คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันภัย

รวมวิธีเลือกซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์ให้คุ้มค่า ฉบับอัปเดต 2024

29/04/2024

มื่อเข้าสู่ปีใหม่ทั้งที การต่ออายุ หรือเลือกซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์ใหม่ น่าจะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนกำลังเริ่มวางแผนอยู่แน่นอน เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกทำประกันเจ้าไหนดี หรือจะเลือกอย่างให้คุ้มค่า และตอบโจทย์การใช้งานรถยนต์คู่ใจมากที่สุด แต่ไม่ต้องกังวลกันไป เพราะเรามีวิธีเลือกซื้อแบบง่ายๆ มาฝากกัน เลือกซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์ ต้องดูที่อะไรบ้างเลือกซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์ ต้องดูที่อะไรบ้างจะเลือกซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์ทั้งที จะต้องดูที่อะไรบ้าง คำถามนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผุดขึ้นในความคิดของทุกคน เพราะเมื่อนึกถึงคำว่าทำประกัน ภาพจำส่วนใหญ่ก็คือความยุ่งยาก ซับซ้อน และมีรายละเอียดให้ต้องคิดเยอะแยะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถดูได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่จุดนี้เท่านั้นความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันภัยสิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญในการเลือกซื้อประกันออนไลน์มากที่สุด จะต้องเป็นเรื่องความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันภัย เพราะจุดนี้ไม่เพียงแต่หมายถึงความมั่นคงในด้านเงินทุน ที่ทำให้เรามั่นใจในการเคลมประกันเท่านั้น แต่ยังหมายถึงคุณภาพในการบริการที่ทำให้อยู่มาอย่างยาวนานด้วยความคุ้มครองที่ตอบโจทย์เรื่องต่อมาที่ต้องให้ความสำคัญ ก็คือความตอบโจทย์ของประกันที่ต้องการ หากเป็นคนใช้บ่อย หรือต้องเดินทางไกลอยู่เป็นประจำ การเลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 ก็อาจจะตอบโจทย์ในส่วนนี้ แต่หากเป็นคนที่ใช้รถไม่บ่อย หรือใช้ในการเดินทางเป็นระยะทางที่ไม่ไกลมาก ก็อาจจะเลือกประกันรถยนต์ชั้น 2 หรือชั้น 3 แทนก็ได้ แต่ก็จะมีเงื่อนไขในการคุ้มครองที่น้อยกว่านั่นเองเงื่อนไขในการซ่อมและเคลมประกันอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ ก็คือการซ่อมแซมรถเมื่อเกิดอุบัติเฉี่ยวชน ตรงจุดนี้จะต้องเช็กให้ดีว่าเงื่อนไขของประกันนั้นเป็นการซ่อมอู่ หรือเป็นการซ่อมห้าง ซึ่งจะมีความแตกต่างในเรื่องของค่าเบี้ยประกัน รวมไปถึงอะไหล่ในการใช้ซ่อมที่อาจจะมีคุณภาพแตกต่างกันไป จึงเป็นอีกจุดที่เราต้องตัดสินใจให้ดีเช่นกันค่าเบี้ยประกันที่จ่ายไหวนอกจากเงื่อนไขต่างๆ แล้ว ค่าเบี้ยประกันที่จ่ายไหว คืออีกเรื่องสำคัญที่ทำให้ภาระทางการเงินนั้นไม่ตึงจนเกินไป จึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องใช้พิจารณาร่วมด้วยกันเงื่อนไขความคุ้มครอง เพราะจะได้ตอบโจทย์การใช้รถได้อย่างคุ้มค่า โดยมีเงินเหลือไปใช้ในการดูแลรถส่วนอื่นแบบสบายใจแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/508751

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

สัปดาห์ศิลปะสิงคโปร์ 2024 สุดยอดงานศิลป์กว่า 130 ชิ้นจากศิลปินทั่วอาเซียน

29/04/2024

กลับมาอีกครั้งกับงานเทศกาลศิลปะแนวหน้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Singapore Art Week (SAW) หรืองานสัปดาห์ศิลปะสิงคโปร์ โดยในปีนี้จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา ไปจนถึงวันที่ 28 มกราคม 2567 และจัดแสดงงานทัศนศิลป์กว่า 130 ชิ้นทั่วทั้งสิงคโปร์ ตั้งแต่บริเวณใจกลางเมืองตลอดจนพื้นที่ชานเมืองโดยรอบเทศกาลงานทัศนศิลป์ Singapore Art Week ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 12 ซึ่งเป็นงานสัปดาห์ศิลปะที่จัดขึ้นมาอย่างยาวนานที่สุดในภูมิภาค โดยตลอดเดือนมกราคมนี้ สิงคโปร์พร้อมต้อนรับผู้หลงใหลในงานศิลปะและนักสะสมจากทั่วทุกมุมโลกมาทำความรู้จักชุมชนแห่งศิลปะที่หลากหลายและมีชีวิตชีวาในสิงคโปร์ และมาร่วมเปิดประสบการณ์และมุมมองใหม่ ๆ ผ่านงานศิลปะจากศิลปินทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้Singapore Art Week จัดขึ้นโดยสภาศิลปกรรมแห่งชาติ หรือ National Arts Council (NAC) โดยการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวสิงคโปร์ (Singapore Tourism Board) โดยได้รวบรวมผลงานทัศนศิลป์ของสิงค์โปร์ทั้งหมดไว้ภายในงานนี้ ไม่ว่าคุณจะมีความสนใจด้านไหน ตั้งแต่เทศกาลงานศิลปะนานาชาติ นิทรรศการจากพิพิธภัณฑ์แนวหน้า ตลอดจนถึงงานแสดงไพรเวทคอลเลกชันระดับโลก และแกลเลอรี สตรีทอาร์ต นิทรรศการจากแบรนด์รวมถึงกิจกรรมด้านคอมมูนิตี้อาร์ตหรือพื้นที่สำหรับการสร้างสรรค์ศิลปะให้กับผู้คนทั่วไป ที่เปิดให้เข้าร่วมได้ทั่วทั้งสิงค์โปร์ ครั้งนี้ Singapore Art Week 2024 จะเปลี่ยนนิยามของคำว่าทัศนศิลป์สำหรับสิงคโปร์และทั้งภูมิภาค รวบรวมและพาผู้คนจากหลากหลายช่วงอายุ ต่างวัฒนธรรม ให้ใกล้ชิดงานศิลป์และการสร้างสรรค์ศิลปะมากยิ่งกว่าที่เคยไฮไลต์ของเทศกาล Singapore Art Week เช่นImmortal Words ผลงานจาก Boedi Widjaja ศิลปินร่วมสมัยชาวสิงคโปร์เชื้อสายอินโดนีเซีย ภายใต้ความร่วมมือกับรองศาสตราจารย์ด้านพันธุศาสตร์ Eric Yap จัดแสดงความเชื่อมโยงอันละเอียดอ่อนระหว่างศิลปะและวิทยาศาสตร์ได้อย่างสนุกสนาน นอกจากผลงานที่จะจัดแสดงแล้ว ยังมีศิลปะรูปแบบใหม่ที่เป็นการนำข้อความทั้งที่เป็นคำพูดและเป็นลายลักษณ์อักษรจากภาษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเข้ารหัสและแปลงคำเหล่านั้นให้กลายเป็นโครงสร้างโมเลกุล DNA ที่บรรจุในขวดด้วยน้ำหมึกที่เป็นสารแขวนลอย DNA ด้วยเช่นกัน โดยผู้เข้าเยี่ยมชมสามารถรับของที่ระลึกดังกล่าวได้ผ่านตู้กาชาปอง[] ที่จะจ่ายคำที่อนุรักษ์ไว้เป็นพิเศษในภาษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อรำลึกถึงรากวัฒนธรรมอันงดงามOpen studio sessions กิจกรรมที่เปิดให้ผู้ชมได้ทำความรู้จักกับศิลปินแนวหน้า และนำเสนอประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในการพบศิลปินตัวจริงผ่านกิจกรรมอย่างการเข้าชมสตูดิโอ การจัดแสดงผลงาน รวมไปถึงการพูดคุยผ่านงานเสวนา โดยมีศิลปินผู้บุกเบิกวงการศิลปะในสิงคโปร์ อย่างศิลปินโมเดิร์นอาร์ต Teo Eng Seng และนักกวีและช่างอักษรวิจิตรอย่าง Tan Swie Hian ผู้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะของสิงคโปร์เข้าร่วมกิจกรรมด้วยเช่นกันLight to Night Singapore 2024 หนึ่งในอีเวนต์สำคัญของ SAW และถือเป็นไฮไลท์ประจำปีของสิงคโปร์ ที่จะทำให้ย่าน Civic District (ซีวิค ดิสทริคท์) สว่างไสวด้วยการฉายภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจ การแสดงงานศิลปะจัดวางและกิจกรรมให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้ภายใต้ธีม "Reimagine" งาน Light to Night Singapore 2024 จัดแสดงโดย National Gallery Singapore โดยร่วมมือกับสถาบันทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นที่สุด 5 แห่งของ Civic District ได้แก่ พิพิธภัณฑ์อารยธรรมเอเชีย (Asian Civilisations Museum) ดิอาร์ตเฮาส์ (The Arts House) โรงละครวิคตอเรียและคอนเสิร์ตฮอลล์ (Victoria Theatre & Victoria Concert Hall) และ ศูนย์แสดงศิลปะ เอสพลานาด – เธียเตอร์ส ออน เดอะเบย์ (Esplanade Theatres on the Bay) นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการที่เป็นที่จับตามองอย่าง Tropical: Stories from Southeast Asia and Latin America ซึ่งเป็นนิทรรศการแรกของโลกที่นำเสนอผ่านแนวทางการเล่าเปรียบเทียบระหว่างทั้งสองภูมิภาค โดยเป็นเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการต่อต้านการครอบครองในยุคอาณานิคม แสดงผลงานมากกว่า 200 ชิ้น จากกว่า 70 ศิลปิน รวมถึงศิลปินแนวหน้าอย่าง Latiff Mohidin, Frida Kahlo และ Diego Rivera ให้ทุกคนร่วมชมสีหมึกแห่งการท้าทายและฝีแปรงแห่งความสามัคคี ผลงานที่เป็นหนึ่งในการเคลื่อนไหวจากศิลปินในยุคล่าอาณานิคมจากทั้งสองภูมิภาคHo Tzu Nyen: Time & the Tiger เป็นนิทรรศการจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ หรือ Singapore Art Museum (SAM) โดยจะพาผู้ชมไปสำรวจงานศิลปะอันเป็นผลงานจากศิลปินชาวสิงคโปร์ที่ได้รับการยกย่องอย่าง Ho Tzu Nyen ในระหว่างการเป็นศิลปินระดับ Mid-career ที่ครอบคลุมหลากหลายประเภทงาน ทั้งภาพวาด ภาพยนตร์ ละครเวที และวิดีโอจัดวาง ที่เกิดขึ้นในช่วงกว่า 2 ทศวรรษของเส้นทางการเป็นศิลปิน นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงผลงานใหม่ของ Ho Tzu Nyen ที่จัดร่วมกับ Art Sonje Center จากกรุงโซล อันได้แก่ T for Time ซึ่งเป็นการนำเสนองานศิลปะผ่านการฉายวิดีโอซ้อนทับจากสองช่องทาง เพื่อสื่อถึงเสน่ห์ของช่วงเวลาและการรับรู้เวลาที่แตกต่างกัน และสร้างมุมมองใหม่ให้กับผู้เข้าชมทั้งนี้พิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ (SAM) ยังมีการจัดแสดงผลงาน Simryn Gill and Charles Lim Yi Yong: The Sea is a Field ซึ่งเป็นผลงานร่วมกันระหว่างภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์และศิลปิน ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางสำรวจพื้นที่ซึ่งคั่นกลางระหว่างบ้านเกิดของศิลปินทั้งสามที่อยู่ใน Port Dickson ประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งก็คือทะเลนั่นเอง โดยศิลปินจะมีวิธีในการอธิบายเรื่องราวของการข้าม การอพยพ และเขตแดนในชีวิตประจำวันที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและการเมืองอันลึกซึ้งของภูมิภาครายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานสัปดาห์ศิลปะสิงคโปร์ หรือ Singapore Art Week (SAW) 2024 สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.artweek.sg หรือกดติดตาม @sgartweek บน Facebook, Instagram และ Telegramแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000006614

