คลังความรู้

Everyday knowledge for you

สุขภาพ

หมอเล่าเคสมะเร็งตับคร่าคนไข้วัย 37 ใน 2 เดือน ออกกำลังกาย ไม่ดื่ม มีประวัติติดเชื้อไวรัสตับ

29/04/2024

มะเร็งตับคร่าชีวิตผู้ป่วย อายุ 37 ใน 2 เดือน หมอเผยออกกำลังกาย ไม่ดื่ม มีประวัติ ‘ติดเชื้อไวรัสตับ’ แต่ไม่ติดตามอาการต่อ แนะคนทั่วไปตรวจไวรัสตับ-แพทย์หมั่นอัพเดตความรู้เคสผู้ป่วยอายุ 37 ปี เสียชีวิตด้วย “มะเร็งตับ” ที่เพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล เปิดเผยเมื่อวันก่อน ได้รับความสนใจอย่างมากมาย เนื่องจากคนไข้ออกกำลังกาย ไม่ดื่มเหล้า ทว่ามีประวัติตรวจพบการติดเชื้อไวรัสตับเมื่อนานมาแล้ว กระทั่งนำมาสู่โรคร้าย ก่อนจากไปในเวลา 2 เดือนหลังตรวจพบ โดยเคสนี้แพทย์เจ้าของเพจระบุว่า เป็นคนไข้ของตนเองเพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล เปิดเผยว่า #ทำความรู้จัก #หน้าตามัจจุราช สองภาพนี้เป็นของคนไข้ของผมเอง เป็นภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT scan จากบริเวณช่องท้องส่วนบน ส่วนใหญ่ของนั่นคือตับที่โตผิดปกติเนื้อตับปกติ หน้าตาจะประมาณมุมซ้ายล่าง ออกสีขาวเป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนที่เหลือเกินครึ่ง ที่มีสีดำ กระจายแทรกไปทั่วๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง นั่นคือสิ่งผิดปกติ ในที่นี้คือ มะเร็ง (ใช้คำว่า ในที่นี้ เพราะบางกรณีจุดดำๆ มันก็เป็นอย่างอื่นได้นะครับ เช่น ถุงน้ำ หนอง)ภาพจากเพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาลเป็นมะเร็งตับที่ทำให้คนไข้ปวดท้อง กินไม่ได้ ตัว ตาเหลือง ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนมา รพ. ความน่าตกใจของมันก็คือแสดงอาการแค่ 1 อาทิตย์ ก็โผล่มาในระยะที่รักษาไม่ได้แล้วความน่าตกใจข้อที่สองก็คือ คนไข้อายุเพียงแค่ 37 ปีความน่าตกใจข้อที่สามคือ คนไข้เป็นคนออกกำลังกาย ไม่ดื่มเหล้าความน่ากลัวก็คือ คนไข้เสียชีวิตในเวลาแค่ 2 เดือน หลังตรวจเจอ ครอบครัวพาไปปรึกษาอาจารย์แพทย์ที่โรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งก็เห็นว่าร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะรับยาใดๆ ได้แล้วในความน่าตกใต ความน่ากลัว มันยังมีความน่าเสียดายซ่อนอยู่ เคสนี้คือตัวอย่างของคนที่เป็นมะเร็งตับจากการติดเชื้อไวรัสตับ โดยที่ไม่เคยมีอาการใดๆ ทางตับ ไม่มีความเสี่ยงเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ไวรัสตับที่ก่อให้เป็นมะเร็งตับหลักๆ ก็คือ ไวรัสตับบี และ ไวรัสตับซีคนไข้บอกว่า “เคยตรวจเจอเมื่อนานมาแล้ว (> 10 ปี) แต่ตอนนั้นหมอบอกว่ายังไม่เป็นอะไร”ความน่าเสียดายมันอยู่ที่ตรงนี้ ไวรัสตับบี ไวรัสตับซี ปัจจุบันรักษาได้ เมื่อรักษาแล้วก็จะลดโอกาส หรือป้องกันการเกิดมะเร็งตับได้ แต่คนส่วนหนึ่งเสียโอกาสนี้ไปภาพจากเพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาลทำไม?1. กรณีของคนไข้ผม ตรวจเจอ แต่ไม่ได้มีการติดตาม จนพลาดโอกาสไป ต้องปูพื้นฐานนิดนึง กรณีคนที่มีเชื้อไวรัสตับ ณ ปัจจุบัน ไม่ใช่ทุกคนต้องรักษา ส่วนหนึ่งมันอยู่ในภาวะสงบ ไม่มีอาการ ค่าการทำงานของตับปกติ ปริมาณเชื้อในร่างกายน้อย แบบนี้มันก็อยู่กับเราแบบเงียบๆ ไปตลอดชีวิตของเรา ก็ไม่จำเป็นต้องกินยารักษาใดๆ การตรวจติดตาม จึงเป็นสิ่งสำคัญ มากกกกผมเองต้องย้ำคนไข้ทุกครั้งที่เจอกันว่า ตอนนี้ไม่มีอะไร แต่หมอนัด มาเรื่อยๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ (3 เดือน 6 เดือน ก็ว่ากันไป)2. หลายคนไม่เคยตรวจเลย จึงไม่รู้ และการตรวจสุขภาพทั่วไป หลายกรณีไม่มีการตรวจหาไวรัสตับ (หากจำไม่ผิด ตรวจสุขภาพของบัตรทอง หรือของประกันสังคมก็ไม่มี) คนไม่เคยเฉียด รพ. ไม่เคยตรวจเป็นเรื่องหนึ่ง แต่บางคนที่เคยตรวจสุขภาพ แล้วหมอบอกว่าผลตรวจเลือดปกติ บางคนก็เข้าใจว่านั่นแปลว่าเคยตรวจทุกอย่างแล้ว ซึ่งหลายครั้งมันไม่ใช่ส่วนตัว อยากให้ทุกคนได้ตรวจหาไวรัสตับบี ซี สักครั้งในชีวิต มันราคาไม่สูง และได้ประโยชน์จริง3. ยังมีข้อที่สาม องค์ความรู้มันเปลี่ยน แต่หมอเรายังไม่เปลี่ยน ไม่ตามความรู้ใหม่ๆ เมื่อ 20 ปีก่อน เจอ ไวรัสตับบี หมออาจจะบอกแค่ว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องรักษา เพราะตอนนั้นความรู้มันแค่นั้น ไวรัสตับซี ไม่ต้องทำอะไร เลิกกินเหล้าก็พอ อะไรทำนองนั้น แต่ปัจจุบันมันไม่ได้แล้วผมเองก็ต้อง เติมความรู้เรื่อยๆ ตอนนี้บางกรณียังไม่ต้องรักษา แต่ต่อไปการรักษาอาจจะเร็วขึ้นก็ได้สรุปสำหรับคนทั่วไป– ใครไม่เคยตรวจ ตรวจสักครั้งในชีวิต ต้องบอกด้วยว่าขอตรวจไวรัสตับ ไม่ใช่แค่ตรวจสุขภาพทั่วไป– ใครเคยตรวจเจอ หมอบอกไม่ต้องทำอะไร ควรไปปรึกษาหมอใหม่อีกครั้ง ยังไงต้องมีการนัดติดตามผลเลือดเป็นระยะ– ใครเคยตรวจเจอและหมอนัดติดตาม แต่เราไม่ได้ไปเพราะขี้เกียจ หรือไม่มีเวลา ให้กลับไปหาหมอ ตรวจเป็นระยะๆ เถอะครับ ส่วนใหญ่ไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามีอะไรขึ้นมา รักษาได้ทันดีกว่าจะเสียใจภายหลัง– สำหรับหมอ อัพเดตความรู้– สำหรับระบบส่งเสริมการตรวจสุขภาพ ให้ตรวจกันมากขึ้นจะดีมากแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับมติชนออนไลน์https://www.matichon.co.th/social/news_4382421

