คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวทั่วไป

บทเรียนเรื่อง ‘เวลาว่าง’ ที่ บิลล์ เกตส์ เรียนรู้จาก วอร์เรน บัฟเฟตต์

30/04/2024

“ตอนที่ผมอายุเท่าคุณ ผมไม่เชื่อในวันหยุดพักผ่อน” เปิดบทเรียนเรื่อง “เวลาว่าง” ที่บิลล์ เกตส์ เรียนรู้จากมหาเศรษฐีอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) มีตารางงานที่แน่นเอียด จนกระทั่งบางครั้งต้องส่งอีเมลถึงพนักงานตอนตีสอง จนวันหนึ่งเขาเห็นบันทึกส่วนตัวของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ซีอีโอของเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ที่ทำให้เกตส์เรียนรู้ที่ไม่ตึงกับตัวเองและพนักงานจนเกินไป “ผมใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่าไปกับการทำงาน และคิดว่าเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายต่าง” เกตส์บอกกับนักข่าวในการให้สัมภาษณ์กับบัฟเฟตต์ในปี 2560 พร้อมเสริมว่า ”ผมจําได้ว่าวอร์เรนเปิดปฏิทินงานของเขาให้ผมดู ... และผมก็เห็นว่ามันมีวันว่างอยู่” ตารางเวลาของบัฟเฟตต์สอนผมว่า “คุณเป็นคนควบคุมเวลาของตัวเอง ... และจำไว้ว่าการจัดตารางงานของคุณให้แน่นเอียด ไม่ได้เป็นตัวแสดงถึงความจริงจังในการทำงานของคุณ” “โดยพื้นฐานแล้วผมสามารถซื้ออะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ แต่ผมไม่สามารถซื้อเวลาได้” บัฟเฟตต์กล่าวเสริม วิธีการของบัฟเฟตต์ คือ “ทํางานอย่างชาญฉลาดไม่ใช่ทำงานให้ยากขึ้น” แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนโดยวิทยาศาสตร์จริงๆ โดยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 2014 พบว่า “ความสามารถของคนงานลดลงอย่างมากเมื่อพวกเขาทํางานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” การวิจัยเปิดเผยว่าผู้ที่ทํางานมากถึง 70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะได้รับงานในปริมาณเท่ากับผู้ที่ทำงานหน้าแล็ปท็อปเป็นเวลา 55 ชั่วโมง ทั้งนี้ เกตส์ไม่ใช่ซีอีโอ เพียงคนเดียวที่เรียนรู้บทเรียนนั้นอย่างยากลําบาก ตัวอย่างเช่น อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla ซึ่งก่อนหน้านี้กล่าวว่าเขาดึงคนที่โหมงานได้ทั้งวันทั้งคืนมาทํางานเป็นประจํา แต่ตอนนี้เขาเริ่มหันมานอนอย่างน้อยหกชั่วโมงต่อคืน  การจะบรรลุเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องงานเพราะเกตส์เองก็ใช้เวลาหลายปีในการค้นหาความสมดุลระหว่างชีวิตการทํางานและชีวิตที่มีสุขภาพดี เขากล่าวในการกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยนอร์เทิร์นแอริโซนาว่า “ตอนที่ผมอายุเท่าคุณ ผมไม่เชื่อในวันหยุดพักผ่อนเลย ผมไม่เชื่อในวันหยุดสุดสัปดาห์ ” เกตส์กล่าว “อย่ารอนานเท่าผมกว่าจะได้เรียนรู้บทเรียนนี้” เขากล่าวเสริม “ใช้เวลาของคุณเพื่อรักษาความสัมพันธ์ เพื่อเฉลิมฉลองความสําเร็จ และฟื้นตัวจากความสูญเสีย หยุดพักเมื่อคุณต้องการ พักผ่อน และใจเย็นๆ กับคนรอบข้างเมื่อพวกเขาต้องการเช่นกัน” แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/social/1080770