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

8 เคล็ดลับ เที่ยวคนเดียวให้มีความสุขและปลอดภัย แชร์ขั้นตอนการเตรียมตัวจากนักเดินทาง

29/04/2024

8 เคล็ดลับ เที่ยวคนเดียวให้มีความสุขและปลอดภัย พร้อมแชร์ขั้นตอนการเตรียมตัวจากผู้มีประสบการณ์ตรงการเที่ยวคนเดียว อาจเป็นฝันร้ายร้ายสำหรับหลายคน เพราะไม่มั่นใจและกลัวการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แต่สำหรับคนอีกกลุ่ม การเที่ยวคนเดียว เป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น ช่วยให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวเองและสถานที่ใหม่ ๆ โดยไม่ต้องรอความเห็นจากคนอื่นจริงอยู่ที่การเที่ยวคนเดียวก็อาจทำให้บางคนรู้สึกกังวล โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ด้วยตัวเอง แต่หากคุณได้ลองเปิดใจก้าวข้ามความกลัวสักครั้ง อาจทำให้คุณสนุกกับเรื่องใหม่ ๆ ได้มากขึ้น Sanook travel มี 8 เคล็ดลับการเที่ยวคนเดียวให้มีความสุขและปลอดภัย ลองนำไปใช้กันได้เลย8 เคล็ดลับ เที่ยวคนเดียวให้มีความสุขและปลอดภัย  1. วางแผนการเดินทางอย่างรอบคอบก่อนออกเดินทาง ควรวางแผนการเดินทางอย่างรอบคอบ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว สภาพอากาศ การเดินทาง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีแผนสำรองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน  2. เตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจการเที่ยวคนเดียวอาจทำให้คุณเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้นควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ พักผ่อนให้เพียงพอก่อนออกเดินทาง และเผื่อเวลาให้ตัวเองได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ  3. เตรียมเงินสดและบัตรเครดิตให้เพียงพอควรเตรียมเงินสดและบัตรเครดิตให้เพียงพอสำหรับการเดินทางและใช้จ่ายระหว่างวัน เผื่อเหลือดีกว่าขาดยังเป็นทางออกที่ดีเสมอ หลีกเลี่ยงการพกเงินสดจำนวนมากติดตัวเพื่อป้องกันการโจรกรรม อาจแบ่งเก็บเงินไว้หลาย ๆ จุด เพื่อความปลอดภัย  4. พกอุปกรณ์ที่จำเป็นติดตัวควรพกอุปกรณ์ที่จำเป็นติดตัว นอกจากโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป เช่น ยาสามัญ อุปกรณ์ปฐมพยาบาล หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการท่องเที่ยวในสถานที่นั้นๆ เช่น ที่ชำระล้างพกพา กรณีไปประเทศที่ไม่ใช้สายชำระแบบที่คนไทยคุ้นเคย หรือหากเที่ยวป่าปีนเขา ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม  5. เรียนรู้วิธีป้องกันตัวเองควรเรียนรู้วิธีป้องกันตัวเอง เช่น การระมัดระวังตัวจากอาชญากรรม การหลีกเลี่ยงอันตรายจากสภาพแวดล้อม เช็กสภาพอากาศให้ดี และการป้องกันตนเองจากโรคภัยไข้เจ็บ เบื้องต้น ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางยาววิกาลในที่เปลี่ยว เสี่ยงอาชญากรรม หรือศึกษาวิธีเอาตัวรอดเบื้องต้นจากเหตุฉุกเฉิน  6. เปิดใจกว้างและพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆการอยู่ในคอมฟอร์ตโซนทำให้อุ่นใจ แต่ให้คิดเสมอว่าการเที่ยวคนเดียวเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่แค่โลกกว้างที่เรายังเข้าใจได้ไม่มากพอ แต่ยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง คุณอาจเห็นศักยภาพของตัวเองอีกด้านที่คุณไม่เคยคิดว่าคุณจะสามารถทำได้มากก่อนก็ได้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก ๆ เลยล่ะ  7. อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น หลงทาง เจ็บป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุ ควรขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่หรือนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ โดยไม่ต้องกังวล หรือเขินอาย เพียงยอมรับว่าเรามือใหม่หัดเดินทางคนเดียว ผู้คนย่อมยินดีให้ความช่วยเหลือ  8. สนุกกับการเดินทางการเที่ยวคนเดียวเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น ดังนั้นควรสนุกกับการเดินทางและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆ ไว้ มองโลกในแง่มากกว่าการตำหนิติเตียน เก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่มีจำกัดให้มีความสุขเข้าไว้นอกจากการเตรียมตัวตาม 8 เคล็ดลับตามที่กล่าวไปแล้ว  เราขอแนะนำให้คุณเพิ่มความปลอดภัยให้อุ่นใจมากยิ่งขึ้น ด้วยการบอกคนที่คุณไว้ใจว่าคุณกำลังจะเดินทางไปไหนเมื่อไหร่ หากเกิดกรณีฉุกเฉินจะช่วยให้คุณรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงเพิ่มรายละเอียดในการเตรียมตัวจากผู้มีประสบการณ์ตรง คุณแบงค์ หนุ่มนักเดินทางเจ้าของเพจ ตัวคนเดียวก็เที่ยวได้ แนะนำขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับมือใหม่ลองเที่ยวอุทยานแบบสันโดษไว้ด้วยเที่ยวคนเดียวต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง  1. เลือกสถานที่อยากไป พร้อมตั้งงบค่าใช้จ่าย  2. หาข้อมูลสถานที่นั้นๆ เช่นการเดินทาง จุดห้ามพลาด กิจกรรมที่ต้องทำ เป็นต้น  3. กำหนดวันเดินทาง-จองตั๋ว-จองที่พัก    ***กรณีเดินป่าที่มีเต็นท์ไปกางเอง เช็กอุปกรณ์ให้แน่ใจว่าไม้ได้ลืมอะไร ปล.ผมเคยลืมเสาเต็นท์มาแล้ว สรุปคือแบกเต็นท์ 3 กก. เพื่อไปเช่าเต็นท์ครับ 55  4. หมั่นตรวจเช็คสภาพอากาศ โดยเฉพาะ 3 วันสุดท้ายก่อนเดินทาง จะได้เตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ  5. เตรียมแผนสำรองเผื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน อย่างเช่น หาข้อมูลสถานที่เที่ยวใกล้เคียง เวลาเกิด accident เปลี่ยนแพลนกระทันหัน จะได้ไม่รน ***อันนี้ผมว่าจำเป็นมากนะ  6. จดรายชื่อสิ่งของจำเป็นเอาไว้ เวลาจัดเป้จะได้ไม่ลืม  7. ก่อนวันเดินทาง ตรวจสอบ-เช็คดูเป้อีกรอบเพื่อกันลืม ***ตั๋วเดินทาง กระเป๋าตังค์ สายชาร์จ+โทรศัพท์ อุปกรณ์ถ่ายภาพ ยา และ "กางเกงใน" ให้ Remark ไว้เลยว่า #ห้ามลืมเด็ดขาด  8. วันเดินทาง ให้เอาความไม่สบายใจไปด้วย แต่ขากลับไม่ต้องพากลับมา สะดวกทิ้งตรงไหนก็ทิ้งไว้ตรงนั้น แล้วกักตุนความสุขในทริปนั้น ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้***ปล.การที่เราเลือกออกเดินทางตัวคนเดียวนั้น แปลว่า.....  เราต้องดูแลตัวเองได้ดีพอสมควร ต้องเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ ต้องสามารถพึ่งตัวเองได้ เพราะฉะนั้นสิ่งของจำเป็นทุกอย่าง ห้ามลืมเด็ดขาด และที่สำคัญ  ต้องไม่อ่อนไหวกับความเหงา"คิดถึงเขาได้.....แต่เราต้องมีความสุขให้มากกว่าตอนที่มีเขาอยู่"หวังว่าทริกเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ในการเดินทางตัวคนเดียวของหลายๆ คนนะครับ ขอให้มีความสุขในทุกๆ ทริปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/travel/1446667/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ชวนชมนิทรรศการ ‘Weaving Our Stories’ งานศิลปะสะท้อนความสัมพันธ์การทูตสหรัฐฯ-ไทย 190 ปี