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

'ขอให้กลับมารักอีกครั้ง' หัวใจนิทรรศการศิลปะ Koala’s March ขนมรูปโคอาลา

29/04/2024

กนกวรรณ แก้ววานิช เผยโจทย์การตลาดจาก ‘ลอตเต้’ เจ้าของแบรนด์ขนมยอดฮิต โคอะลา มาร์ช 'ขอให้กลับมารัก' ขนมรูปตัวโคอาลาอีกครั้งในรอบ 40 ปี สู่การปั้นนิทรรศการศิลปะสุดน่ารัก Koala’s March Worldศิลปะ มีพลังในการเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรามองโลก ปลุกเราให้พบกับมุมมอง แนวคิด และคุณค่าใหม่ๆ ล่าสุด LOTTE (ลอตเต้) กลุ่มบริษัทธุรกิจจากความร่วมมือกันระหว่างเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น เลือกใช้ ‘พลังศิลปะ’ สร้าง แคมเปญการตลาด ให้กับขนมขบเคี้ยวอบกรอบชิ้นเล็กๆ สอดไส้ครีมรสหวาน ขวัญใจผู้คนหลากหลายวัยทั่วโลก Koala’s March (โคอะลา มาร์ช) ซึ่งมีอายุถึง 40 ปีในปีนี้ลอตเต้ เปิดตัว โคอะลา มาร์ช ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2527 ขนมชนิดนี้นอกจากมีรูปทรงแบบตัว โคอาลา (Koala) ยังมีภาพลายเส้นโคอาลาอยู่บนตัวขนมอีกด้วย บรรจุในกล่องกระดาษรูปทรงหกเหลี่ยมเป็นเอกลักษณ์โคอาลา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมีกระเป๋าหน้าท้อง รูปร่างหน้าตาคล้ายสัตว์ตระกูลหมี แต่ไม่ใช่หมี การเคลื่อนไหวเชื่องช้าโดยธรรมชาติ ทำให้โคอาลาดูมีเสน่ห์น่ารักน่าเอ็นดู เมื่อปรากฏในรูปแบบ ขนม จึงดึงดูดความสนใจผู้คนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่แรกเห็นปุ้ย กนกวรรณ แก้ววานิชแคมเปญการตลาดในรูปแบบนิทรรศการศิลปะสุดน่ารักครั้งนี้มีชื่อว่า Koala’s March World เปิดใจให้โลกน่ารักเวรี่มาร์ช สร้างสรรค์โดย ปุ้ย กนกวรรณ แก้ววานิช Executive Creative Director, CUE Digital Internationalนิทรรศการศิลปะ Koala’s March World เป็นการสร้างประสบการณ์ต่อแบรนด์ หรือ brand experience ผ่านการเติม ‘ความรักและความจดจำของลูกค้าต่อแบรนด์นิทรรศการศิลปะ Koala’s March World“เพราะความรัก ไม่สามารถสร้างได้ใน 30 วินาที” ปุ้ย กนกวรรณ ตอบคำถามว่าทำไมต้องเป็น brand experience ก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า “เชื่อว่าทุกคนต้องคุ้นเคยกับแบรนด์ Koala’s March เป็นอย่างดีแน่นอน เพราะเป็นแบรนด์ขนมที่อยู่กับคนไทยมานานตั้งแต่จำความกันได้ ใช่..ทุกคนรู้จัก แต่อาจหลงลืมไปเมื่อเราโตขึ้น หรือไม่ได้ซื้อเป็นประจำเหมือนเมื่อตอนเราเป็นเด็กๆ จริงๆ แล้ว Koala’s March ไม่ใช่แค่แบรนด์ขนมสำหรับเด็กเท่านั้น เพราะมีหลายรสชาติให้เลือกตามความชอบของคนทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยไหนๆ ก็สามารถรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยได้  ดังนั้นเราจึงอยากแก้โจทย์ให้กับแบรนด์ว่าจะทำยังไงให้คนกลับมารักเราอีกครั้ง”นิทรรศการ Koala’s March World เปิดใจให้โลกน่ารักเวรี่มาร์ช ซึ่ง กนกวรรณ แก้ววานิช และทีมงาน ช่วยกันสร้างสรรค์ ประกอบด้วยโซนต่างๆ ดังนี้Zone 1 : Welcome to Koala’s Marchสัมผัสความน่ารักของ Koala’s March รับประสบการณ์ความสดใสและความน่ารักผ่านการเดินทางเข้ามาในโลกของ โคอะลา มาร์ช ที่พร้อมส่งต่อความน่ารักให้ทุกคนได้ค้นพบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางZone 2 : Hexagon Mirror (ห้องกระจก 6 เหลี่ยม)การเดินทางเข้าสู่โลกของ โคอะลา มาร์ช ในครั้งนี้ เริ่มต้นผ่านการเปิดฝาเดินผ่านอุโมงค์ทรง 6 เหลี่ยม ที่เปรียบเสมือนการเดินทางเข้าไปในกล่องของโคอะลา มาร์ช พื้นที่ที่จะทำให้ทุกคนได้สำรวจความน่ารักของตัวเองในทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นมุมไหนก็จะมีภาพ โคอะลา มาร์ช ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับคุณเสมอZone 3 : Lighting Room (ห้องแห่งแสงไฟ)เมื่อผู้เข้าชมเดินทางมาถึงโซนที่ 3 แสงไฟระยิบระยับพร้อมเหล่า โคอะลา มาร์ช กำลังร้องและสนุกสนานไปกับเพลงมาร์ช รอต้อนรับผู้เข้าชมทุกคนเพื่อนำทางทุกคนเข้าไปรับความน่ารักในโลก โคอะลา มาร์ช ที่กำลังรออยู่Zone 4 : Black & White Zone (ห้องแบล็ก แอนด์ ไวท์)หลังม่านอีกชั้น ผู้เข้าชมนิทรรศการจะได้พบเจอกับ Angle Koala และ Devil Koala ในห้องที่ความเท่และความหวานละมุนในตัวของทั้ง โคอะลา มาร์ช และผู้เข้าชมจะได้มาเจอกันในรูปแบบที่ ‘น่ารักเวรี่มาร์ช’ ที่สุด โซนนี้ทุกคนจะได้ทำความรู้จักกับความเข้มข้นของวัตถุดิบจาก โคอะลา มาร์ช แบล็ค และ โคอะลา มาร์ช ไวท์ สองรสชาติที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับกับความต้องการและความเป็นตัวเองของเหล่าวัยรุ่น ศิลปะสื่อผสมในลักษณะ 'หยดช็อกโกแลตสุดเข้มข้น' ที่ไหลย้อยลงมาจากเพดานสู่ช็อกโกแลตบาร์ด้านข้าง เข้มข้นจนย้อยลงมาถึงพื้นด้านล่าง สื่อถึงความเข้มข้นของช็อกโกแลตที่ใช้ใน โคอะลา มาร์ช รสบิทเทอร์ช็อกโกแลตในอีกด้าน.. นมที่หยดออกมาจากถัง ไหลย้อยลงมาปะทะกับชีสที่เตรียมไว้บนกำแพงจนไปถึงพื้น คือสิ่งที่สะท้อนถึงความเข้มข้นและวัตถุดิบของรสไวท์มิลค์ สื่อความหมายที่ว่า เพราะในบางครั้งชีวิตเราอาจจะต้องการความหวานละมุนแบบรสไวท์มิลค์ แต่ในบางครั้งก็ต้องการความเท่แบบรสบิทเทอร์ช็อกโกแลต และในบางคนก็มีทั้งสองสิ่งนี้อยู่ในคนเดียวกันในห้องนี้ยังมีผนังที่เห็นเป็นใบหน้าโคอะลา มาร์ช สร้างด้วยกล่องของโคอะลา มาร์ช ทั้ง 2 รสชาติ จำนวนกว่า 2,000 กล่องZone 5 - Panel 5 : Fight Koala’s Marchออกจากห้องของ Black and white เดินเลี้ยวมาทางขวา จะมีโคอะลาเตรียมต้อนรับทุกคนอยู่ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เข้ามาทักทายกับ โคอะลา มาร์ช ก่อนที่จะเข้าไปทำความรู้จักประวัติส่วนตัวของพวกเขาZone 5 - Panel 