในบัญชีกลุ่มเสี่ยง ชี้หากได้รับคืนช้าเกินกว่า 7 วัน ถือว่า ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง พร้อมเปิดช่องทางตรวจสอบกรณีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นกรมสรรพากร นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากรระบุ กรมฯจะตรวจสอบการขอคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเข้มข้นมากยิ่งขึ้น หลังพบว่า มีกลุ่มคนยื่นขอคืนภาษีเป็นเท็จ ซึ่งขณะนี้ กรมฯได้จัดอยู่ในบัญชีกลุ่มเสี่ยงแล้วหากผู้ยื่นแบบรายใดได้รับการคืนภาษีที่ล่าช้าเกิน 7 วัน นั่นหมายความว่า ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงแล้ว ทั้งนี้ ในช่วงเดือนม.ค.ถึง มี.ค.ของทุกปี เป็นฤดูของการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดย 90%ของผู้ยื่นแบบเป็นการยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ “ถ้ายื่นแบบภาษีอย่างถูกต้องตรงไปตรงมา ไม่ต้องกังวล หากได้รับเงินคืน กรมฯจะคืนให้ภายใน 3 วันแต่คนใดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ก็จะใช้เวลาในการตรวจสอบอย่างละเอียดมากขึ้น หากมีภาษีต้องคืน ก็จะคืนให้แต่จะเกิน 7 วัน” เขากล่าวและว่า ปัจจุบันมีผู้อยู่ในระบบภาษีบุคคลธรรมดา 11 ล้านคน แต่อยู่ในฐานะต้องเสียภาษีเพียง 4 ล้านคน นายลวรณ กล่าวต่อว่า ช่วงนี้เป็นช่วงการยื่นแบบเสียภาษี ทำให้มีมิจฉาชีพ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรหลอกหลวงประชาชน ดังนั้น ขอให้ประชาชนที่ได้รับสายจากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ขอให้เชื่อว่า เป็นมิจฉาชีพทันที เพราะกรมสรรพากร ไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ และส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) รวมถึงทางไลน์ (Line) ไปยังผู้เสียภาษีโดยตรง เนื่องจาก ยังคงใช้วิธีการส่งจดหมายไปตามที่อยู่ผู้เสียภาษี และให้นำจดหมายที่ได้รับมาติดต่อกรมสรรพากรในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม หากประชาชนมีข้อสงสัยเรื่องมิจฉาชีพ ให้โทร.สอบถามเบอร์ 1161 ซึ่งขณะนี้ได้เพิ่มคู่สาย เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสอบถามเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่า กรมสรรพากร กำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงประกาศในเรื่อง Service Provider เพื่อให้ผู้บริการสามารถให้บริการในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียภาษี โดยปัจจุบัน Service Provider เพียงทำหน้าที่ในการส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากร แต่การปรับปรุงใหม่ ที่คาดว่า จะประกาศใช้ได้ภายในเดือนมี.ค.นี้ จะให้ Service Provider สามารถทำระบบบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายเล็กที่ไม่มีความเชี่ยวชาญการทำบัญชี สามารถใช้ได้และกรมสรรพากรยอมรับ รวมถึง ให้ Service Provider สามารถให้บริการแก่ผู้ประกอบการ ในการยื่นแบบเสียภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ กับกรมสรรพากรได้ด้วย “ความยุ่งยากในการลงบัญชีและการยื่นเสียภาษี ถือเป็นปัญหาหรือpain point ที่สำคัญประการหนึ่งของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ทำให้หลายรายไม่อยากเข้าระบบภาษีที่ถูกต้อง เมื่อเราทำให้ระบบดังกล่าวง่ายขึ้น ก็เชื่อว่าจะทำให้คนเต็มใจเข้าระบบภาษีมากขึ้นด้วย” แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1052357
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