29/04/2024

‘Weaving Our Stories’ นิทรรศการศิลปะที่สะท้อนความสัมพันธ์การทูต สหรัฐฯ-ไทย เพื่อเฉลิมฉลอง 190 ปี ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานครหนึ่งในงานนิทรรศการศิลปะทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง สหรัฐฯ-ไทย ในวาระครบรอบ 190 ปีที่นำเสนอความร่วมมือที่แน่นแฟ้น อันหลากหลายด้านตลอดเวลาที่ผ่านมาWeaving Our Stories คือ งานนิทรรศการแห่งการสานสัมพันธ์ระหว่างการทูตสหรัฐฯ-ไทย 190 ปี มีกิจกรรมที่ร้อยเรียงเรื่องราวแห่งมิตรภาพระหว่างชาติ และประชาชนของสองประเทศ ผ่านผลงานศิลปะ กิจกรรมสร้างสรรค์ศิลปะร่วมกัน และการให้ความรู้ต่างๆ โดยงานศิลปะเหล่านี้จะถูกจัดวางในพื้นที่สาธารณะ และในนิทรรศการกรุงเทพมหานคร ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร งานนิทรรศการดังกล่าว เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของเอกอัครราชทูตโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจุดประกายให้เกิดการแชร์ และแสดงความคิดเห็นของประชาชนทั่วไป พร้อมกับเฉลิมฉลองเรื่องราวในอดีต และสะท้อนภาพอนาคตความสัมพันธ์ของสองประเทศ ตลอด 190 ปีที่ผ่านมา ด้วยการบอกเล่าเรื่องราว ที่ยกย่องเชิดชูเสียงของคนธรรมดาทั่วไป ตลอดจนจัดแสดงผืนผ้าแห่งความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไทยอันงดงามซึ่งถักทอขึ้นโดยผู้คนหลากหลายรุ่นกิจกรรมในงาน ‘Weaving Our Stories’ มีด้วยกัน 4 ชุดผลงาน ประกอบด้วย ผืนผ้าแห่งความสัมพันธ์สหรัฐอเมริกาและไทย, งานร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในสหรัฐอเมริกาของนักเรียนนักศึกษาในไทย, การเดินทางของศิลปินเก็บเกี่ยวประสบการณ์และแรงบันดาลใจ จากชุมชนผ้าทอและผ้าพื้นเมืองทั่วประเทศไทย และการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจัดวาง “Time Owes Us Remembrance (ไทม์ โอว์ส อัส รีเมมบรานซ์) กาลเวลา คืนค่าหวนรำลึก” ไฮไลต์ของงาน คือ “Time Owes Us Remembrance กาลเวลา•คืนค่า•หวนรำลึก” ศิลปะในพื้นที่สาธารณะ โดย อแมนด้า พึ่งโพธิปักขิยะ ศิลปินชาวไทย-อเมริกัน ที่ได้รังสรรค์ขึ้นหลังจากได้พูดคุยเชิงลึกในการเยี่ยมเยือนผู้คนมากมายจากชุมชนต่างๆ ทั้งในสหรัฐฯ และไทย ในเรื่องของสตรี ความยั่งยืน สภาพอากาศ และเส้นทาง 190 ปี ของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ กับไทย ด้วยการผสมผสานการนำเสนอที่น่าสนใจผ่านผืนผ้าของอเมริกาและไทยผืนผ้าแห่งมิตรภาพนี้ เกิดจากเรื่องราวระหว่างสองชาติ ถักทอขึ้นจากเส้นด้ายมากมาย และครอบคลุมเรื่องราวบนผืนผ้าหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาด้านสาธารณสุข หรือการธำรงเสถียรภาพ และความปลอดภัยในภูมิภาคงาน ‘Weaving Our Stories’ จัดขึ้นที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 16 มกราคม-25 มิถุนายน 2567ภาพ : U.S. Embassy Bangkokข้อมูล : U.S. Embassy Bangkok แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/thaitravel/2756486

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

สวยหวาน! ซากุระเมืองไทยสีพาสเทลบานสะพรั่งเต็มที่ ณ ไร่ชา 2000 เชียงใหม่

29/04/2024

สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จ.เชียงใหม่ อัพเดตสถานการณ์ของดอกนางพญาเสือโคร่ง ณ ไร่ชา 2000 ที่ตอนนี้บานสะพรั่งเต็มที่สีสวยสลับขาว-ชมพู สมฉายาซากุระสีพาสเทลเมืองไทยภาพจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง the royal agricultural station angkhangเฟซบุ๊กเพจ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง the royal agricultural station angkhang โพสต์ภาพความสวยงามของดอกนางพญาเสือโคร่ง ณ ไร่ชา 2000 พร้อมข้อความว่าภาพจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง the royal agricultural station angkhang🌸วันนี้ (19 ม.ค. 67) เก็บภาพของดอกนางพญาเสือโคร่งสีขาวและสีชมพูที่กำลังบานเต็มที่ ณ ไร่ชา 2000 มาฝากกันค่ะ 🌡อุณหภูมิในช่วงนี้เริ่มเย็นลงอีกครั้ง อุณหภูมิ สูงสุด 22.5 องศา ต่ำสุด 6.4 องศา ยอดหญ้า 1.1 องศาค่ะภาพจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง the royal agricultural station angkhangสำหรับ “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ถือว่าขึ้นชื่อในเรื่องของการเป็นแหล่งชมดอกไม้เมืองหนาวนานาชนิด นอกจากนั้น ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งแหล่งชมซากุระอันสวยงามภาพจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง the royal agricultural station angkhangจุดเด่นของที่นี่ นอกจากจะมีซากุระไทยอย่างนางพญาเสือโคร่งให้ชมได้ตั้งแต่บนเส้นทางถนนที่จะขึ้นไปยังดอยอ่างขาง เพราะมีต้นนางพญาเสือโคร่งปลูกไว้ตลอดสองข้างทางแล้ว ยังมีต้นซากุระแท้ๆ จากญี่ปุ่นปลูกไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมและถ่ายรูปกันภายในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางอีกด้วยภาพจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง the royal agricultural station angkhangแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000006049

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

เรื่องควรรู้ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ”