5.1 และ 5.2 : Koala’s Profile & Charactersนี่คือโซนประวัติโคอะลา มาร์ช ในห้องนี้ 'มาร์ชคุง' ขอเชิญชวนให้ทุกคนทำรู้จักกับประวัติ ความเป็นมาและเรื่องราวเบื้องหลังของทั้งมาร์ชคุงและวอลซ์จัง 2 คาแรคเตอร์หลักจากโคอะลา มาร์ช ผู้เข้าชมจะได้ทำความรู้จักกับความชอบ ความฝัน และเรื่องราวของคาแรคเตอร์หลักทั้ง 2 ตัวมากขึ้น Zone 5 - Panel 5.3 : 214 Thai Characterสมาชิกของ โคอะลา มาร์ชไม่ได้มีเพียงแค่ 'มาร์ชคุง' กับ 'วอลซ์จัง' เท่านั้น แต่ยังมีเพื่อนๆ อีก 214 ลวดลาย ที่พร้อมจะส่งต่อความน่ารักให้ทุกคนในประเทศไทยอีกด้วยZone 5 - Panel 5.4 : Welcome to Koala’s March 77 Provincesก่อนที่จะเข้าสู่โซนต่อไป ทุกคนจะได้พบกับตัวแทน โคอะลา มาร์ช ประเทศไทย ที่จะพาไปรู้จักสมาชิกโคอะลา มาร์ช ของแต่ละจังหวัดZone 5 - Panel 5.5 : 77 Thai Provincesลวดลายพิเศษได้รับการดีไซน์ออกมาเพื่อแต่ละจังหวัด ทั้ง 77 จังหวัดไปพร้อมกัน โซนนี้มีกิจกรรมใน Facebook  เพื่อนๆ อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง หา โคอะลา มาร์ช ประจำจังหวัดตัวเอง ถ่ายรูปมาแชร์กัน รับไปเลย ถุงผ้าหูรูด จากโคอะลา มาร์ช สามารถสแกน QR code เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมได้เลยZone 5 - Panel 5.6หลังจากทำความรู้จักกับสมาชิกของโคอะลา มาร์ชทั้งหมดแล้ว ถึงเวลาที่มาร์ชคุงจะแนะนำสมาชิกใหม่ล่าสุดของ โคอะลา มาร์ช ทั้งสองตัว ผ่านการเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมสนุก ร่วมทายชื่อสมาชิกใหม่ โดยใช้แผ่นแม่เหล็กที่มีชื่อสมาชิก 1 ตัวเป็นคำใบ้ไว้ก่อน หากทายได้ถูกต้อง รับไปเลยกระเป๋าผ้าสุดเอ็กคลูซีฟจากโคอะลา มาร์ช (โซนนี้มีกิจกรรม FB Activity)Zone 6 : Koala’s Factory (โรงงานโคอะลา มาร์ช)ห้องถัดมาจะพาให้ผู้เข้าชม ได้รับรู้ถึงวิธีการผลิต โคอะลา มาร์ช ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและพิถีพิถันจากแผ่นแป้งในจุดเริ่มต้นจนออกมาเป็นบิสกิตหอมกรุ่นสอดไส้ครีมรสชาติต่าง ๆ จนทุกคนได้ลิ้มลองความอร่อยร่วมกันผ่านสเตชั่นทั้ง 6 ขั้นตอนZone 7 : Packaging & Koala’s Time Change (โซนความเป็นมาของโคอะลา)พาย้อนเวลาไปกับโคอะลา มาร์ช คาแรคเตอร์ และกล่องแพคเกจ เพื่อแสดงให้เห็นว่าโคอะลา มาร์ชมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนไปกับยุคสมัยอยู่เสมอZone 7 - Panel 7.1โคอะลา มาร์ชเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่กับคนไทยมาหลายปี แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าแรงบันดาลใจในการออกแบบกล่องของ โคอะลา มาร์ช นั้นมาจากอาหารของโคอาลา เอง คือรูปทรงของต้นยูคาลิปตัสนอกจากนี้โคอะลา มาร์ชเองยังรวมเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการ Australian Foundation Koala องค์กรที่ร่วมสนับสนุนงานวิจัยที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยดูแลและอนุรักษ์โคอาลาจากผลกระทบต่าง ๆ Zone 8 : Surrounded Koala (ห้องโคอะลารายล้อม)หลังจากได้รับชมเรื่องราวและความเป็นมาของ โคอะลา มาร์ช อย่างเต็มที่แล้ว เมื่อเดินทางมาถึงที่โซนนี้ คุณจะถูกความน่ารักของ โคอะลา มาร์ช รายล้อมเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โคอะลา มาร์ชที่รอต้อนรับทุกคนอยู่จะสร้างความประทับใจที่ไม่รู้ลืมให้ทุกคนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนZone 9 : Koala’s Island (เกาะของโคอะลา มาร์ช)หลังจากความน่ารักที่รายล้อม การเดินทางจะพาทุกคนค่อย ๆ ได้เพลิดเพลินไปกับเกาะของโคอะลา มาร์ช พร้อมน้องนางเงือกที่กระโดดขึ้นเหนือน้ำเพื่อรอต้อนรับและเชิญชวนให้ทุกคนมาพักผ่อนด้วยกันกับแก๊งโคอะลา มาร์ชก่อนที่ทุกคนจะผ่านโซนนี้ไป มาร์ชคุงอยากให้เลือกการ์ดคาแรคเตอร์ที่ถูกแขวนเรียงเอาไว้กว่า 214 ลวดลายมา 1 ใบ เพื่อจำลองตัวองเป็นสมาชิกของ โคอะลา มาร์ช เพื่อเตรียมตัวต้อนรับความน่ารักที่รอต้อนรับทุกคนอยู่ในโซนถัดไปZone 10 (Room highlight) Flower zone (สวนดอกไม้ของโคอะลา มาร์ช)จุด Finnale ของโลกโคอะลา มาร์ชที่จะพาให้ผู้เข้าชมได้ร่วมจำลองตัวเองเป็นหนึ่งในสมาชิกแห่งโลก โคอะลา มาร์ช ท่ามกลางสวนดอกไม้ยักษ์นานาพรรณที่รังสรรค์ขึ้นจากฝีมือการออกแบบของ ปั้น นภัสชล ตั้งนุกูลกิจ ศิลปินตัดกระดาษที่คัดสรรกระดาษพิเศษที่มีกรรมวิธีการผลิตสุดพิถีพิถัน เพื่อให้สวนดอกไม้ในโลกของ โคอะลา มาร์ช ออกมาน่ารักเวรี่มาร์ชแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนหลังจากอิ่มเอมกับความน่ารัก สดใส และได้ทำความรู้จักกับโคอะลา มาร์ชมากขึ้นแล้วก่อนออกจากโลกอันแสนสดใสของมาร์ชคุงไป มาร์ชคุงอยากเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคน เขียนความรู้สึกที่ได้รับจากงานนี้ลงบนด้านหลังการ์ด แล้วนำไปแขวนที่ Flower chanderlia แล้วออกไปรับของรางวัลต่าง ๆ ได้ที่หน้างานปุ้ย กนกวรรณ แก้ววานิชเปิดใจ ปุ้ย กนกวรรณ แก้ววานิช   •  ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง? “ในวันนี้ที่เราเห็นว่าความคิดของเราเป็นรูปธรรมแล้วจริงๆ  เราดีใจและมีความสุขไปกับทุกๆ รอยยิ้มของทุกคน เราได้เห็นผู้คนที่ได้ไปสัมผัสความน่ารักเวรี่มาร์ชของ Koala’s March แล้วเดินมาถามเราว่า ‘มีสินค้าขายมั้ยคะ, จะหาซื้อของที่ระลึกได้ที่ไหนบ้างคะ’ หรือจะเป็นคำชื่นชม และขอบคุณที่สร้างนิทรรศกาลน่ารักๆ ครั้งนี้ขึ้นมา…พอได้ฟังเราก็ปลื้มใจจากกระแสตอบรับที่ผ่านมาในนิทรรศการครั้งนี้ ทำให้ทีมงานยิ่งมีรอยยิ้มที่กว้างขึ้น เพราะไม่ว่าจะทาง Social Media ที่มีคนรีวิวมากมาย พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ เด็กๆ มาเข้าชมงานกันอย่างคับคั่ง  ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนรัก และมีความสุขกับสิ่งที่เราอยากจะมอบให้ได้จริงๆ และในมุมของบริษัทฯ เอง เราเป็นเพียงเอเจนซี่เล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ทุกคนอาจจะไม่ได้รู้จัก แต่เราอยากให้ผลงานของเราพูดแทนเราว่าเราทำอะไรได้บ้าง”   •  จากงานนิทรรศการ เห็นว่ามีการใช้มาสคอต Koala's March เป็นตัวเชื่อมโยงในการสร้างประสบการณ์ ในฐานะผู้จัดงานคาดหวังให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับประสบการณ์ในลักษณะใดที่สร้างความประทับใจและผูกพันกับแบรนด์?"