คนรวยที่สามารถบันดาลสิ่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว และตระหนักว่าพวกเขาต้องการทําอะไร หากคุณมีเงิน คุณสามารถขยายทางเลือกในการดําเนินการและใช้ชีวิตที่ร่ำรวยได้ วันนี้จะสรุปลักษณะของคนรวยและสิ่งที่ต้องระวัง รวยที่แท้จริงคืออะไร? เมื่อได้ยินว่าคำว่ารวย เราจะนึกภาพคนแบบไหน? ผู้เขียนบทความคิดว่ามีภาพลักษณ์ที่คนรวยที่แต่ละคนจินตนาการต่างๆ กันออกไป เช่น คนที่หาในทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการได้ คนที่ใช้ชีวิตมากเท่าที่ต้องการด้วยเงิน และคนที่บริจาคเงินหลายร้อยล้านเยน เป็นต้น "รวย" หมายถึงอะไร? ความแตกต่างระหว่างความรวยสามารถแยกแยะได้ด้วยวิธีคิดเกี่ยวกับการเงิน การย้ายหรือจัดการเงินจํานวนมากไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวอย่างเช่น แต่ละคนมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงิน คนรวยมักทุ่มเงินลงทุนในตัวเอง ปรับปรุงคุณภาพชีวิต แต่คนรวยเก๊มักใช้เงินซื้อของฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นเพื่อลุคที่อยากให้เห็นว่ารวย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า "รวย" ที่แท้จริงคือคุณสามารถใช้เงินด้วยการมองไปที่อนาคตข้างหน้า ลักษณะของคนรวยคือ? ต่อไปจะแนะนําลักษณะคนรวยที่มักมีเหมือนๆ กัน 1 : มีความสนใจใฝ่รู้ คนที่รวยหลายคนมีความสนใจใฝ่รู้ที่จะแสวงหาสิ่งเร้าใหม่ๆ และสนใจในสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ และมีหลายกรณีที่สามารถประสบความสําเร็จได้โดยใช้ข้อสงสัยและประสบการณ์ที่ได้รับจากธุรกิจของตัวเอง นอกจากธุรกิจแล้ว การตั้งคําถามและสนใจข้อมูลและกิจกรรมประจําวันต่างๆ ในงานสร้างสรรค์และการวิจัยก็เป็นสิ่งสําคัญมาก 2 : มีความสามารถในการดําเนินการ ถ้าคุณไม่ลงมือทําด้วยตัวเองจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หลายคนที่ร่ำรวยสามารถเปลี่ยนเป็นการกระทําได้ทันทีที่คิดขึ้นได้ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่คนอื่นกําลังทําอยู่ แต่พวกเขายังมีความกล้าที่จะท้าทายโดยไม่ลังเล เช่น สิ่งที่ยังไม่มีใครเคยลองทำมาก่อน 3 : มีความเชื่อมั่นในตัวตนของตัวเอง คุณสมบัติหลักประการหนึ่งคือ มีความเชื่อมั่นในตัวตนของตัวเอง มีลักษณะเฉพาะที่ไม่สั่นคลอน มั่นคง ไม่มีครึ่งใจเพราะมีความคิดที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่าตัวเองต้องการทําสิ่งนี้ให้สําเร็จ "นี่คือทางของฉัน" เป็นต้น 4 : เก่งในการบริหารเวลาและสิ่งต่างๆ คุณเคยรู้สึกขี้เกียจดู SNS หรือทีวีหรือไม่? ช่วงเวลาพักเป็นสิ่งสําคัญอย่างแน่นอน คนที่รวยก็ปรับเปลี่ยนเก่งเช่นกัน เขาสามารถตั้งเวลา วางข้อจำกัดและเปลี่ยนใจจากความบันเทิงเพื่อให้สามารถดําเนินการอื่นๆ ต่อได้โดยไม่ต้องเสียเปล่า และมีอํานาจในการเลือกกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ดี ● ควรทําอย่างไรจึงจะเป็นคนรวย? หลายคนจะต้องการใช้ชีวิตด้วยเงินทองมากมายเหลือเฟือ แล้วควรทําอย่างไรถึงจะรวย? 1 : ใฝ่เรียนรู้ จากข้อด้านบนที่แนะนำไปว่า คนที่ "รวย" มีความสนใจใฝ่รู้ ทําไมจึงพูดเช่นนั้น? มาทบทวนสิ่งที่เราคิดและสิ่งที่เราสนใจกันเถอะ เช่น การเรียน การสะสมความรู้ และการใช้ประโยชน์จากมันเป็นขั้นตอนแรกในการเข้าใกล้ความเป็นคนรวยมากขึ้น หากคุณไม่มีความรู้ คุณจะไม่สามารถตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด และมีความเป็นไปได้ที่คุณจะสูญเสียโอกาสนั้นไปอย่างแน่นอน 2 : พยายามใช้ชีวิตตามปกติ หากคุณนอนดึกหรือใช้ชีวิตอย่างไม่สมดุลทางโภชนาการ ระบบประสาทอัตโนมัติของคุณจะไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีผลให้ไม่มีแรงจูงใจหรือความสนใจสิ่งต่างๆ ใดๆ ก็ตาม ความมีชีวิตชีวาเป็นข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการก้าวสู่ความรวย นอกจากนี้ ยังเป็นสิ่งที่ดีที่ต้องฝึกการคิดบวกให้ได้โดยการปรับวิถีชีวิตและเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงขึ้น 3 : สร้างนิสัยไม่ยอมแพ้ คุณรู้จักคําว่า "พรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่ค่อยๆ เติบโต" หรือไม่? อาจต้องใช้เวลากว่าจะบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต เป็นคําที่สามารถเห็นได้ว่าไม่ว่าคุณจะยอดเยี่ยมแค่ไหน คุณอาจไม่ได้ประสบความสําเร็จได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าใช้ความพยายามและเวลาต่อเนื่องอย่างไม่ยอมท้อถอยแล้ว ความรวยก็ไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งสําคัญคือต้องทำทุกวัน และสั่งสมทุกวัน 4 : ตระหนักว่า "เวลามีจํากัด" "เวลาเป็นเงินเป็นทอง" เป็นสํานวนที่ใช้กันทั่วไป ในฐานะที่เป็นลักษณะของคนรวย ที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขามักจะบริหารและใช้เวลาได้ดี และมักจะตระหนักอยู่เสมอว่า “เวลามีจํากัด” แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/japan/detail/9660000005304