29/04/2024

บทความโดย "ชัญญาพัชญ์ อัครกิจวณิชย์" ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทยวันที่ 23 มกราคม 2567 อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นล่วงหน้าได้ ผู้ใช้รถยนต์จึงให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยรถยนต์ โดยประกันภัยมีความจำเป็น 2 ฉบับคือการทำประกันภัยภาคบังคับ หรือ “พ.ร.บ.” (พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ) และการทำประกันภัยภาคสมัครใจ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง ในกรณีที่อาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด จนทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถควบคุมได้ หมายความว่า การทำประกันภัยรถยนต์ จึงเป็นการโอนความเสี่ยง โดยให้บริษัทประกันภัยเข้ามาดูแลจัดการแทนทั้งนี้เชื่อว่าหลาย ๆ  คน ที่เป็นผู้ใช้รถยนต์และทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ยังไม่ทราบถึงสิทธิของตนที่พึงได้รับจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถเช่น ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุและผู้ใช้รถยนต์เป็นฝ่ายถูก ไม่สามารถใช้งานรถยนต์ได้ในระหว่างซ่อมทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีการเดินทาง เช่น นั่งรถโดยสารสาธารณะ หรือรถ Taxi อาจทำให้เกิดความไม่สะดวก และอาจมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น และในบางกรณีอาจเสียรายได้ในระหว่างรถกำลังซ่อมในกรณีนี้ผู้ใช้รถยนต์สามารถเรียกร้องค่าสินไหมที่เกิดจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถจากบริษัทประกันของคู่กรณีได้ (เฉพาะกรณีที่ผู้ใช้รถยนต์เป็นฝ่ายถูกเท่านั้น)ใครบ้าง ? มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ   •  ผู้เสียหาย/ผู้ใช้รถยนต์ที่เป็นเจ้าของรถ (เป็นฝ่ายถูก) เกิดอุบัติเหตุรถชน   •  คู่กรณีที่มีการทำประกันภัยรถนต์ภาคสมัครใจ (เป็นฝ่ายผิด)เรียกร้องเงินค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ได้เท่าไหร่บ้างสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดความคุ้มครองค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ เพื่อไม่ให้บริษัทประกันภัยจ่ายในจำนวนที่ต่ำเกินไป ดังนี้   •  รถยนต์ส่วนบุคคล ขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง ได้รับการชดเชยในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท   •  รถยนต์รับจ้างสาธารณะ ขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง ได้รับการชดเชยในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท   •  รถยนต์ขนาดเกินกว่า 7 ที่นั่ง ได้รับการชดเชยในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาทเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สำหรับผู้ใช้รถยนต์ที่มีการทำประกันรถยนต์ก็จะมีความสบายใจ อุ่นใจ เมื่อมีบริษัทประกันมาดูแลรับผิดชอบค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นตามความคุ้มครองที่ได้รับแต่ละประเภทของประกันภัยนั้น ๆดังนั้น หากตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายผิด สามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถในระหว่างซ่อมจากบริษัทประกันของคู่กรณีได้ แต่หากผู้ใช้รถยนต์ทำประกันภัยเฉพาะ พ.ร.บ. ซึ่งคุ้มครองคน ไม่คุ้มครองทรัพย์สิน ก็จะไม่สามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ที่สำคัญเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก การติดกล้องหน้ารถยนต์ก็เป็นตัวช่วยที่สามารถใช้เป็นหลักฐานลดข้อขัดแย้งในการเจรจาได้ อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยได้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ผู้ใช้รถยนต์ควรรู้ เพื่อรักษาผลประโยชน์และสิทธิอันพึงได้รับจากการทำประกันภัยได้อนึ่ง คำสั่งนายทะเบียน ที่ 70/2561 เรื่อง ให้แก้ไขแบบ ข้อความกรมธรรม์ประกันภัย และเอกสารแนบท้ายของกรมธรรม์ประกันภัย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2562แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1482340

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง

29/04/2024

คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ผู้เขียน : Actuarial Business Solutions [ABS] ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง (Liquidity Risk) คือ สภาพคล่อง หรือความสามารถที่จะเปลี่ยนสินทรัพย์ตัวที่ถืออยู่ให้เป็นเงินสดได้เร็ว และไม่เสียมูลค่า (ใช้เวลาน้อย และสูญเสียมูลค่าของตัวเงินน้อยที่สุด) ยังมีคำคำหนึ่งที่น่าสนใจ คือ Marketability ซึ่งแปลว่า ความสามารถที่สามารถซื้อขาย Security ได้ (ถ้ามีตลาดที่ Active ก็แสดงว่ามี Marketability ที่ดี) ความหมายของคำว่า Marketability จึงคล้ายกับคำว่า Liquidity จะต่างกันก็ตรงที่ว่า Liquidity จะเน้นถึงมูลค่า (Value) ที่ไม่ได้สูญหายไป (จากการที่ต้องขายในราคาถูก เพื่อให้มีคนมาซื้อ) ในกรณีที่นักลงทุนต้องการจะขายตราสารหนี้ ก็อาจขายไม่ได้ในเวลาที่ต้องการ หรือขายไม่ได้ ณ ราคาที่ต้องการ เช่น ราคาที่ขายจริงต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น หากนักลงทุนมีความประสงค์ที่จะถือตราสารหนี้ไปจนครบกำหนด ก็ไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงนี้ Liquid Market ก็คือตลาดที่พร้อมที่จะมีคนซื้อ และคนขายทุกเวลา ส่วนตลาดที่มี Deeply Liquidity ก็คือตลาดที่มีคนซื้อ และคนขายในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งจะสังเกตได้ว่า Treasury Bonds จะมี Liquidity สูงกว่า Corporate Bond หรือ Debenture บริษัทหลายบริษัท (รวมทั้งบริษัทประกันชีวิต) ที่เคยเห็นว่าประสบภาวะล้มละลาย ก็เนื่องมาจาก Liquidity นั่นเอง เนื่องจากสินทรัพย์ที่ถืออยู่ไม่สามารถนำมาขายในตลาดเพื่อเอามาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ได้ทัน (เลยถูกฟ้องล้มละลาย) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเรื่องก็เริ่มจากการที่ 1.ขาดสภาพคล่องเล็กน้อย หรือบริษัทเกิดภาวะขาดทุน หรือไม่มีเงินทุน (Capital) หรือเกิดการทุจริตในบริษัทกัน 2. นักจัดอันดับการลงทุนลดลำดับลง คนในตลาดเริ่มขาดความเชื่อมั่นกับบริษัท ซึ่งทำให้ชื่อเสียงบริษัทเริ่มหดหาย 3. คนเริ่มแห่กันถอนเงินจากบริษัท บริษัทเริ่มขาดสภาพคล่องมากขึ้น แถมมีภาระต้องชำระหนี้อีก นักจัดอันดับการลงทุนก็ลดลำดับลงไปอีก (เรียกว่าเกิด Spiral Effect ภาษาพื้น ๆ เรียกว่า โดน 2 เด้ง) 4. บริษัทหาทางขาย แต่คราวนี้ไม่มีใครกล้าซื้อ จึงทำให้ต้องขายราคาที่ถูกมากกว่าที่ควรจะเป็น LTCM (ตั้งขึ้นโดยคนได้รับรางวัลโนเบล) ก็เคยประสบปัญหาในเรื่อง Liquidity เหมือนกัน แล้วก็ต้องขายกิจการไป เนื่องจากถือพันธบัตรของรัสเซีย แล้วตอนนั้นพันธบัตรเกิด Default ขึ้นมา ซึ่งก็เป็นตัวจุดประกายให้ LTCM เริ่มขาดสภาพคล่อง คนที่รู้ข่าวไม่ดี เริ่มกลัวก็เริ่มถอนออกไป สุดท้ายก็ขอสรุปว่า พอปัญหามันเกิดอย่างคาดไม่ถึง ทุก ๆ อย่างก็ทับถมประดังกันเข้ามาพร้อมกัน จนบริษัทล้มครืนลงในปี ค.ศ. 1998 บริษัทได้สูญเสียเงิน 4.6 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 4 เดือนเท่านั้น Liquidity : The ability of an asset to be converted into cash quickly and without any price discount. Marketability : A measure of the ability of a security to be bought and sold. If there is an active marketplace for a security, it has good marketability. Marketability is similar to liquidity, except that liquidity implies that the value of the security is preserved, whereas marketability simply indicates that the security can be bought and sold easily. การจะสร้างระบบการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพในองค์กรนั้น มีขั้นตอนการดำเนินงานที่สำคัญดังต่อไปนี้ - สร้างระบบการวิเคราะห์ที่เข้มแข็ง สำหรับงานด้านการคำนวณระดับความเสี่ยง สัดส่วนทุนที่เหมาะสม และการประเมินเหตุการณ์ต่าง ๆ ในตลาดและสภาพคล่อง ควรจำกัดผลของปัจจัยกระทบจากตลาดให้น้อยที่สุด ควบคู่ไปกับการแสวงหาโอกาสในการทำกำไรส่วนต่างที่ดีอยู่เสมอ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการวิเคราะห์ผลของการเปลี่ยนแปลงต้นทุนและสภาพคล่อง เพื่อการตอบสนองที่ทันการณ์ - บริหารจัดการข้อมูล ควรต้องมีมุมมองที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสภาพคล่องภายในองค์กร ด้วยการนำข้อมูลตลาดที่ทันสมัยมาใช้ในการพิจารณา รวมถึงข้อมูลการลงทุนต่าง ๆ ผลตอบแทนสินทรัพย์ทางการเงิน และภาพรวมสภาพคล่องในตลาด ซึ่งอัพเดตสถานการณ์หลายครั้งในแต่ละวัน - ผสานการรับมือและบริหารจัดการความเสี่ยงเข้าในกระบวนการทำงาน จะต้องสามารถประเมินมูลค่าของพอร์ตและชุดสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อน ด้วยการผสานการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และการวิเคราะห์สถานการณ์จำลองไว้ด้วยกันภายในระบบเดียว และต้องมีขีดความสามารถในการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในตลาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพคล่องอีกด้วย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1483387