ลวดลาย Koala’s March มีตั้ง 214 ตัว ซึ่งทั้ง 214 ลวดลายนี้คนไม่เคยรู้จัก เราก็เลยใช้คาแรคเตอร์ทั้งหมดมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก เพราะปุ้ยเชื่อว่าทั้ง 214 ลวดลาย มันต้องมีสักตัวที่ไปแตะสักมุมหนึ่งของผู้ร่วมงาน เพราะคาแรคเตอร์ทุกตัวน่ารัก แต่คนไม่เคยรู้เพราะฉะนั้น การเอาคาแรคเตอร์ทั้ง 214 ลวดลายเข้ามาเป็นตัวเชื่อมโยงใน brand experience ในครั้งนี้ ก็คือทำให้ทุกคนรู้จักลวดลายของ Koala’s March มากขึ้น ทำให้คนรู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์อย่างที่เขาแทบไม่รู้ตัว ผ่านคาแรคเตอร์ใดคาแรคเตอร์หนึ่งที่พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงด้วยเช่น มีตัวที่เล่นสเก็ตบอร์ด แต่เราก็ไม่เคยรู้ มันมีตัวเล็กจิ๋ว มีบางตัวเป็น snowman คนไม่รู้ แต่ popular มาก มีบางตัวเป็นตัวนำโชค มีบางตัวใส่ชุดนักเรียน ก็คือไปตรงกับกลุ่มเด็กนักเรียน เด็กนักเรียนก็จะชอบตัวนี้ เพราะสื่อถึงตัวเองบางตัวเป็นแม่กับลูก Koala’s March มีคาแรคเตอร์มากมายขนาดนี้อะ มันต้อง touch ซักมุมใดมุมหนึ่งของแต่ละคนแหละ และนั่นคือเหตุผลที่เราอยากเอาตัว Koala’s March มาเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา"   •  ในการจัดงานนิทรรศการที่มุ่งเน้นความทรงจำและความผูกพัน คุณคาดหวังอะไรจากการเชื่อมโยงในระยะยาวกับผู้เข้าชมหลังงานจบแล้ว?"คาดหวังให้ Koala’s March อยู่ในใจทุกคน 'ตลอดไป' และ 'ตลอดเวลา' คือหมายความว่าผู้เข้าชมงานก้าวขาออกมาจากงาน ยกตัวอย่างเช่น วัยรุ่น หลังจากงาน เดี๋ยวต้องมีสอบละ ก็เครียดละ แต่ปุ้ยว่าอย่างน้อยในมุมหนึ่งของวัยรุ่นที่มางานนี้ เขาได้ความสุขกลับไป เขาเก็บเป็นความทรงจำว่า 'วันนี้มีความสุขมากเลยที่ได้มางาน Koala’s March' ปุ้ยอยากจะบอกคนที่มางานทุกคนว่า 'ก็จงมีความสุขให้ได้แบบ Koala’s March สิ' ปุ้ยเลยคาดหวังให้ Koala’s March อยู่กับเขาตลอดเวลาในใจเขาเวลานึกถึงความสุข เช่น เครียดหรอ เดินไปซื้อ Koala’s March กิน แล้วให้เขามีความสุข นึกถึงตอนที่มาเดินในงาน ให้เขานึกว่า Koala’s March = ความสุข”นิทรรศการ '"oala’s March World เปิดใจให้โลกน่ารักเวรี่มาร์ช"   •  ความยากลำบากที่พบในการตั้งความคิดริเริ่มของงาน ‘Koala's March เปิดใจให้โลกน่ารักเวรี่มาร์ช’ มีอะไรบ้าง?"ทำให้เป็นจริงท่ามกลางคำพูดว่า 'ทำไม่ได้หรอก' อันนี้ยากที่สุดเลย เพราะทำให้เป็นจริงให้ความคิดเป็นรูปธรรมว่ายากแล้ว แต่พอเราไปหาใคร (suppliers) แล้วบอกว่าทำไม่ได้อันนี้ยากกว่ามากๆ เพราะทุกคนบอกว่า ‘มันไม่มีทางทำได้’ หรือ ‘เป็นไปไม่ได้หรอก’ นั่นแหละยากสุดๆ แล้วเป็นที่มาว่าเราก็เลยทำกันเอง เพราะพอเราพึ่งใครไม่ได้ เราก็พึ่งตัวเอง และช่วงเวลาที่ทำกันเองนี่แหละ มันคือที่สุดแล้ว ปุ้ยรักทีมขึ้นมากๆ เพราะงานนี้เลย”ทีมครีเอทีฟสร้างสรรค์ Koala’s March World   •  สุดท้ายแล้ว มีประสบการณ์หรือเรื่องราวใดน่าจดจำที่สุดในงานนี้ไหม?มีทั้งหมด 3 ส่วน ประสบการณ์อันยากจะลืมเลือนเลยคือ1. “ทีม” เราเริ่มต้นทำงานนี้ด้วยการที่ทั้ง supplier และ organizer บอกว่าทำไม่ได้ ปุ้ยก็เลยหันไปบอกทีมว่า... “กว่าจะขายงานผ่านไม่ง่าย เราจะยอมแพ้เพียงแค่ organizer บอกว่าทำไม่ได้หรอ?” มันก็เลยเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจที่สุดเลยคือการเห็นทีมทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ อดทนทำ และเห็นทีมรักกัน มันประทับใจที่สุดเลยนะที่เราผ่าน 9 วัน 8 คืน เต็มๆ ไม่ได้พักกันเลย เราเลยได้เห็นความทรหดของทีม ส่วนนี้ยากที่สุด และก็ประทับใจที่สุดเลยที่เราหันไปเห็นทีมอยู่ด้วยตลอด ไม่ทะเลาะกัน ไม่ทิ้งกัน นี่คือ perfect มากๆ “I finally found my dream team” จากงานนี้เลย2. ส่วนที่สองที่ประทับใจสุดๆ คือ “แววตา และ รอยยิ้ม” ของผู้ร่วมงาน มันคือน้ำทิพย์ชโลมใจ แล้วก็ภาพคนที่ต่อคิวกันแบบไม่ย่อท้อ ไม่ออกจากคิว ไม่หงุดหงิดว่ารอนาน แล้วเป็นแบบนี้ตลอดทั้งงาน3. สิ่งสุดท้าย “ลูกค้า” เลย เพราะไม่มีลูกค้าที่อนุมัติให้เราทำ มันจะไม่มีวันที่เราจะได้ทำอะไรแบบนี้เลย ถ้าไม่มีคำว่า “I love this idea” เราจะไม่มีวันได้ประสบการณ์ในการทำงานนี้เลย ตอนที่ลูกค้าเดินมาหามันเป็นดวงตาที่สื่อออกมาว่าเชื่อมั่นในตัวเราจริงๆ ขอบคุณเราจากใจจริงๆ แต่ปุ้ยก็ขอบคุณลูกค้าเหมือนกันที่เขาซื้อสิ่งนี้ สิ่งที่ประทับใจสุดๆ อีกอย่างของงานเลยคือลูกค้า เพราะสุดท้ายแล้วลูกค้าคือคนที่ทำให้เราได้ทำในสิ่งนี้หมายเหตุ : นิทรรศการ "โคอะลา มาร์ช เวิลด์ เปิดใจให้โลกน่ารักเวรี่มาร์ช"   •  ครั้งที่ 1 จัดที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก (River City Bangkok) 12 ตุลาคม - 12 พฤศจิกายน 2566   •  ครั้งที่ 2 จัดที่ Future Art Land ชั้น G โซนเซ็นทรัล สเปลล์  Future Park and Zpell ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต 8-28 มกราคม 2567แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับbangkokbiznewshttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1109128