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
เปิดข้อมูล 10 เมืองที่รำรวยที่สุดในโลกแห่งปี 2022 จัดอันดับจากจำนวนมหาเศรษฐี เผย “นิวยอร์ก”อันดับ1 สหรัฐครอง 5 เมือง จีนคว้า 2 เมือง “ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Henley & Partners ผู้นำระดับโลกด้านที่ปรึกษาการลงทุนเพื่ออยู่อาศัยและถือสัญชาติ จัดทำ Henly Global Citizens Report 2022 รายงานถึงเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลก โดยพิจารณาจากจำนวนของเศรษฐี (ทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมหาเศรษฐี (ทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โดย” นิวยอร์ก” ศูนย์กลางทางการเงินของสหรัฐอเมริกา ได้รับการจัดอันดับเป็น “เมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลก” โดยมีจำนวนเศรษฐีทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 345,600 คน , และบุคคลที่มีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 737 คน และมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากกว่า1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกจำนวน 59 คน นอกจากนี้นิวยอร์ก ยังเป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งของโลกตามมูลค่าตลาด (Dow Jones และ NASDAQ) โดยพบว่าความมั่งคั่งส่วนบุคคลทั้งหมดที่ชาวเมืองถือครองอยู่นั้นมีมูลค่าเกินกว่า 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากข้อมูลพบว่า 10 อันดับเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแห่งปี 2022 สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีมหาเศรษฐีกระจุกตัวเยอะที่สุดโดยติดอันดับถึง 5 อันดับคือ นิวยอร์ค ซานฟราซิสโก ลอสแองเจลิส ชิคาโก และฮิวสตัน ตามมาด้วยประเทศจีน ติดอันดับจำนวน 2 เมืองคือ ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ • อันดับ 1 “นิวยอร์ก ” ประเทศสหรัฐอเมริกา เศรษฐี : 345,600 คน มหาเศรษฐี: 59 คน • อันดับ 2 “โตเกียว” ประเทศญี่ปุ่น เศรษฐี : 304,900 คน มหาเศรษฐี: 12 คน • อันดับ 3 “ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เศรษฐี : 276,400 คน มหาเศรษฐี: 62 คน • อันดับ 4 “ลอนดอน” ประเทศสหราชอาณาจักร เศรษฐี : 272,400 คน มหาเศรษฐี: 38 คน • อันดับ 5 “สิงคโปร์” ประเทศสิงคโปร์ เศรษฐี : 249,800 คน มหาเศรษฐี : 26 คน • อันดับ 6 “ลอสแอนเจลิส “ประเทศสหรัฐอเมริกา เศรษฐี: 192,400 คน มหาเศรษฐี: 34 คน • อันดับ 7 “ชิคาโก” ประเทศสหรัฐอเมริกา เศรษฐี : 160,100 คน มหาเศรษฐี : 28 คน • อันดับ 8 “ฮิวสตัน” ประเทศสหรัฐอเมริกา เศรษฐี: 132,600 คน มหาเศรษฐี: 25 คน • อันดับ 9 “ปักกิ่ง” ประเทศจีน เศรษฐี: 131,500 คน มหาเศรษฐี: 44 คน • อันดับ 10 “เซี่ยงไฮ้” ประเทศจีน เศรษฐี : 130,100 คน มหาเศรษฐี: 42 คน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/world-news/news-1195659
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ในช่วงที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทออกมาอยู่บ่อยครั้ง และมักมีคำถามอยู่เป็นระยะว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลอย่างไรกับคนไทย อัตราแลกเปลี่ยนคืออะไร เมื่อมีการค้าขายกับต่างประเทศ แต่ใช้สกุลเงินต่างกัน ประเทศคู่ค้าต้องทำการกำหนด “อัตราแลกเปลี่ยน” ระหว่างเงินสองสกุล ซึ่งการเทียบเงินสกุลที่ต่างกันนี้ไม่ได้เปรียบเทียบจากขนาดของประเทศหรือขนาดเศรษฐกิจ แต่จะเปรียบเทียบจาก “อำนาจซื้อที่แท้จริง” ของเงินสกุลนั้น ๆ ในการซื้อสินค้าหรือบริการ ค่าเงินแข็ง/อ่อน คืออะไร อัตราแลกเปลี่ยนไม่จำเป็นต้องเท่าเดิมเสมอไป