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ไอเดียเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืน เติมโอกาส และทักษะสู่เยาวชน เติมความฝันเด็กไทยในอนาคต

29/04/2024

เปิดแนวคิด ประเด็น และความสำคัญของ ‘การเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืน’ จากผู้ที่มีส่วนร่วมในโครงการไฟ-ฟ้า โดย ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ที่ร่วมกันปลุกพลังเยาวชน ช่วยกันต่อยอดผลงานศิลปะ จุดประกายแนวทางให้เด็กไทย ได้มีโอกาสก้าวสู่สังคมในวงกว้างอย่างมีประสิทธิภาพ“เด็กธรรมดา...คือสิ่งสวยงาม” คำนิยามง่ายๆ บนแนวคิดที่น่าสนใจจากโครงการ ไฟ-ฟ้า โครงการ CSR กิจกรรมเพื่อสังคมของ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี) ที่จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ภายใต้ปรัชญา “Make REAL Change” เพื่อที่จะมอบโอกาสให้กับเยาวชนอายุ 12-17 ปี ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ด้านศิลปะ และกีฬา พร้อมทักษะการใช้ชีวิต และการต่อยอด เพื่อที่นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปพัฒนาในสังคม และคืนสิ่งดีๆ สู่สังคม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆหนึ่งในโครงการที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อ “การเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืน” ที่จะมอบโอกาสการศึกษาเพิ่มเติม ให้แก่เด็กที่มีทางเลือกไม่มากนักทางสังคม โดยกรองเด็กจากความตั้งใจ พื้นหลังของเด็กๆ ที่มีความน่าสนใจ เพื่อมาฟูมฟักให้เด็กเหล่านี้เติบโตมาอย่างประสิทธิภาพการเลือกเยาวชนในช่วงอายุ 12-17 ปี เพราะว่า เด็กวัยนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เริ่มตัดสินใจเอง และควรมีทางเลือกที่ดี รู้จักนำความรู้ไปเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเปลี่ยนชีวิต ครอบครัว ชุมชน และสังคมให้ดีขึ้นในลำดับต่อไปเด็กที่ได้เข้าร่วมโครงการจะสามารถเลือกเรียนสิ่งที่ตนเองสนใจในด้านต่างๆ 8-10 วิชา โดยศูนย์การเรียนรู้ ไฟ-ฟ้า ที่เปิดมาแล้ว 15 ปี ทั้งหมด 5 แห่ง ประกอบไปด้วย ประชาอุทิศ, จันทน์, บางกอกน้อย, สมุทรปราการ และนนทบุรีไทยรัฐออนไลน์ ได้ร่วมพูดคุย กับผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันโครงการ ทุกกระบวนการตั้งแต่ หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน ของทีเอ็มบีธนชาต, ครูอาสาในโครงไฟ-ฟ้า และนักเรียนศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์ที่น่าสนใจ รวมถึงแนวคิดในการผลักดันส่งเสริม การขับเคลื่อนเยาวชนไทยให้ไปสู่งฝั่งฝันอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ คืนความยั่งยืนสู่สังคมในอนาคตมาริสา จงคงคาวุฒิ หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน จากทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี‘การสอนจับปลาแทนการให้ปลา’ ฉนวนปรัชญาสอนเด็ก ที่สร้างความยั่งยืนสู่สังคมบุคคลแรกที่ทางทีมไทยรัฐออนไลน์ ได้ร่วมพูดคุยด้วย คือ คุณสา หรือ มาริสา จงคงคาวุฒิ หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน จากทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เพื่อพูดคุยถึงความเป็นมา แนวทาง ของโครงการไฟ-ฟ้า ที่น่าสนใจนี้ว่า “ตั้งแต่ริเริ่มโครงการมา 15 ปี โครงการไฟ-ฟ้า เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็น เด็ก เพราะเชื่อคำพูดที่ว่า ‘เด็กคือ อนาคตของชาติ’ ถ้าเด็กเติบโตมาอย่างดี มีแนวทางที่ถูกต้อง สังคมคงจะดีขึ้นไม่น้อย”คุณสา กล่าวถึง “ที่มาของคำว่า ไฟ-ฟ้า โดยเปรียบคำว่า ‘ไฟ-ฟ้า’ เหมือนแรงขับเคลื่อน แะการจุดประกายให้แก่เด็กๆ เหล่านี้ โดย ‘ไฟ’ เปรียบเสมือนพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเด็กทุกคน ส่วน ‘ฟ้า’ สีแห่งการให้” หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน เล่าต่อว่า “การทำโครงการนี้เพียงเพื่ออยากปลูกฝังเยาวชนเหล่านี้ได้ค้นพบศักยภาพตัวเอง แล้วก็ผ่านการเรียนรู้ที่ถูกต้อง โดยยึดปรัชญา ‘การสอนจับปลาแทนการให้ปลา’ ที่เน้นเรื่องขององค์ความรู้ที่เด็กๆ สนใจ นำมาต่อยอดสู่ความยั่งยืนได้รอบด้าน”ค่าใช้จ่ายของ ‘ศูนย์การเรียนรู้ ไฟ-ฟ้า’ คือ การคืนความรู้สู่สังคมอย่างยังยื่นปัจจุบันศูนย์การเรียนรู้ไฟ-ฟ้า เปรียบเสมือนแหล่งเรียนพิเศษของกลุ่มเด็ก และเยาวชนที่มีโอกาสทางสังคมไม่มากนัก ซึ่งจะมีวิชา และกิจกรรมที่ไม่ต่างอะไรจากสถาบันสอนพิเศษ ประกอบไปด้วย ศิลปะ มวยไทย เทควันโด เต้น ร้องเพลง การเป็นยูทูบเบอร์ และอีกมากมาย โดยทางศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า จะมีครูอาสา ครูผู้เชี่ยวชาญในสายงานนั้นๆ คอยหมุนเวียนกันมาเติมเต็มความรู้ในด้านต่างๆ ที่นักเรียนนั้นสนใจ โดยศูนย์การเรียนรู้ไฟ-ฟ้า จะเปิดให้บริการแก่นักเรียนทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ เมื่อเด็กๆ มีเวลาว่างก็สามารถมาศึกษาได้ตลอดเวลาตามความสนใจไม่ว่าจะหลังเลิกเรียน หรือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แม้ว่าที่ศูนย์จะเปิดให้เรียนฟรี แต่ทางศูนย์การเรียนรู้ไฟ-ฟ้า จะมีการคัดเลือกเด็กที่มีโอกาสน้อยทางสังคม เพื่อให้ได้มีโอกาสเท่าเทียมกับเด็กคนอื่นๆคุณสา มาริสา เล่าถึงขั้นตอนการคัดเลือกว่า “การคัดเลือกของเราจะเลือกจากเด็กที่มีรายได้น้อย ไปจนถึงปานกลาง เราจะมุ่งเน้นไปที่เด็กที่ขาดโอกาส หรือมีต้นทุนไม่เท่ากับเด็กคนอื่นๆ ด้วยการสัมภาษณ์”เติมความรู้ในส่วนที่สามารถ ลดโอกาสที่มีไม่เท่ากันของเด็ก คุณสา เล่าว่าในเรื่องนี้ว่า “ปัจจุบันมีเด็กที่ไม่มีโอกาสมากมายในสังคม บางครอบครัว แค่ส่งลูกเรียนโรงเรียนประจำก็เป็นภาระที่หนักแล้ว ทางเราจึงริเริ่มโครงการนี้เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่เด็กเหล่านี้ได้สัมผัสโอกาสเท่าเด็กคนอื่นๆ บ้าง” “แม้ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เรามีขอข้อแม้ที่เป็นเงื่อนไข คือ เด็กที่จบการศึกษาจากเราไป ต้องคืนความรู้ที่ได้จากเราไปคืนสู่สังคมไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เช่น รูปแบบผลงานที่มูลนิธิผลักดันที่ สร้างรายได้ นำคืนสู่มูลนิธิเพื่อโอกาสของเด็กรุ่นถัดไป การแชร์ประสบการณ์ หรือการกลับมาต่อเติมองค์ความรู้ ที่สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม วนเวียนเป็นวัฏจักรที่สร้างสรรค์ต่อไป”สุดท้ายแล้ว คำนิยามของคำว่า ‘การเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืน’ “เด็กพอมีความรู้ มีวิธีการต่อยอด เด็กที่ด้อยโอกาสก็จะไม่ต้องมานั่งรอโอกาส รอเงินบริจาคอีกต่อไป แต่สามารถต่อยอดความรู้นี้ นำไปสร้างรายได้ได้ด้วยตนเอง รวมทั้งอย่างที่กล่าวไปข้างต้น คือ การกลับมา นำความรู้ที่ได้ มาต่อยอดให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะกลาง ถึงระยะยาว ที่ทรงประสิทธิภาพ คืนคุณค่าดีๆ ทั้งสู่ตัวเด็ก ครอบครัว ชุมชน และสังคมอย่างยั่งยืนในที่สุด” คุณสา หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน กล่าวทิ้งท้ายไฟ-ฟ้า โดย ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จึงเป็นหนึ่งในโครงการแห่งการ “ให้” ที่ยั่งยืน