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

พ.ร.บ.VS ประกันรถยนต์ต่างกันแค่ไหนนะ

30/04/2024

เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมบางคนที่ทำพ.ร.บ.รถยนต์แล้ว ถึงต้องทำประกันรถยนต์พ่วงเข้าไปอีก ทั้งๆ ที่ทั้งสองสิ่งนี้ต่างถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครองเกี่ยวกับการขับขี่รถยนต์ทั้งคู่ แต่ก่อนที่จะไปหาคำตอบลองไปทำความรู้จักเกี่ยวกับรายละเอียดของพ.ร.บ.รถยนต์ และประกันรถยนต์กันอีกซักนิดก่อนพ.ร.บ.รถยนต์ และประกันรถยนต์ ความเหมือนที่แตกต่างพ.ร.บ.รถยนต์ หรือประกันรถยนต์ภาคบังคับ คือประกันที่รถทุกชนิดทุกประเภทภายใต้กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก  กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร ซึ่งรถที่เจ้าของมีไว้ใช้ ไม่ว่ารถดังกล่าวจะเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น ถือกำเนิดขึ้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถปี 2535 ซึ่งให้ความคุ้มครอง ดังนี้ •  กรณีบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถ     - จ่ายค่ารักษาพยาบาลในส่วนของค่าเสียหายเบื้องต้นตามที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิน 30,000 บาท/คน    •  กรณีทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุทางรถ     - จ่ายค่าชดเชยในส่วนของค่าเสียหายเบื้องต้นไม่เกิน 35,000 บาท/คน •  กรณีบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิต/บาดเจ็บจนทำให้ทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุทางรถ     - จ่ายค่าชดเชยในส่วนของค่าเสียหายเบื้องต้นไม่เกิน 65,000 บาท/คน     - กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถ     - จ่ายค่าชดเชยในส่วนของค่าเสียหายเบื้องต้นแล้วไม่เกิน 35,000 บาท/คน •  กรณีเสียชีวิตภายหลังการรักษาพยาบาล    - จ่ายค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง หรือไม่เกิน 65,000 บาทหมายเหตุ1. พ.ร.บ.รถยนต์จะคุ้มครองเฉพาะแค่ค่ารักษาในเบื้องต้นเท่านั้น ค่ารักษาส่วนอื่นๆ เราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง 2. หากรถตั้งแต่ 2 คันขึ้นไปก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการชน หรือเฉี่ยว จนทำให้บุคคลภายนอกที่ไม่ได้อยู่ในรถคันใดคันหนึ่งได้รับบาดเจ็บให้บริษัทร่วมกันจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยโดยเฉลี่ยจ่ายในอัตราส่วนที่เท่ากัน อ่านแล้วอกอีแป้นจะแตก หากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้สร้างแค่ความเจ็บปวดให้แก่ร่างกายเพียงอย่างเดียว ตัวรถเองก็ได้รับเสียหายไปด้วย ใครจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าซ่อมแซมที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ “ประกันรถยนต์” จึงถือกำเนิดขึ้นประกันรถยนต์ หรือประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ คือเครื่องมือที่จะแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษา หรือค่าซ่อมแซมรถ ซึ่ง พ.ร.บ.รถยนต์ไม่ได้ให้ความคุ้มครองครอบคลุมในส่วนนี้ โดยรายละเอียดความคุ้มครองของประกันรถยนต์นั้นขึ้นอยู่กับชั้นที่เราเลือกทำ ดังนี้ประกันรถยนต์ ชั้น 1  1. คุ้มครองบุคคลภายนอกทั้งทางร่างกายและทรัพย์สิน2. คุ้มครองความเสียหายทางร่างกายของบุคคลภายในรถคันที่เอาประกันภัย3. คุ้มครองความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์4. คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ประกันรถยนต์ ชั้น 2 1. คุ้มครองบุคคลภายนอกทั้งทางร่างกายและทรัพย์สิน2. คุ้มครองความเสียหายทางร่างกายของบุคคลภายในรถคันที่เอาประกันภัย3. คุ้มครองความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์ประกันรถยนต์ ชั้น 2+ 1. คุ้มครองความเสียหายทางร่างกายของบุคคลภายนอก และบุคคลภายในรถคันที่เอาประกันภัย2. คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะทางบก3. คุ้มครองความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์ หมายเหตุ *คู่กรณีต้องเป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น และในกรณีที่เป็นฝ่ายผิดมีค่าสียหาย 2,000 บาทประกันรถยนต์ ชั้น 31. คุ้มครองบุคคลภายนอกทั้งทางร่างกายและทรัพย์สิน2. คุ้มครองความเสียหายทางร่างกายของบุคคลภายในรถคันที่เอาประกันภัย ประกันรถยนต์ ชั้น 3+1. คุ้มครองบุคคลภายนอกทั้งทางร่างกายและทรัพย์สิน2. คุ้มครองความเสียหายทางร่างกายของบุคคลภายในรถคันที่เอาประกันภัย3. คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะทางบก หมายเหตุ ** คู่กรณีต้องเป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น และในกรณีที่เป็นฝ่ายผิดมีค่าสียหาย  2,000 บาท ประกันรถยนต์ที่คุ้มครองเฉพาะบุคคลภายนอก •  คุ้มครองทรัพย์สินของบุคคลภายนอกโดยมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท/อุบัติเหตุแต่ละครั้งหมายเหตุ * กรณีที่รถผู้เอาประกันชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น พ.ร.บ.รถยนต์ และประกันรถยนต์ นั้นดูเหมือนจะไม่แตกต่างกันมากซักเท่าไหร่ เนื่องด้วยทั้งสองหลักประกันนี้ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการดูแลบุคคลเป็นหลักเหมือนกัน แต่ประกันรถยนต์จะเสริมในส่วนความคุ้มครองของตัวรถยนต์เพิ่มเติมเข้ามา อาทิเช่น การคุ้มครองในกรณีที่รถยนต์เกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งค่าซ่อม หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นบริษัทผู้รับประกันจะเป็นคนช่วยแบ่งเบาภาระให้แก่ผู้ทำประกันรถยนต์ทุกท่านขอบคุณแหล่งข้อมูล : oic.or.th,oohoo.io,pantip.comแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/how-different-vehicle-act-and-auto-insurance/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เรื่องควรรู้ เมื่อคิดก่อหนี้ : เป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ควรมีวินัย