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ซากุระเมืองไทย “ภูลมโล” บานสะพรั่งสวยงามแล้ว เที่ยวได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

29/04/2024

หนึ่งปีมีครั้ง อช.ภูหินร่องกล้า เผยภาพซากุระเมืองไทยบน “ภูลมโล” กำลังออกดอกบานสะพรั่งสวยงามเกือบ 100% นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า - Phu Hin Rong Kla National Park เผยภาพดอกนางพญาเสือโคร่งที่กำลังเบ่งบานสวยงามบนภูลมโล พร้อมโพสต์ข้อความ ระบุว่า‼️️Update!‼️ 🌸🌸🌸สถานการณ์การออกดอกของนางพญาเสือโคร่ง บน "ภูลมโล" ณ วันที่ 16 มกราคม 2567 ช่วงนี้ดอกนางพญาเสือโคร่งพร้อมใจกันผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งสวยงาม จนกลายเป็นภูเขาสีชมพูอ่อนหวาน ให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมและบันทึกภาพความงดงามตระการตา ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป.... 👉ขอให้ติดตามการอัปเดตข้อมูลข่าวสารจากเพจของทางอุทยานฯในระยะต่อไป นะครับ......🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸🌸📷 ภาพถ่าย วันที่ 16 มกราาคม 2567👉 อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เปิดบริการให้ท่องเที่ยว และพักค้างแรมทุกวันนะ📍📍#ภูลมโล#อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)รู้จักภูลมโลภูลมโล ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.กกสะทอน อ.ด่านซ้าย จ.เลย เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า บนรอยต่อของสามจังหวัดคือ เลย เพชรบูรณ์ และพิษณุโลกชื่อของภูลมโลมีที่มา 2 ทางด้วยกัน คือ ทางชาวบ้านกกสะทอน(ทางฝั่งเลย) ให้ข้อมูลว่า ภูลมโล เป็นภาษาถิ่น หมายถึงภู(ยอดเขา)ที่มีลมพัดผ่านเยอะ พัดผ่านมาก โดยคำว่า “โล” ในภาษาถิ่น หมายถึง มาก หรือ เยอะ ซึ่งหากจะพูดรวมๆให้ฟังเข้าใจง่ายก็คือ “ภูลมโล เป็นภูที่มีลมแรงพัดผ่านอยู่ตลอด”(ทั้งปี)ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)ส่วนข้อมูลจากชาวม้งบ้านร่องกล้า(ทางฝั่งพิษณุโลก) ให้ข้อมูลไว้ว่า ภูลมโล มาจากชื่อที่สมัยก่อนชาวบ้านเรียกเขาลูกนี้ว่า “ภูลงรู” หรือที่ภาษาม้งเรียกว่า“ตร๊งลงรู” อันหมายถึง ภูเขาที่มีน้ำไหลลงรู ก่อนที่ภายหลังจะเรียกเพี้ยนเป็น “ภูลมโล” ซึ่งที่มาของชื่อนี้มาจากการที่ภูเขาลูกนี้(เคย)มีตาน้ำไหลหายลงไปในรู ชาวบ้านเมื่อเดินป่ามาถึงก็จะใช้ประโยชน์จากตาน้ำแห่งนี้ในอดีตภูลมโลเคยเป็นพื้นที่สีแดงในช่วงยุคลัทธิคอมมิวนิสต์ ต่อมาเมื่อเหตุการณ์สงบได้กลายเป็นภูเขาหัวโล้นทางอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าจึงได้ทำการขอพื้นที่คืน โดยตกลงให้ผู้ที่หักล้างถางพงปลูกพืชไร่ควบคู่ไปกับต้นพญาเสือโคร่งในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนออกจากพื้นที่ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)หุบเขาสีชมพูปัจจุบันภูลมโลถือเป็นแหล่งปลูกนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย โดยมีเนื้อที่กว่า 1,200 ไร่ มีต้นนางพญาเสือโคร่งมากมายนับหลายหมื่นต้น ย้อมหุบเขาแห่งนี้ให้กลายเป็นสีชมพู จนได้รับฉายาว่า“ภูลมโล หุบเขาสีชมพู”สำหรับนางพญาเสือโคร่งเป็นต้นไม้ในวงศ์เดียวกับต้นซากุระของประเทศญี่ปุ่น ยามเมื่อมันออกดอกจะดูคล้ายดอกซากุระของญี่ปุ่น หลาย ๆ คน จึงนิยมเรียกดอกนางพญาเสือโคร่งว่า “ซากุระเมืองไทย” ขณะที่ชื่อภาษาถิ่นนั้นจะเรียกกันว่า “ซากุระดอย”ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)บนภูลมโลมีจุดชมซากุระเมืองไทยเบ่งบาน อยู่ 3 แปลงหลัก ๆ ได้แก่จุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่ภูลมโลนั้น มีอยู่ 3 แปลงหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่-“แปลงภูลมโล” แปลงนี้มีไฮไลท์สำคัญอยู่บริเวณ “คอกวัว” เพราะมีคอกวัวที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้อยู่ในบริเวณนี้ ที่แปลงภูลมโลเราสามารถมองเห็นดอกนางพญาเสือโคร่งได้อย่างงดงามทั่วเนินเขาดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)-“แปลงก้อนหินใหญ่” ที่มีทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่งให้ชมกันควบคู่ไปกับก้อนหินใหญ่ 2 จุดเป็นพร็อพถ่ายรูปที่มีคนแวะเวียนไปโพสต์ท่าถ่ายรูปคู่กันระหว่างก้อนหินกับฉากสีชมพูของทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่งกันไม่ได้ขาด-“แปลงภูขี้เถ้า” ซึ่งส่วนใหญ่แล้วดอกนางพญาเสือโคร่งที่แปลงที่ภูขี้เถ้าจะบานทีหลังสุดปกติทุก ๆ ปีในช่วงกลางฤดูหนาวราวเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ต้นนางพญาเสือโคร่งทั่วเมืองไทยจะพร้อมใจกันออกดอกเบ่งบานชมพูสะพรั่งไล่เลี่ยกันไป แต่ก็มีบางปีที่บานก่อนหรือหลัง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศปีนั้น ๆดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)ในส่วนดอกนางพญาเสือโคร่งที่ภูลมโล ตามปกติจะบานไล่เรียงแปลงไป แต่บางปีก็ต่างพากันออกดอกบานพร้อมกันทั้ง 3 แปลง ย้อมทั้งหุบเขาเป็นสีชมพูกว้างใหญ่ดูสวยงามยิ่งนักนอกจากจะเป็นแหล่งชมนางพญาเสือโคร่งที่มีความสวยงามเป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยแล้ว พื้นที่ภูลมโลยังมีจุดชมวิวเลาะเลียบผาที่น่าสนใจในหลายจุดด้วยกัน นำโดย “ผาดรรชนี” ที่เป็นยอดสูงสุดของภูลมโล ตั้งอยู่บนความสูง 1,664 เมตร จากระดับน้ำทะเล ระยะทางเดิน 650 เมตร ด้านบนจะมีชะง่อนหินเป็นจุดถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามอีกด้วยเส้นทางขึ้นภูลมโล ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)การขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลมี 2 เส้นทางหลัก คือ ขึ้นทางฝั่ง จ.พิษณุโลก และ ขึ้นทางฝั่ง จ.เลย แต่ทั้งสองเส้นทาง เป็นเส้นทางถนนลูกรังขึ้นเขาสูงที่คดเคี้ยวและค่อนข้างอันตราย จึงต้องขับรถด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทางอุทยานฯ จึงห้ามมิให้นักท่องเที่ยวขับรถขึ้นไปเองอย่างไรก็ดีปัจจุบันทาง อุทยานฯภูหินร่องกล้า ได้ร่วมมือกับชาวชุมชนในพื้นที่ จัดให้มีจุดบริการและอำนวยความสะดวกรถรับ – ส่งนักท่องเที่ยวขึ้นภูลมโลใน 2 ฝั่ง จังหวัด ดังนี้ดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)ฝั่ง จังหวัดพิษณุโลก-จุดที่ 1 ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า (ห่างจากภูลมโล ประมาณ 15 กม.)-จุดที่ 2 ชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้า (ห่างจากภูลมโล ประมาณ 7 กม.)ฝั่ง จังหวัดเลย-จุดที่ 1 ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวกกสะทอน (ห่างจากภูลมโล ประมาณ 25 กม.)-จุดที่ 2 ชมรมม้งอีสานนำเที่ยว บ้านตูบค้อ (ห่างจากภูลมโล ประมาณ 13 กม.)ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากจังหวัดเพชรบูรณ์ สามารถเดินทางจากเส้นทางฝั่งภูทับเบิก ผ่านด่านอุทยาน มายังจุดบริการรถนำเที่ยวของชมรมบ้านใหม่ร่องกล้าดอกนางพญาเสือโคร่งเบ่งบานที่ภูลมโล (ภาพ : เพจ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า/16 ม.ค.67)ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถาม ข้อมูลการบานของนางพญาเสือโคร่ง ที่พัก จุดกางเต็นท์ บริการรถเช่า และการเดินทางสู่ภูลมโล ได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า โทร. 08 1596 5977, ททท.พิษณุโลก โทร. 055 252 742-3 / 097 072 1838 ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนกกสะทอน โทร. 062 557 0912 และ ททท.เลย โทร. 042 812 812แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000005328

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิดเทคนิคบริหารเงินโบนัส ให้คุ้มค่าเหนื่อยล้าทั้งปีที่เราแลกมา