และได้จับมือพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA BANGKOK) ต่อยอดผลงาน และไอเดียสร้างสรรค์ของเด็กไฟ-ฟ้า ในคลาสศิลปะให้ทดลองลงสนามจริง เพื่อจุดประกายและพัฒนาศักยภาพของเด็กๆโดยการเปิดพื้นที่ MOCA BANGKOK จัดนิทรรศการแสดงผลงานของเยาวชน นำเสนอให้สังคมได้เห็นพลังของเด็กๆ ที่ซ่อนอยู่เพื่อรอ “โอกาส” และ “การให้” มาเติมเต็มความมั่นใจให้มีเส้นทางที่เด่นชัดสามารถเปล่งประกายเป็นผลงานที่โดดเด่นออกสู่สายตาสาธารณชนในวงกว้าง พร้อมเปิดให้ทุกคนสัมผัสประสบการณ์ทางศิลปะและการสร้างสรรค์ผลงานสู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพของเด็ก ๆ ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม-4 กุมภาพันธ์ 2567เก๋ บุณยนุช วิทยสัมฤทธิ์ เจ้าของแบรนด์แฟชั่น 31 Thanwa ครูอาสาโครงการไฟ-ฟ้าโครงการเหล่านี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้ และไม่สามารถผลิดอกออกผล ถ้าไม่มีผู้ที่คอยเติมความรู้ ประสบการณ์ และเทคนิคต่างๆ เพื่อขับเคลื่อน สร้างแรงกระตุ้นให้แก่เด็ก และเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้มีศักยภาพเพื่อก้าวสู่โลกแห่งความเป็นจริง เก๋ บุณยนุช วิทยสัมฤทธิ์ เจ้าของแบรนด์แฟชั่น 31 Thanwa ครูอาสาโครงการไฟ-ฟ้า ได้มาร่วมแชร์ประสบการณ์ แรงบันดาลใจ และมุมมองของการเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้เก๋ บุณยนุช กล่าวถึงความในใจว่า “จุดเริ่มต้นในการเข้ามาทำงานกับโครงการไฟ-ฟ้า เกิดจากการชักชวนของคนรู้จัก และตอบตกลงอย่างง่ายดาย เพียงเพราะเรารู้สึกว่ามันเป็น โครงการที่เจ๋งดีนะ เหมือนเป็นการช่วยพัฒนาความสามารถของเด็กๆ น้องๆ ให้เขามีแนวทางปฏิบัติ มีความรู้ในการนำไปต่อยอดให้กับตัวเองได้ จึงเกิดความรู้สึกที่อยากจะมาช่วยเด็กๆ อย่างเต็มที่ เพราะเรามีพื้นฐานการเป็นอาจารย์พิเศษอยู่แล้วด้วย จึงมีความสุขมากๆ ที่ได้เข้าแชร์ประสบการณ์ และมาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้”“ตัวเก๋เอง ยังมองว่า การเข้ามาทำในหน้าที่ตรงนี้ แม้จะเป็นหนึ่งในการให้ที่เล็กๆ สำหรับตัวเราเอง แต่กลับยิ่งใหญ่มากๆ สำหรับเด็กเหล่านี้ ที่จะได้เติบโตไปอย่างมีคุณภาพ มีคุณค่า และโอกาสทางสังคมที่เขาอาจมีไม่เท่าคนอื่นในวัยเด็ก ให้เติบโตอย่างดี เพื่อชีวิตที่ดีของเขาในอนาคต ทั้งตัวเด็กเอง ครอบครัว ชุมชน หรือแม้กระทั่งสังคมด้วยเช่นกัน”การเปลี่ยนแปลงของเด็กในยุคใหม่ บนโลกที่ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วเจ้าของแบรนด์แฟชั่น 31 Thanwa ให้ความเห็นว่า “นี่คือ หนึ่งในปัจจัยที่เราอยากเข้าไปมอบประสบการณ์ และผลักดันตัวเราในการเข้าไปสอนน้องๆ เหมือนกันนะ เพราะว่า ในสมัยเราเด็กๆ กว่าเราจะได้ประสบการณ์อะไร ต้องอดทน พยายามเรียนรู้ด้วยตัวเอง กลับกันเด็กเหล่านี้ในปัจจุบันเติบโตกันอย่างรวดเร็ว การที่เราได้เข้ามาเติมองค์ความรู้ สอนประสบการณ์จึงเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้ผลักดันน้องๆ ให้ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ บนเส้นทางที่เหมาะสม มีภูมิต้านทานที่ดี และมีกำลังใจในช่วงวัยที่สำคัญ”คุณเก๋ กล่าวเสริมว่า “หลังจากได้เข้าไปสอนแล้ว ก็ตกใจเหมือนกันว่า เด็กสมัยนี้เติบโตไวมาก เรียนรู้ไว มีความตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จ และความพิเศษของเด็กเหล่านี้ที่เขาไม่ได้มีกำลังเท่ากับเด็กคนอื่นๆ เขาจึงพยายาม และเรียนรู้ด้วยตนเองได้ไวกว่าคนอื่นๆ ในเชิงความรู้ ความเข้าใจ”“เก๋ จึงหยิบนำเนื้อหาที่จะสอนอื่นๆ ที่ไม่ใช่หลักสูตรในชีวิตประจำวัน แต่จะสอนไปในด้านอื่นๆ ที่เด็กๆ จะสามารถนำมาดัดแปลงประยุกต์ใช้ได้ เช่น ด้านธุรกิจ หรือแรงบันดาลใจในการนำสิ่งที่ชอบมาต่อยอด เพราะว่าสุดท้ายแล้วเด็กเหล่านี้เขาต้องเติบโต พอโตแล้วมันจะไม่มีคนมาคอยไกด์ คอยสอนแล้วว่าชีวิตจริงอะต้องทำยังไงต่อไป เราจะอยู่แค่ในหลักสูตรไม่ได้ จึงอยากให้น้องๆ ได้ประสบการณ์ในส่วนอื่นๆ ที่สามารถนำไปต่อยอดได้เอง และเพิ่มความสนุกในสิ่งที่ได้จากการเรียนที่มากกว่าเดิม เพราะความเรียนรู้ไวของเด็กสมัยใหม่ เราจึงต้องพัฒนาการเติมความรู้อีกขั้น เพื่อเขาได้รู้จักโลกที่กว้างขึ้นตั้งแต่เด็กๆ”เทคโนโลยี มีส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กเติบโตไดไวกว่าเดิมมุมมองของ เก๋ บุณยนุช วิทยสัมฤทธิ์ มองเด็กยุคใหม่บนโลกแห่งเทคโนโลยีไว้ว่า “ปัจจุบันเด็กเติบโตได้ไวมากในการนำสิ่งที่เรียนรู้ ไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีได้อย่างน่าสนใจ โดยที่เราไม่ต้องสอนเขา แต่บางครั้งเขากลับกลายเป็นคุณครูของเราได้เลยในบางครั้ง”“เชื่อไหมว่า บางผลงานที่เด็กคิดสร้างสรรค์ออกมา ไม่ว่าจะผ่านเทคโนโลยี หรือไอเดียทำให้เราทึ่งได้เหมือนกันนะว่าเด็กสมัยนี้  เติบโตไปได้ไกลกว่าสมัยของเรามากๆ ต้องขอบคุณโลกแห่งเทคโนโลยี และต้องยอมรับว่าเด็กบางคนเก่งกว่าเราเยอะมากเลยนะ ทางเก๋ จึงเลือกหยิบยก การสอนแบบอื่นที่กล่าวไปข้างต้น เพื่อนำมาให้น้องๆ ได้ประยุกต์ใช้แทน เพราะถึงแม้ว่าเด็กเขาจะเก่งมากๆ ก็จริง แต่เด็กเหล่านี้ยังไม่สามารถหาตัวตนของตัวเองได้ชัดเจน หรือมีประสบการณ์ได้มากเท่ากับตัวเรา เราก็เลยทำหน้าที่ผลักดัน เกลาในส่วนนี้ เปิดไอเดียแนวคิดใหม่ๆ ให้เขานำไปคิดต่อยอดเพิ่ม เพื่อปูทางให้เขาเติบโตไปได้ไกลกว่าเดิม เก๋เชื่อนะว่า เด็กเหล่านี้จะสามารถเติบโตไปได้ดีอย่างแน่นอน” คุณเก๋ กล่าวด้วยรอยยิ้มแผนการต่อยอด ที่มากกว่าการเรียน การสอน คือ “การพาเด็กลงสนามรับประสบการณ์จริง”เนื่องจากการเติบโต และพัฒนาการของเด็กๆเหล่านี้นั้นไวกว่าเดิม ทางไทยรัฐออนไลน์จึงสอบถามไปยัง เก๋ บุณยนุช ว่าอยากให้เด็กๆ ได้ลองอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมกว่านี้อีกบ้าง โดยแผนของ เจ้าของแบรนด์แฟชั่น 31 Thanwa เป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมากเก๋ บุณยนุช ได้ เล่าแนวทางแก่เราว่า “ตัวเก๋เอง มีแบรดน์ธุรกิจแฟชันเป็นของตัวเอง เก๋ จึงมีไอเดียว่า อยากนำผลงานศิลปะของน้องๆ มาคอลแลบส์ลงบนสินค้าของเก๋เลย เนื่องจากว่า อยากให้น้องๆ รู้สึกภูมิใจในผลงานของตัวเองมากขึ้น และสัมผัสกับประสบการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกว่าผลงานของเขาได้ ‘ลงสนามจริง’ แล้วนะ มีสินค้าขึ้นห้าง งานของเขาจะมีผลตอบรับอย่างไร ถูกใจตลาดหรือเปล่า แล้วรอบหน้าควรปรับแก้ตรงไหนเพื่อมอบประสบการณ์ที่ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ ให้แก่ตัวเด็กๆ โดยไม่ใช่ผลงานที่ตัวน้องเขานำไปขายในที่ต่างๆ และถูกซื้อเพียงเพราะความสงสาร ความอยากอุดหนุน บนแฟลตฟอร์มการบริจาคเพียงเท่านั้น“เพียงเพราะว่าอยากให้เด็กๆ รู้สึกว่าเขาเป็นศิลปิน โดยเชื่อว่า อาจเป็นไอเดียที่เติมเชื้อไฟ ความมั่นใจ และความมุ่งมั่นให้ลุกโชนแก่เด็กๆ บนโลกแห่งความเป็นจริง” เนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์ นักเรียนศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า ประชาอุทิศเดินทางมาถึงคนสุดท้ายแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทาง ไทยรัฐออนไลน์ อยากจะสัมผัสถึงความรู้สึก ด้วยไฟอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เด็กน้อยวัย 15 ปี