อาจแพงขึ้นหรือถูกลงก็ได้ หรือที่ได้ยินบ่อย ๆ ว่าค่าเงินแข็งหรืออ่อน ยกตัวอย่าง “ค่าเงินบาทแข็ง” หมายถึง เงินบาทมีค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น หากเมื่อวานนี้ใช้เงิน 30 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แต่วันนี้อัตราแลกเปลี่ยนถูกปรับเป็น 28 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น เงินบาทมีค่ามากขึ้นหรือ “แพงขึ้น” เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หรือเรียกว่า “ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ” ส่วน “ค่าเงินบาทอ่อนลง” ก็มีลักษณะตรงข้าม คือ เงินบาทมีค่าน้อยลงหรือ “ถูกลง” เช่น เมื่อวานใช้เงิน 30 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แต่วันนี้อัตราแลกเปลี่ยนถูกปรับเป็น 32 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ สถานการณ์นี้เรียกว่า “ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ” สาเหตุที่ทำให้ค่าเงินแข็ง/อ่อน เงินแต่ละสกุลมีลักษณะเหมือนสินค้าที่ราคาขึ้นลงจากกลไกตลาด หรือกำหนดจากอุปสงค์และอุปทานเงินตราของแต่ละประเทศ เช่น กรณีเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หากมีความต้องการซื้อเงินบาทมากขึ้น โดยเอาเงินดอลลาร์สหรัฐมาขาย เงินบาทก็จะแพงขึ้น (แข็งค่าขึ้น) ในทางกลับกันหากมีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น โดยเอาเงินบาทมาขาย เงินบาทก็จะถูกลง (อ่อนค่าลง) ที่มาข้อมูล : ธนาคารแห่งประเทศไทย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1194038
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
เราเคยสงสัยไหมว่า คนที่มีโอกาสรวยสุดๆ คือ คนที่ฉลาดกลางๆ ... ฉลาดแบบพอดี พอดี เพราะคนที่เก่งเกินจะมองแต่ความเสี่ยง จนไม่กล้าทำอะไร ในขณะที่คนที่ไม่รู้ ก็มักจะเสี่ยงเกิน จนสุดท้ายเจ๊งจนลุกไม่ขึ้น การเก่งกลางๆ คือ การใช้ความรู้ บวกกับความกล้าพอดีๆ นั่นแหละ คนที่จะรวยที่สุด แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับstock2morrow https://stock2morrow.com/article/5223
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
“หุ้นกู้” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการระดมทุนที่สำคัญทำให้ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนจำนวนมาก บางคนอาจไม่เคยลงทุนและมีคำถามมากมาย จึงขอสรุปออกมาเป็น “7 ข้อสำคัญ” ที่ผู้ลงทุนสนใจลงทุนหุ้นกู้ควรรู้และควรเตรียมความพร้อมก่อนการลงทุน สำหรับผู้ที่ไม่เคยลงทุนในหุ้นกู้มาก่อน หากสนใจลงทุนอาจมีคำถามว่า ควรเตรียมตัวอย่างไร และจะต้องพิจารณาอะไรก่อนที่จะลงทุน รวมถึงเมื่อได้ลงทุนและเป็นผู้ถือหุ้นกู้แล้วจะต้องมีการติดตามและใช้สิทธิของตนเองอย่างไร จึงขอสรุปออกมาเป็น “7 ข้อสำคัญ” ที่ผู้ลงทุนสนใจลงทุนหุ้นกู้ควรรู้และควรเตรียมความพร้อมก่อนการลงทุน 1. เตรียมตัวอย่างไรก่อนที่จะตัดสินใจในการลงทุนในหุ้นกู้ “หุ้นกู้” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการระดมทุนที่สำคัญของภาคธุรกิจและได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนจำนวนมาก สำหรับผู้ที่ไม่เคยลงทุนในหุ้นกู้มาก่อน หากสนใจลงทุนอาจมีคำถามว่า ควรเตรียมตัวอย่างไร ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง ผู้ลงทุนควรต้องศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลของหุ้นกู้นั้น ๆ โดยสามารถศึกษาข้อมูลได้จากจากหนังสือชี้ชวน แบบสรุปข้อมูลสำคัญของตราสาร (factsheet) ข้อมูลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และงบการเงิน เพื่อให้ทราบข้อมูลเบื้องต้นของหุ้นกู้ว่าบริษัทผู้ออกเป็นใคร อยู่ในอุตสาหกรรมใด หุ้นกู้ที่จะลงทุนมีลักษณะอย่างไร มีอายุและอัตราดอกเบี้ยเป็นอย่างไร มีหลักประกันหรือไม่ เป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิหรือไม่ เงินที่ระดมทุนได้จะนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด รวมถึงผู้ออกมีสถานะทางการเงินและอันดับความน่าเชื่อถือเป็นอย่างไร เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองกับหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวได้ สามารถคลิกดูข้อมูลได้ที่ https://market.sec.or.th/public/idisc/th/Product/Filing หรือ แอปพลิเคชัน SEC Bond Check 2. ควรพิจารณาความเสี่ยงใดบ้างอะไรก่อนที่จะลงทุนในหุ้นกู้ (1) ความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ เช่น อาจไม่ได้รับชำระดอกเบี้ย หรือเงินต้นคืน ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทผู้ออกไม่เป็นไปตามที่คาด เป็นต้น (2) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง เช่น ไม่สามารถขายหุ้นกู้ดังกล่าวก่อนครบกำหนด เนื่องจากการซื้อขายเปลี่ยนมือหุ้นกู้ในตลาดรองอาจมีไม่มาก หรือบางตัวแทบจะไม่มีสภาพคล่องเลยในตลาดรอง (3) ความเสี่ยงด้านราคา ในกรณีที่มีการขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดการไถ่ถอน อาจไม่สามารถขายได้ในราคาที่ต้องการ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาวะเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และอายุของหุ้นกู้ เป็นต้น 3. เครื่องมือหรือปัจจัยที่ช่วยในการพิจารณาความเสี่ยงของหุ้นกู้ในเบื้องต้นมีอะไรบ้าง ผู้ลงทุนแต่ละคนอาจมีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่ไม่เท่ากัน โดยเครื่องมือหรือปัจจัยที่จะช่วยในการพิจารณาความเสี่ยงของหุ้นกู้ในเบื้องต้น ได้แก่ (1) อันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) : โดยหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตที่ดีหรืออยู่ในระดับ investment grade จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ส่วนหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตต่ำกว่าในระดับ investment grade ลงมาหรือหุ้นกู้ที่ไม่มีการจัดอันดับเครดิต จะมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงกว่า แต่ก็มีการให้ผลตอบแทนสูงตามไปด้วย เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น (2) ประเภทของหุ้นกู้ : เนื่องจากหุ้นกู้แต่ละประเภทอาจมีความเสี่ยงและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น หุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งมีสิทธิในการได้รับชำระหนี้ด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (perpetual bond) ที่ไม่มีครบกำหนดไถ่ถอนและอาจต้องถือครองไปตลอดชีวิต รวมถึงตราสารด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีเงื่อนไขแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ลดมูลค่า หรือ ปลดหนี้ได้ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาลักษณะของหุ้นกู้ว่าเหมาะกับลักษณะการลงทุนของตนเองหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน (3) การประกอบธุรกิจของผู้ออกหุ้นกู้ : นอกจากการพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือและประเภทของหุ้นกู้แล้ว ผู้ลงทุนเองก็ควรที่จะพิจารณาในเรื่องการประกอบธุรกิจของผู้ออกด้วยเช่นเดียวกัน เช่น การพิจารณาว่าผู้ออกประกอบธุรกิจอะไร ธุรกิจของผู้ออกหุ้นกู้ที่มีแนวโน้มเป็นอย่างไรในอนาคต ธุรกิจดังกล่าวมีความเสี่ยงในเรื่องอะไร รวมถึงผู้ออกได้มีการออกหุ้นกู้เพื่อนำเงินไปใช้ในโครงการอะไรหรือทำอะไร (4) ปัจจัยประกอบอื่น ๆ เช่น หุ้นกู้ดังกล่าวมีหลักประกันหรือไม่ มีอายุหุ้นเท่าไร รวมถึงหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้หรือไม่ เป็นต้น 4. ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้คือใคร และมีหน้าที่อะไร “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” เป็นเหมือนตัวแทนของผู้ถือหุ้นกู้ในแต่ละรุ่น ที่มีหน้าที่ติดตามให้ผู้ออกหุ้นกู้ปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิหรือข้อตกลงระหว่างผู้ออกกับผู้ลงทุน โดยหากเกิดกรณีที่บริษัทผู้ออกไม่ชำระหนี้หรือผิดข้อกำหนดสิทธิอื่น ๆ ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ก็จะมีหน้าที่เรียกร้องให้บริษัทผู้ออกชี้แจงและแก้ไข เรียกร้องให้ชำระหนี้ บังคับหลักประกัน และเรียกร้องค่าเสียหายให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลต่าง ๆ กับผู้ลงทุนด้วย 5. เมื่อได้ลงทุนไปแล้ว ผู้ลงทุนควรมีการติดตามอย่างไร ผู้ลงทุนควรจะต้องติดตามข้อมูลของบริษัทผู้ออกอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องผลการดำเนินงาน งบการเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิ และการเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือ เพื่อประเมินความเสี่ยงว่ายังคงอยู่ในขอบเขตที่รับได้หรือไม่ หรือมีโอกาสที่บริษัทผู้ออกจะผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ โดยหากพิจารณาแล้วมีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะรับได้อาจพิจารณาขายในตลาดรอง อีกทั้งหากพบว่าผู้ออกไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิ หรือเกิดเหตุการณ์ที่อาจกลายเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ ผู้ลงทุนควรสอบถามหรือแจ้งให้ “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” ทราบ เพื่อให้ดำเนินการติดตามแก้ไขและรักษาผลประโยชน์ของผู้ลงทุน 6. การใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการขอขยายอายุหุ้นกู้ ในกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้เล็งเห็นว่าบริษัทอาจยังไม่สามารถชำระคืนหนี้หุ้นได้ อาจมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้เพื่อขอขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้น ในขั้นตอนนี้ผู้ลงทุนควรใช้สิทธิในการซักถามผู้ออกหรือ “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ โดยควรครอบคลุมในประเด็นดังนี้ (1) สาเหตุของการไม่สามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ตามกำหนดเดิมได้ ข้อเสนอและเงื่อนไขในการขอขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้น (2) แผนการจัดหาแหล่งเงินเพื่อการชำระคืนหนี้ ระยะเวลาการดำเนินการ ความเป็นไปได้ของแผนที่วางไว้ และความเพียงพอที่จะรองรับการชำระหนี้ (3) ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบของการลงมติในแต่ละทางเลือก (4) ขั้นตอนการดำเนินการตามข้อกำหนดสิทธิในการเรียกร้องให้บริษัทผู้ออกผู้ออกตราสารหนี้ชำระหนี้ทั้งหมด กรณีที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ลงมติไม่อนุมัติ 7. เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้ผู้ลงทุนจะต้องดำเนินการอย่างไร เมื่อเกิดกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ ผู้ถือหุ้นกู้จะมี “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” ช่วยดำเนินการในการฟ้องร้องบังคับหลักประกัน บังคับชำระหนี้ให้แทนผู้ถือหุ้นกู้ทุกราย รวมถึงการเรียกร้องค่าเสียหายให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ โดยในการดำเนินการแต่ละขั้นตอน “ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” อาจจำเป็นจะต้องมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้เพื่อขออนุมัติในการดำเนินการ ดังนั้น ผู้ถือหุ้นกู้ควรต้องใช้สิทธิเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองด้วย ทั้งนี้ ก.ล.ต. ขอให้ผู้ลงทุนหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลเพื่อพิจารณาทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและผลตอบแทน รวมถึงใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจ และจัดสรรเงินในการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ โดย ทยากร จิตรกุลเดชา ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารหนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ***************************************** หมายเหตุ : ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์ออนไลน์ https://www.posttoday.com/business/stockholder/689280
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
03/04/2024
20/05/2025
30/04/2024
07/06/2024
02/08/2024