29/04/2024

บทความโดย “ราชันย์ ตันติจินดา”  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย  วันที่ 15 มกราคม 2567 โบนัส เงินก้อนโตที่ปีหนึ่งจะได้สักครั้ง เพื่อเป็นรางวัลให้กับการทำงานหนักมาทั้งปี แล้วเราจะบริหารเงินโบนัสที่ได้นี้อย่างไรดี ให้คุ้มกับความเหนื่อยล้าทั้งปีที่แลกมา 1. ปย์ให้ตัวเอง แบ่ง 10-20% ของเงินโบนัส เพื่อเป็นรางวัลให้กับชีวิต เช่น ซื้อ Gadget ใหม่ ไปท่องเที่ยวต่างเมือง หรือทานอาหารหรู ๆ สักมื้อ ก็เป็นการเติมพลังให้กับชีวิต ทำให้มีกำลังใจในการทำงานต่อไป รวมถึงช่วยกระชับความสัมพันธ์สมาชิกในครอบครัวด้วยการใช้เวลาร่วมกัน แต่ก็ไม่ควรเปย์มากเกินไปเพราะเป็นเงินส่วนที่ใช้แล้วหมดไป แม้ส่งผลดีต่อจิตใจ แต่ไม่ช่วยลดต้นทุนหรือทำให้เงินงอกเงยได้ในอนาคต 2. ดหนี้ที่มี ลองเช็กหนี้สินที่มีอยู่ ว่ามีหนี้ไหนคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกบ้าง มียอดหนี้เหลืออยู่เท่าไร ถูกคิดอัตราดอกเบี้ยกี่ % ต่อปี พร้อมทั้งเรียงลำดับจากหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดและหนี้คงเหลือน้อยที่สุดก่อน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต หนี้บ้าน ฯลฯ หากมีหนี้ไหนที่ดอกเบี้ยสูงกว่า 10% ต่อปี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต ฯลฯ ควรนำเงินโบนัสส่วนใหญ่ เช่น 50-70% ของโบนัส ไปเร่งปิดหนี้ส่วนนี้ เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้อนาคตสามารถเก็บเงินได้มากขึ้น 3. นเงินไว้ ให้อุ่นใจ การมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินช่วยให้อุ่นใจได้ว่าจะมีเงินไว้รองรับกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด ทำให้สามารถใช้ชีวิตไว้อย่างสบายใจและโฟกัสกับการทำงานได้มากขึ้น รวมถึงยังเพิ่มความมั่นใจได้ว่าเงินเก็บส่วนที่เกินกว่าเงินสำรองนั้น สามารถนำไปลงทุนในทางเลือกที่มีพันธะด้านระยะเวลาลงทุน เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุน Term Fund หรือมีความเสี่ยงที่มากขึ้นได้ เช่น กองทุนผสม หุ้น กองทุนหุ้น รวมถึงกองทุน SSF/RMF ฯลฯ เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินที่ดี ควรมีจำนวนให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย 6 เดือน ในทางเลือกที่พร้อมถอนหรือนำออกมาใช้จ่ายได้ทันเวลา เช่น เงินฝากที่โอนเงินผ่านมือถือ ถอนผ่านตู้ ATM/สาขาธนาคารได้ทันที หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ขายคืนและได้รับเงินคืนภายใน 1 วันทำการถัดจากวันที่ขายคืน ฯลฯ โดยปัจจุบันทางเลือกเก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินที่น่าจะตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ คือ เงินฝาก e-Savings ที่หลายธนาคารให้ดอกเบี้ยสูงถึง 1.5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนที่ผ่านมาของกองทุนตราสารหนี้หลายกองทุน ทั้งยังมีความเสี่ยงต่ำกว่าและมีความคล่องตัวในการถอนหรือโอนมากกว่าด้วย 4. ยอยสร้าง Passive Income แหล่งรายได้ที่มั่นคงโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน เริ่มต้นได้ไม่ยาก แต่หากจะให้มีจำนวนเพียงพอกับการใช้จ่ายโดยเฉพาะช่วงหลังเกษียณอายุ คงไม่สามารถทำได้ทันทีแต่สามารถทยอยเริ่มได้ทีละน้อยและสะสมจนเพียงพอกับการใช้จ่ายในที่สุด ตัวอย่างเช่น การสร้าง Passive Income ด้วยประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่จ่ายเบี้ยสั้น ๆ เช่น 5 ปี สามารถเริ่มต้นด้วยการแบ่งเงินโบนัสส่วนหนึ่ง อาจจะสัก 50,000 บาท เพื่อเตรียมเป็นเบี้ยประกันบำนาญปีละ 10,000 บาท  แล้วหากปีหน้าได้รับเงินโบนัสอีกก็แบ่งเงินเพื่อเป็นเบี้ยประกันบำนาญฉบับต่อ ๆ ไปได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีเงินเป็นค่าเบี้ยประกันปีต่ออายุหรือไม่ โดยเงินบำนาญรวมที่จะได้รับตอนเกษียณ ก็มีโอกาสที่จะเพียงพอกับการใช้จ่ายได้ในที่สุด นอกจากประกันบำนาญแล้ว ยังมีทางเลือกในการสร้าง Passive Income อื่นอีก เช่น พันธบัตร/หุ้นกู้ ที่หากทยอยลงทุนจากเงินโบนัสที่ได้รับในแต่ละปี รวมถึงนำดอกเบี้ยและเงินครบกำหนดที่ได้รับจากเงินลงทุนแต่ละก้อนไปลงทุนต่อใน พันธบัตร/หุ้นกู้ ที่ออกใหม่เรื่อย ๆ ก็ช่วยให้มี Passive Income มากขึ้นได้ในอนาคต หรือหากสะสมไว้หลายปีจนมากพอที่จะนำไปลงทุนคอนโดด้วยเงินสดเพื่อปล่อยเช่า ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำได้เช่นกัน 5. งทุนให้งอกเงย การลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยจำเป็นต้องลงทุนในทางเลือกที่มีความเสี่ยง แต่หลายคนยังกังวลกับความเสี่ยงนั้น จึงเลือกที่จะเก็บเงินหรือลงทุนในทางเลือกความเสี่ยงต่ำที่เน้นความปลอดภัยของเงินต้น อย่างไรก็ตามเงินโบนัสเป็นเงินที่ได้มาปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เงินที่แบ่งจากเงินโบนัสเพื่อนำไปลงทุน จึงสามารถเป็นเงินที่รับความเสี่ยงได้สูงกว่าเงินเก็บส่วนอื่น โดยอาจแบ่ง 10-30% ของเงินโบนัส ไปลงทุนในกองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น ในภูมิภาคหรือธีมการลงทุนที่ชื่นชอบ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น หรือเลือกลงทุนในกองทุน SSF/RMF ที่เป็นกองทุนหุ้น/ผสม เพื่อผลประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมได้ เงินโบนัส ถือว่าเป็นรางวัลตอบแทนจากการทำงานด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งปี ที่ต้องจัดสรรให้ดีเพื่อเป็นรางวัลให้กับตนเองด้วยเทคนิคการบริหารที่เหนือล้ำเพื่อให้มีเงินมากขึ้นได้ในอนาคต แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจhttps://www.prachachat.net/finance/news-1479082

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

สมาคมประกันชีวิตไทยชวนต่อยอดโบนัสและเงินคืนภาษีให้งอกเงยอย่างมั่นคง

29/04/2024

สมาคมประกันชีวิตไทย ชวนออมเงินโดยนำเงินโบนัส เงินคืนภาษี มาต่อยอดให้งอกเงยมั่งคั่ง พร้อมสร้างความมั่นคงให้ตนเองและครอบครัวด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตนายพิชา สิริโยธิน ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมาหลายๆ คนอาจเริ่มต้นปีด้วยข่าวดีกับการได้รับโบนัสก้อนโต และยังได้รับคืนเงินภาษีมาให้ชื่นใจ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงวางแผนซื้อความสุขให้กับตนเองและคนที่รักไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้แบ่งใช้ แบ่งเก็บเพื่ออนาคตโดยการต่อยอดเงินออมให้งอกเงย สร้างความมั่งคั่งและมั่นคงอย่างยั่งยืนแบบมีวินัยการเก็บออมอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ ซึ่งนอกจากการเก็บออมแล้วก็ยังจะได้รับความคุ้มครองชีวิต คุ้มครองสุขภาพ หรือคุ้มครองอุบัติเหตุ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เป็นการลดภาระให้กับตัวเองและครอบครัว ไม่ดึงเงินเก็บออกมาใช้ในยามฉุกเฉิน ถือเป็นวิธีสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตและอนาคตสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตนั้นมีหลากหลายให้เลือกตามความต้องการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล เช่น แบบประกันสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) ซึ่งเป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ โดยบริษัทรับประกันภัยจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อครบกำหนดสัญญา หรือ ให้กับบุคคลที่ผู้เอาประกันภัยระบุไว้ว่าจะมอบประโยชน์ให้หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตทั้งนี้ ในรายละเอียดของบางแบบประกันชีวิตสะสมทรัพย์อาจจะมีเงินคืนระหว่างสัญญา ซึ่งประกันแบบดังกล่าวนี้ยังเหมาะที่จะสะสมเป็นเงินทุนเพื่อเป้าหมายที่สำคัญของชีวิต หรือทำไว้ให้กับบุตรหลานเพื่อเป็นการสร้างความมั่นคง เป็นทุนการศึกษา เป็นมรดก รวมถึงเป็นทุนไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเมื่อยามเติบโตได้อีกด้วยส่วนผู้ที่ชื่นชอบการลงทุน ก็ยังมีประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Unit Linked) ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มค่าทั้งด้านความคุ้มครองชีวิตและโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการลงทุน มีลักษณะสำคัญคือมีความยืดหยุ่น เพราะผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกลงทุนด้วยตนเองจากกองทุนรวมที่บริษัทประกันชีวิตคัดสรรไว้ โดยที่ได้รับความคุ้มครองจากการประกันชีวิตรวมอยู่ด้วย หรือจะวางแผนออมเงินเพื่อวัยเกษียณ ประกันชีวิตแบบบํานาญ (Pension) ก็สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นแบบที่มุ่งเน้นการออมเงินในขณะที่ผู้เอาประกันภัยกำลังอยู่ในวัยทำงานและเป็นผู้มีรายได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บไว้เป็นรายได้ยามเกษียณ โดยเก็บสะสมไว้ทุกปีและเมื่อถึงวัยเกษียณ 55 ปี หรือ 60 ปี บริษัทก็จะจ่ายเป็นเงินบำนาญให้ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตถือเป็นการสร้างวินัยการออมที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้จะมีสภาพคล่องน้อยกว่าฝากเงินกับธนาคารเนื่องจากไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ก่อนครบกำหนดสัญญา แต่ถือเป็นการนำเงิน ไปต่อยอดที่คุ้มค่า เพราะการลงทุนหรือออมผ่านประกันชีวิตมีการคุ้มครองชีวิตเป็นหลัก หากมีเหตุทำให้ ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถส่งเบี้ยประกันภัยต่อไปได้ ครอบครัวหรือผู้ได้รับผลประโยชน์ก็ยังสามารถ ได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่าเงินออมหรือการลงทุนประเภทอื่นๆ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติม แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/506236