น้องเนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์ ศูนย์เรียนรู้ไฟ-ฟ้า สาขาประชาอุทิศ ที่จะมาบอกเล่าถึงความรู้สึก และประสบการณ์ที่ถูกเติมเต็มด้วยการเดินลงสนามจริง ในการที่ได้โชว์ผลงานศิลปะอันสร้างสรรค์ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA BANGKOK) จะรับพลังบวก และความรู้สึกอย่างไรกลับไปต่อยอดในการใช้ชีวิตในอนาคตข้างหน้าทีมไทยรัฐออนไลน์ได้เจอกับ น้องเนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์ อายุวัยเพียง 15 ปี เด็กตัวเล็ก บุคลิกร่าเริงปนความเขินอายเพียงเล็กน้อย จึงได้มีโอกาสพูดคุย และสอบถามถึงความตั้งใจ ความใฝ่ฝัน และความรู้สึก ต่อผลงานในครั้งนี้จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ถูกต่อยอดจนยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจเด็กตัวเล็กวัยเพียง 15 ปี กล่าวถึง จุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มหลงรักในงานศิลปะ เพียงเพราะว่า ชอบวาดรูปเป็นงานอดิเรก และสนใจที่จะต่อยอดความรู้ โดยการก้าวเข้ามาเรียนเพิ่มเติมที่ศูนย์เรียนรู้ ไฟ-ฟ้า สาขาประชาอุทิศ น้องเนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์ เล่าถึงแรงบันดาลใจดังกล่าวว่า “จริงๆ ในช่วงแรกๆ ไม่ได้ชอบการวาดรูปสักเท่าไร จนกระทั่งเพื่อนได้ชวนหนูไปนั่งวาดรูปเล่น ในช่วงประถมศึกษาปีที่ 1 จนมารู้ตัวอีกทีว่า ‘ตัวหนูเองได้นั่งวาดรูป และคลุกคลีไปกับมันทั้งวันไปแล้วเรียบร้อย’ จนกลายเป็นชอบไปโดยปริยาย ซึ่งตอนนี้ก็ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นที่เรียบร้อย”น้องเนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์ เล่าถึงแรงบันดาลใจดังกล่าวว่า “จริงๆ ในช่วงแรกๆ ไม่ได้ชอบการวาดรูปสักเท่าไร จนกระทั่งเพื่อนได้ชวนหนูไปนั่งวาดรูปเล่น ในช่วงประถมศึกษาปีที่ 1 จนมารู้ตัวอีกทีว่า ‘ตัวหนูเองได้นั่งวาดรูป และคลุกคลีไปกับมันทั้งวันไปแล้วเรียบร้อย’ จนกลายเป็นชอบไปโดยปริยาย ซึ่งตอนนี้ก็ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นที่เรียบร้อย”“ในระยะเวลา 8 ปี พอรู้ว่าตัวเองเริ่มรักในงานศิลปะ ก็เริ่มสนใจไปศึกษางานของศิลปินท่านอื่นๆ หลายๆคน รวมถึง รุ่นพี่ที่โรงเรียน เขาวาดออกมาดูสวยมาก เลยเป็นแรงผลักดันให้ผลงานของตนเองออกมาเป็นแบบนั้นบ้าง” เทคนิคการเรียนรู้ในห้องเรียน ที่ถูกต่อยอดด้วยเทคโนโลยีเนย กล่าวว่า นอกจากการได้ศึกษาประสบการณ์ เทคนิคต่างๆ ให้ห้องเรียนแล้ว บ่อยครั้งตนได้นำเทคนิคที่ได้มาผสมผสานกับ เทคนิคของภาพจากศิลปินท่านอื่นๆโดยการที่ลองไปดูงานต่างๆ บน YouTube (ยูทูบ) และ Pinterest (พินเทอเรส) บนโลกออนไลน์ จนเกิดเป็นภาพใหม่ในหัว และลงมือวาดภาพจากจินตนาตรงนั้นออกมามุมมองของ เด็กวัย 15 ปี ถึงการต่อยอดการเป็นศิลปินในอนาคตเนย กฤตยา มีมุมมองที่มาเล่าให้แก่ทีมงานว่า “ตัวเนยเอง ยังไม่แน่ใจว่าจะประกอบเป็นอาชีพ และมีชื่อเสียงได้ขนาดนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่ายังหาตัวเองไม่เจอขนาดนั้น และมีสิ่งอื่นที่อยากทดลองทำอยู่อีกมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม กำไรชีวิตจากงานประสบการณ์ ก็มีความคิดที่จะอยากนำประสบการณ์ตรงนี้ไปต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ให้กับหนู ไม่ว่าจะไปทิศทางไหนก็ตาม แต่ก็มีศาสตร์เกี่ยวกับศิลปะที่อยากนำไปต่อยอดอยู่เหมือนกัน โดยการใส่ผลงานศิลปะลงสิ่งของต่างๆ เช่น ถุงผ้า แก้วน้ำ รถยนต์ กำแพงบ้านผลงาน และความรู้สึก และประสบการณ์บนสนามจริง ของเด็กวัยเพียง 15 ปีโจทย์ในการนำผลงานมาโชว์ที่ MOCA BANGKOK โดย เนย กฤตยา ได้เล่าว่า พี่หมู (ไตรภัค สุภวัฒนา) ได้ตั้งโจทย์เกี่ยวกับ “พลังแห่งการแบ่งปัน” โดยให้พวกหนูเชื่อว่าเด็กทุกคนมีพลัง ที่สามารถแบ่งปันสังคมที่น่าอยู่ จึงเป็นที่มาของผลงาน fai-fah x PUCK ที่ให้เพื่อนๆ และหนูได้ร่วมออกแบบตัวการ์ตูนที่มีพลังวิเศษในแบบของตนเอง“โดยผลงานของหนู คือ ตัวฮีโร่ที่ชื่อว่า Happy ที่มีพลังพิเศษในการเปลี่ยนขยะให้เป็นดอกไม้ ด้วยการนำขยะมาใส่ลงบนตะกร้า จึงเกิดเป็นภาพของเด็กสาวที่กำลังร่าเริงอยู่บนผืนหญ้าค่ะ” เด็กสาววัย 15 ปี เล่าด้วยรอยยิ้มน้องเนย เล่าถึงความรู้สึกในผลงานเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันมีตัวเองรู้สึกดีใจ เป็นอย่างมากที่ได้มีผลงานในการนำมาโชว์ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย หรือ MOCA BANGKOK แห่งนี้ เหมือนกับว่าให้พวกหนูได้มาโชว์ฝีมือให้คนได้เห็น และภูมิใจกับความสามารถของตนเอง ซึ่งกว่าจะมีผลงานมาโชว์ที่นี่ได้ก็ใช้ระยะเวลาพอสมควรค่ะ”หนึ่งผลงานที่มาจากความสามารถ และความเพียรพยายามของ ‘เนย กฤตยา ตรีสวัสดิ์’ เด็กตัวเล็กๆ วัย 15 ปี ได้ส่งพลังบวกให้กับผู้ร่วมพูดคุยเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าจะสามารถสร้างรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่นที่เข้ามาชมผลงานได้อีกมากมาย สุดท้ายแล้วทาง ทีมไทยรัฐออนไลน์ จึงอยากให้น้องนั้นได้ฝากความคิดเห็น และสิ่งที่อยากให้ทางครอบครัว สถานศึกษา และภาครัฐ ช่วยสนับสนุนเรื่องเกี่ยวกับศิลปะ และการศึกษานั้นมีด้านใดบ้าง น้องเนย กฤตยา เด็กสาววัยเพียง 15 ปี ตอบกลับมาว่า ‘มีเรื่องอยากฝาก’ ได้อย่างรวดเร็ว ถึงข้อเสนอแนะที่อยากฝากต่อถึงหน่วยงาน และสถาบันเหล่านี้ว่า“ลำดับแรก อยากฝากถึงสถาบันการศึกษาว่า อยากให้เลิกกำหนดกรอบ และกฎเกณฑ์ที่มาครอบงานศิลปะอย่างจริงจัง ศิลปะเป็นศาสตร์ที่ไร้กฎเกณฑ์ ไม่มีผิดมีถูก เชื่อว่าคนทุกคนมีความชอบ อิสระทางความคิดที่ไม่เหมือนกัน และความถนัดที่แตกต่างกัน จึงอยากให้ การให้คะแนนผลงานในวิชาศิลปะที่เด็กทำ ไม่ได้มาจากการลงสีต้องถูกต้อง เส้นการวาดภาพต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกัน แต่อยากให้ดูที่จินตนาการ ความคิด และไอเดียเป็นคะแนนหลักเสียมากกว่า โดยกฎเกณฑ์เหล่านี้อาจเป็นองค์ประกอบเพิ่มในชิ้นงาน”“ส่วนสถาบันครอบครัว เนยอยากฝากให้เขาส่งเสริม และให้กำลังใจเด็กค่ะ บางครั้งเด็กที่เขาอยากทำงานทางศิลปะจริงๆ คงไม่อยากถูกบังคับ และอยากให้เชื่อว่าศิลปะมันสามารถต่อยอด เป็นอาชีพได้ค่ะ”ผู้ที่ชื่นชอบศิลปะ สามารถไปให้กำลังใจ และชมผลงานของน้องๆ ศูนย์การเรียนรู้ไฟ-ฟ้า ทั้ง 5 สาขาได้ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย หรือ MOCA BANGKOK โดยงานศิลปะภายในงานจะคัดเลือกเสนอผลงานที่โดดเด่นของเด็กไฟ-ฟ้า คลาสศิลปะ กว่า 50 ผลงาน ที่ได้นำมาจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการ ภายใต้แนวคิด “เด็กธรรมดา...คือสิ่งสวยงาม” ซึ่งเป็นการต่อยอดกิจกรรมสำคัญที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีอย่าง fai-fah art fest ที่เนรมิตทีทีบี แบงก์กิ้ง ฮอลล์ เป็นพื้นที่โชว์เคสผลงานและการแสดงของเด็กไฟ-ฟ้า ให้ผู้บริหาร บุคลากร และลูกค้าของธนาคาร การนำผลงานของเด็ก ๆ มาจัดนิทรรศการบนหอจัดแสดงชื่อดังอย่างMOCA BANGKOK จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะทำให้บุคคลทั่วไปได้เห็นถึงพลังและศักยภาพของ ‘เด็กไฟ-ฟ้า’ รวมถึงสร้างความภูมิใจให้กับเด็ก ๆ ว่าผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2756582?gallery_id=3