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

วัดเขาดิน วัดไทยสไตล์ญี่ปุ่น มุมถ่ายรูปเพียบ เหมือนยกญี่ปุ่นมาไว้สุพรรณฯ

29/04/2024

วันนี้ Sanook Travel พาไปชม วัดเขาดิน สุพรรณบุรี วัดสวยสไตล์ญี่ปุ่น น่าไปเช็กอินถ่ายรูป เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับวัดนี้ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งของจังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ที่อำเภอเดิมบางนางบวช ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ บรรยากาศภายในวัดบอกเลยว่าเหมือนอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ ทั้งแมวควัก เสาโทริอิ ตัว Daruma และตัวอักษรญี่ปุ่นที่ตกแต่งตามทางเดิน สวยงามน่าไปถ่ายรูปมากนอกจากนี้มีองค์เจดีย์สีทองขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา เป็นจุดศูนย์กลางของทางวัด ที่ประชาชนสามารถเดินขึ้นไปสักการะกันได้ ผ่านทางซุ้มเสาโทริอิ ให้ฟีลเหมือนไปเที่ยวศาลเจ้าญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้มาเดินเที่ยวหามุมถ่ายรูปสวยๆ พักผ่อนในช่วงวันหยุดกันได้ทั้งครอบครัว หรือจะมาไหว้พระทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตก็ได้เช่นกัน หากมีเวลาว่างลองแวะมาชมกันครับไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ด้วยรับรองได้รูปสวยแน่นอน วัดเขาดิน สุพรรณบุรี    ที่ตั้ง : 75 ตำบล เขาดิน อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี    พิกัด : https://goo.gl/maps/QfrqXh1PN1GMThCc9    ติดต่อ : 086 411 2496ขอขอบคุณภาพ :BoY AnaTแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/travel/1441855/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เด็กหญิง 4 ขวบ สุดแข็งแกร่ง พิชิตเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ อายุน้อยสุดทุบสถิติโลก

29/04/2024

เด็กหญิง 4 ขวบ สุดแข็งแกร่ง พิชิตเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ อายุน้อยสุดทุบสถิติโลก พ่อเผยเลี้ยงลูกมายังไงถึงได้อึดขนาดนี้เด็กหญิงวัย 4 ขวบที่กลายเป็นบุคคลอายุน้อยที่สุด ที่สามารถพิชิต เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ ในเนปาล กับความสูง 5,364 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลเด็กหญิงซารา วัย 4 ขวบ กับพี่ชายวัย 7 ขวบ และ นายเดวิด ชิฟรา ผู้เป็นพ่อ เป็นพลเมืองของสาธารณรัฐเช็กที่อาศัยอยู่ในมาเลเซีย พูดได้ 3 ภาษา คือ เช็ก จีน และอังกฤษ เดินทางปีนเขาเป็นระยะทางกว่า 273 กิโลเมตร จนถึงจุดหมายปลายทางที่เบสแคมป์ของยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จ เดวิดกล่าวว่าเขาจะคอยตรวจวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดของลูกๆ อยู่ตลอด ซึ่งค่าออกซิเจนในเลือดของซาร่าไม่เคยต่ำกว่า 90% เลย เธอปรับตัวเข้ากับสภาพความสูงได้ดี ซาร่าตัวน้อยไม่เคยอาบน้ำอุ่นเลย ในทางกลับกัน เธอกลับเติมน้ำแข็งเข้าไป แม้อุณหภูมิ -20 ถึง -25 °C ความเย็นไม่ได้ทำให้เธอมีปัญหาใดๆ ต้องขอบคุณร่างกายที่แข็งแรงมากๆ ของเธอซาราเดินแซงหน้านักปีนเขาหลายร้อยคน ผู้เป็นพ่อรู้สึกทึ่งในตัวลูกสาวมากๆ ว่าจัดการทั้งร่างกายและสภาพจิตใจได้อย่างไร แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการการเลี้ยงลูกที่ไม่ธรรมดา เขาฝึกให้เธอเดินป่าตั้งแต่ยังเล็ก คุ้นชินกับการใช้ชีวิตอยู่กับชนเผ่าในป่ามาเลเซีย จนในที่สุดซาราก็ทำลายสถิติโลกได้อย่างน่าทึ่ง โดยเด็กอายุน้อยที่สุดที่เคยครองสถิติไปถึงเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ คือ ด.ญ.พริชา โลเคช นิคาโจ ซึ่งมีอายุเพียง 5 ขวบตอนที่ไปถึงเบสแคมป์เมื่อปี 2023เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ คือหนึ่งในจุดหมายที่นักปีนเขาหลายคนอยากจะพิชิต แต่การเดินทางไปยังเบสแคมป์ของเอเวอเรสต์ก็ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนัก หากปรับตัวให้ชินกับความสูงและสภาพอากาศไม่ได้ก็อาจเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้ มีนักปีนเขาไม่น้อยที่เอาชีวิตไปทิ้ง และร่างไร้วิญญาณยังถูกแช่แข็งอยู่ในจุดที่เสียชีวิตแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/news/9187574/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ก่อนเป็นหนี้…ต้องรู้อะไรบ้าง ?

29/04/2024

บทความโดย “ณัฎฐ์วัฒน์  วรพุทธาฉัตร” AFPTTM, IP สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 16 มกราคม 2567 ปัจจุบันการขอใช้สินเชื่อมีความสะดวก รวดเร็ว โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคล และยิ่งมีการอนุมัติวงเงิน Microfinance เป็นไปโดยง่าย ประกอบกับขั้นตอนการตรวจสอบไม่เคร่งครัดนัก ส่งผลให้มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาการใช้จ่ายเกินตัวค่อนข้างสูง เช่น การใช้สินเชื่อผ่านบัตรกดเงินสดหรือบัตรเครดิต ซึ่งเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า ประกอบกับถ้าผู้ใช้แยกไม่ออกว่าอะไรคือ ความจำเป็น (Need) อะไรคือ ความต้องการ (Want) เปรียบเสมือนการขาดวินัยทางการเงิน ย่อมส่งผลกระทบในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นการขาดสภาพคล่อง การกู้เงินในระบบและนอกระบบ การใช้สินเชื่อผิดประเภท  เช่น การกู้หนี้ระยะสั้นเพื่อมาเคลียร์หนี้ระยะยาว และท้ายสุดก็จะเป็นดินพอกหางหมู เกิดหนี้สินล้นพ้นตัว ผลที่ตามมาคือ การถูกฟ้องคดีแพ่ง (ถ้ากู้ในระบบ) หรือโดนทวงหนี้โหด (ถ้ากู้นอกระบบ) อย่างไรก็ตาม หากเข้าใจกฎ 72 จะไม่เลือกทำวิธีนี้กฎ 72 สามารถใช้หาระยะเวลาว่าเงินที่กู้มาจะเพิ่มเป็น 2 เท่าใช้เวลากี่ปี หรือถ้ารู้เวลาก็สามารถหาอัตราดอกเบี้ยได้เช่นกัน โดยเอา 72 เป็นตัวตั้ง หารด้วยอัตราดอกเบี้ยที่กู้มาต่อปี ก็จะได้ระยะเวลาที่เงินจะกลายเป็น 2 เท่า หรือเอาระยะเวลาที่กู้ต่อปีหาร ก็จะได้อัตราดอกเบี้ยที่กู้มา จะได้อัตราดอกเบี้ยที่กู้มาต่อปีเช่นกัน นอกจากนี้ควรจะรู้ต้นทุนของสินเชื่อว่ามีกี่แบบ แต่ละแบบคิดอย่างไร จะได้วางแผนว่าควรจะกู้แบบไหนที่เหมาะสมกับสิ่งที่จำเป็นและต้องการ และเกิดผลกระทบต่อตัวผู้กู้น้อยที่สุด โดยต้นทุนของสินเชื่อ (Cost of Credit) มีวิธีการคำนวณดอกเบี้ย 3 วิธี 1.แบบลดต้นลดดอก (Simple Interest Method) เช่น การกู้บ้าน เจ้าหนี้จะคิดอัตราดอกเบี้ยจากมูลหนี้ที่เหลืออยู่ ซึ่งจะเท่ากับดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น 2.แบบหักดอกล่วงหน้า (Discount Method) เช่น แชร์หักดอก หรือจำนองบ้าน จะโดนหักดอกเบี้ยล่วงหน้า ตัวอย่างกู้เงิน 1 ล้านบาท ถ้าคิดดอกเบี้ย 10% ต่อปี แต่หัก 1 เดือนล่วงหน้าจะได้เงินจริง 9 แสนบาท ซึ่งดอกเบี้ยที่แท้จริงเท่ากับ 11.11% 3.แบบเงินต้นคงที่ (Add-on Method หรือ Flat Rate) เช่น การผ่อนรถหรือสินค้าเงินผ่อน หรือการกู้เงินเพื่อการบริโภค เจ้าหนี้จะบวกดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ต้องชำระทั้งหมดเข้าไปกับเงินต้นแล้วเฉลี่ยเป็นงวด ๆ ตามจำนวนที่ลูกหนี้ต้องชำระ ยิ่งชำระนานดอกเบี้ยจะยิ่งแพงเนื่องจากเงินต้นลดลง  ปกติดอกเบี้ยต้องลดตาม แต่ในความเป็นจริงวิธีนี้ จะคิดจากเงินต้นที่กู้มาครั้งแรก ทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงจะเท่ากับดอกเบี้ยในงวดแรกเท่านั้น ส่วนงวดต่อ ๆ ไปจะสูงกว่าดอกเบี้ยที่กำหนด ยิ่งการผ่อนรถมือสอง นอกจากจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงแล้ว ยังมีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีก 7% ทุก ๆ งวดที่มีการผ่อน ซึ่งผู้เช่าซื้อรถมือสองถือว่าเสียเปรียบทุกประเด็น การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก่อนตัดสินใจก่อหนี้ควรถามตัวเองก่อนว่า ก่อหนี้เพื่ออะไร มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน มีรายได้เพียงพอจ่ายหนี้คืนหรือไม่ เพื่อทำให้การเป็นหนี้ไม่กลับมาสร้างปัญหาให้ตัวเอง แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1479970

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สุขภาพ

ทำไมมะเร็งถือว่าเป็นโรคร้ายที่ควรระวังเสมอ

29/04/2024

เมื่อเอ่ยถึงโรคมะเร็ง เชื่อว่าหลายคนก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นโรคที่ร้ายแรง ซึ่งเป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตของคนไทยเป็นอันดับ 1 เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นโรคที่ร้ายแรงและเป็นโรคเรื้อรัง มักจะพบเห็นอาการได้เฉพาะระยะที่ลุกลามแล้ว จึงส่งผลให้การรักษาเป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนมากๆ ฉะนั้นจึงทำให้โรคมะเร็งเป็นโรคร้ายแรงที่มีโอกาสรักษาหายได้ยาก โรคมะเร็งคืออะไร? ทำไมถึงอันตรายตามมาไขข้อสงสัย โรคร้ายแรง อย่างโรคมะเร็งคืออะไร? ทำไมถึงมีความอันตราย โรคมะเร็งก็คือโรคที่ได้มีการเกิดขึ้นมาจากความเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ ซึ่งเซลล์มะเร็งจะมีการแบ่งตัวและมีการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเข้าไปทำลายการทำงานต่างๆ ของอวัยวะ จากนั้นจะมีการลุกลามไปบริเวณใกล้เคียง จึงทำให้โรคมะเร็งกลายเป็นโรคที่มีความอันตรายและร้ายแรงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 เมื่อเป็นแล้วสามารถรักษาหายได้ยาก มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้เสียชีวิตได้ สามารถพบได้ทางเพศหญิงเพศชายสำหรับเพศชาย มะเร็งที่พบได้บ่อยมากที่สุด คือ   •  มะเร็งต่อมลูกหมาก   •  มะเร็งปอด   •  มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง   •  มะเร็งน้ำเหลือง   •  มะเร็งตับและท่อน้ำดีสำหรับเพศหญิง มะเร็งที่พบได้บ่อยมากที่สุด คือ   •  มะเร็งเต้านม   •  มะเร็งปากมดลูก   •  มะเร็งตับและท่อน้ำดี   •  มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง   •  มะเร็งปอดทำความรู้จักสัญญาณเตือนอันตรายโรคมะเร็ง รู้ก่อน เลี่ยงเสียชีวิตได้แม้ว่าโรคมะเร็งอาจจะเป็นโรคที่ไม่ได้มีอาการแสดงบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นมะเร็งก็จริง แต่ก็มีสัญญาณเตือนภัยของโรคมะเร็งที่จะระบุให้ทุกท่านได้ทราบก่อน จะมีอาการเบื้องต้นอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าเป็นโรคมะเร็ง ตามไปดูกันเลย   •  ตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หรืออาจจะมีแผลเรื้อรัง รักษาเบื้องต้นอย่างไรก็ไม่หายสักทีภายใน 1-2 สัปดาห์   •  พบว่าไอเรื้อรัง เสียงแหบ มีเสมหะหรือมีเสมหะปนเลือด   •  มีอาการเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้ลำบาก และน้ำหนักลดไม่มีสาเหตุ   •  มีกลิ่นปากที่รุนแรงหรือหายใจลำบาก   •  ตรวจพบว่ามีระบบขับถ่ายที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับถ่ายแปรปรวน และปัสสาวะเปลี่ยนไปจากเดิม   •  ผิดปกติของผิวหนัง ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อาทิ มีปานขึ้น มีหูด มีไฝ เป็นต้น   •  ตรวจพบว่ามีของเหลวผิดปกติหรือมีเลือดไหลออกจากร่างกาย อาทิ มีอาการตกขาว เลือดกำเดาออกเรื้อรัง หรือมีของเหลวออกจากหัวนม เป็นต้นสรุปบทความการทำ ประกันมะเร็ง ถึงแม้จะไม่ช่วยทำให้มะเร็งหาย เพราะจะต้องพึ่งหมอ แต่ประกันมะเร็งจะสามารถช่วยคุ้มครองค่ารักษาและค่าอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้ผู้ป่วยรวมไปถึงคนในครอบครัวสบายใจขึ้นมาก ไม่ก็น้อย และแน่นอนว่าสามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ทำให้ยุคนี้ผู้ที่มีอายุเพิ่มมากขึ้นสามารถที่จะหายจากมะเร็งได้หากรู้ทันและรู้ไวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/506296

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นิทรรศการศิลปะล้ำค่า "กมล ทัศนาญชลี" ศิลปินแห่งชาติ

29/04/2024

สัปดาห์นี้ “พี่ม้ามังกร” ขอพาน้องๆไปชมนิทรรศการศิลปะสุดล้ำค่า ใน นิทรรศการ “ผลงานศิลปะ 80 ปี กมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ” ที่ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน จัดขึ้นถึงวันที่ 11 ก.พ.นี้ โดยการสนับสนุนของ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรมสร้างความตื่นเต้นให้กับคนวงการศิลปะ เมื่อ ดร.กมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2540 สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรมและสื่อผสม) ซึ่งได้รับการยกย่องให้ เป็น “ศิลปินสองซีกโลก” ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ได้นำผลงานที่ได้สร้างสรรค์มาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 60 ปี เกือบ 100 ชิ้น มาจัดแสดงให้ได้ชมกันอย่างใกล้ชิด เนื่องในโอกาสอายุครบรอบ 80 ปี ในปี 2567 เพื่อให้ศิลปินรุ่นใหม่และประชาชนที่สนใจงานศิลปะได้มีโอกาสเรียนรู้ผลงานที่นำมาเสนอ ล้วนเป็นศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของการผสม ผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงยุคปัจจุบัน โดยผลงานบางชิ้นแทบไม่เคยนำออกมาแสดงให้เห็นมาก่อน ได้แก่ จิตรกรรมสีน้ำมัน “เขียนตัวเอง” ผลงานวาดเส้น “โลกแห่งความยุ่งยาก” ในสมัยที่ไปศึกษาและพำนักอยู่ที่ประเทศสหรัฐ อเมริกา โดย ดร.กมล ได้สร้างผลงานในช่วงอารมณ์ และความรู้สึก คิดถึงห่วงใยประเทศไทย ซึ่งเป็นแผ่นดินเกิดในภาวะสงคราม โดยนำมาจัดแสดงถึง 4 ภาพขณะเดียวกันมีการนำผลงาน ประติมากรรม “พระพุทธบาท” ที่ผสมผสานวัสดุ สเตนเลส แก้ว เซรามิก เครื่องปั้นดินเผา มาสร้างสรรค์ในรูปแบบต่างๆด้วยแนวคิด สัญลักษณ์ ธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาผสมผสานกัน สะท้อนแนวคิดทางพระพุทธศาสนาและรากเหง้าทางศิลปวัฒนธรรม เข้ามาไว้ในผลงานศิลปะได้อย่างลงตัว และยังมี ประติมากรรมรูป “ยูนิคอน” จากการเชื่อมและฉลุสเตนเลส ตั้งตระหง่านกลางโถงห้องจัดแสดงทั้งยังมีงาน ศิลปะจิตรกรรม สื่อผสมบนไม้ ใช้สีอะคริลิก สีน้ำมันบนผ้าใบ ชุด “หนังใหญ่-วิถีวัฒนธรรม” ที่นำความโดดเด่นของหนังใหญ่ เอกลักษณ์ของศิลปะไทย และวัสดุไม้ และผสมผสานสีสันสดใส และลวดลายต่างๆ ชุด สื่อผสม กระดาษทำมือ “วิถีแห่งธรรม” และ “จตุธาตุ” ที่ถ่ายทอดปรัชญาพระพุทธศาสนา ขณะที่ผลงานที่ฉุดสายตาและอารมณ์ของผู้ชมได้ไม่น้อย ก็คือ “จิตรกรรมรูปสัตว์ ชุดนกอินทรี และม้า” ที่ใช้สีฉูดฉาด ให้อารมณ์และความรู้สึกอันทรงพลังนอกจากการแสดงผลงานของ ดร.กมล ที่หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ในครั้งนี้แล้วยังมีการจัดแสดงผลงานอย่างยิ่งใหญ่ ใน นิทรรศการ “ศิลปะย้อนอดีต 80 ปี กมล ทัศนาญชลี” ที่หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 16 ม.ค.-18 มี.ค. ซึ่งจะมีไฮไลต์สำคัญ คือผลงานมาสเตอร์พีซของ ดร.กมล ผลงานสะสมของศิลปินระดับโลก, ผลงานของเพื่อนศิลปินแห่งชาติ และศิลปินที่มีชื่อเสียง และผลงานที่ได้สร้างสรรค์บนผ้าใบชิ้นเดียวกัน ร่วมกับ ดร.ถวัลย์ ดัชนี อีกด้วย..แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/news/local/2754927

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X