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

อัปเดตข้อมูล 2567 บัตรประชาชนหมดอายุ บัตรประชาชนหาย ขึ้นเครื่องบินได้ไหม

29/04/2024

อย่างที่ทราบกันว่าบัตรประชาชนเป็นเอกสารราชการสำคัญในการยืนยันตัวตนในการดำเนินการหลายอย่าง รวมไปถึงเวลาจะเดินทางขึ้นเครื่องบิน หลายคนสงสัยว่าหากบัตรประชาชนหมดอายุ หรือบัตรประชาชนหายจะเดินทางได้หรือเปล่า และต้องทำอย่างไรบัตรประชาชนหมดอายุ บัตรประชาชนหายขึ้นเครื่องบินได้ไหม ?การเดินทางด้วยเครื่องบินเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ และการยืนยันตัวตนก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนนั้น ดังนั้นทุกสายการบินจะต้องมีการตรวจเช็กให้แน่ใจว่าผู้โดยสารขึ้นเครื่องกับผู้ถือบัตรคือบุคคลเดียวกัน ดังนั้นบัตรประชาชนจึงเป็นเอกสารสำคัญ ดังนั้นบัตรประชาชนหมดอายุไม่สามารถใช้แสดงตัวตนเพื่อขึ้นเครื่องได้ เพราะบัตรประชาชนหมดอายุถือเป็นเอกสารที่หมดอายุตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 และไม่สามารถนำมาใช้ยืนยันตัวตนได้ตามกฎหมายเอกสารที่ใช้ยืนยันตัวตอนเช็กอิน นอกเหนือจากบัตรประชาชนมีดังนี้สำหรับการเดินทางในประเทศ สายการบินส่วนใหญ่อนุญาตให้ใช้เอกสารอื่นๆ แทนบัตรประชาชนได้   •  หนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต   •  บัตรนักเรียน นักศึกษาหรือบัตรข้าราชการ   •  บัตรประจำตัวพนักงานรัฐวิสาหกิจ   •  บัตรประจำตัวผู้พิการ   •  ใบอนุญาตขับขี่   •  บัตรประจำตัวคนไร้ที่พึ่ง   •  บัตรประจำตัวคนพิการทางสติปัญญา   •  บัตรประจำตัวคนพิการทางหูหรือทางการได้ยิน   •  เอกสารใบแจ้งความ หากบัตรประชาชนหายก่อนการเดินทางหลายวัน สามารถแจ้งความที่สถานีตำรวจเพื่อความปลอดภัยป้องกันมิจฉาชีพแอบอ้างใช้บัตรประชาชนของคุณ และนำเอกสารใบแจ้งความนี้มาใช้แทนบัตรประชาชนที่สูญหายในการยืนยันตัวตนก่อนขึ้นเครื่องได้อย่างไรก็ตามทุกบัตรที่ใช้แทนต้องออกโดยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ระบุชื่อ นามสกุล รูปถ่าย และหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน  13 หลักชัดเจนสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ผู้โดยสารจะต้องใช้หนังสือเดินทางที่มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือนก่อนวันหมดอายุทั้งนี้หากทำบัตรประชาชนหายระหว่างกำลังจะเดินทาง (ภายในประเทศ) สามารถแจ้งความภายในสนามบินดอนเมือง บริเวณอาคาร 1 ประตู 8 (เป็นของสน.ดอนเมือง) หรือภายในสนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารชั้น 1 (เป็นของสภ.สุวรรณภูมิ)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/travel/1446647/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดกิจกรรม AIA Thailand Championship 2024 เฟ้นหาสุดยอดนักเตะตัวแทนประเทศไทย ร่วมแข่งขันรอบ Grand Final ณ ประเทศอังกฤษ

29/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย จัดกิจกรรม AIA Thailand Championship 2024 เพื่อเฟ้นหานักเตะตัวแทนประเทศไทย ร่วมแข่งขันฟุตบอลในโครงการ AIA Championship 2024 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ได้มีการจัดเวิร์คช็อปฝึกซ้อมทักษะการเตะฟุตบอลให้กับทีมที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รอบการแข่งขัน AIA Thailand Championship 2024 ซึ่งประกอบด้วยทีมชายจำนวน 6 ทีม และทีมหญิงจำนวน 5 ทีม โดยโค้ชสัจจา ศิริเขตต์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย มาแนะนำเทคนิคการเตะฟุตบอล รวมถึงข้อกำหนด และกฎกติกามารยาทในการลงเตะในสนามจริง สร้างความคึกคักให้กับเพื่อนพนักงานเอไอเอ ประเทศไทย ที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังได้มีตัวแทนจากชมรมฟุตบอลเอไอเอ ประเทศไทย มาร่วมสาธิตการเตะให้กับเหล่าบรรดาทีมที่เข้าร่วมเวิร์คช็อปในครั้งนี้อีกด้วย โดยกิจกรรมเวิร์คช็อปจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 ณ บริเวณลานกิจกรรม ชั้น 8 อาคารเอไอเอ ทาวเวอร์ 2 และจะมีการจัดการแข่งขันรอบคัดเลือกขึ้นในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 ณ สนามฟุตบอล ฟิวเจอร์ อารีน่า รังสิต เพื่อนำทีมที่ชนะเดินทางไปแข่งขันในรอบ Grand Final ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม 2567 นี้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X