30/04/2024

บทความโดย “อภิสิทธิ์ สืบไวย” ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM Health And Wellbeing Consultant Prudential Life Assurance (Thailand) สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 15 สิงหาคม 2566 เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ หลาย ๆ ท่าน มักจะขอพรให้ได้สิ่งที่ใจปราถนา และตั้งเป้าหมายกับตนเอง และเชื่อว่าเป้าหมายที่ทุกคนต้องการ คือ เป้าหมายที่ SMART 1. Specific = ชัดเจน เฉพาะเจาะจง รู้ว่าต้องการอะไร 2. Measurable = สามารถวัดผลเป็นตัวเลขหรือตัวเงินได้อย่างชัดเจน 3. Achievable = สามารถทำสำเร็จตามเป้าหมายได้ และรู้ว่าต้องทำอย่างไร 4. Realistic = มีความเป็นไปได้ สมเหตุสมผล สอดคล้องกับความเป็นจริง 5. Time Bound = มีกรอบเวลาที่แน่ชัด รู้ว่าต้องใช้ระยะเวลาเท่าใดเป้าหมายทางด้านสุขภาพ 1. อยากลดน้ำหนักเดือนละ 1-2 กิโลกรัม 2. อยากมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัย (ไม่เป็นโรค ไม่ไปหาหมอ ให้ได้ทุกเดือน) 3. อยากมีหุ่นดี กระชับ มีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น (มีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นเดือนละ 1%) เป้าหมายทางด้านการเงิน 1. เก็บเงินเดือนละ 20,000 บาท ลงทุนในกองทุน SSF/RMF ไว้ใช้ยามเกษียณ 2. อยากมีรายได้เพิ่มขึ้น เดือนละ 20,000 บาท จากการลงทุน/ขายสินค้า 3. อยากมีบ้านหลังใหม่ พื้นที่ 50 ตารางวา ราคา 5 ล้านบาท ภายในเดือนธันวาคม 2566 4. หรืออยากมีคอนโดฯในเมือง ขนาดห้องมากกว่า 35 ตารางเมตร ราคา 5 ล้านบาท ภายในเดือนธันวาคม 2566 5. รถคันใหม่ เป็นรถพลังงานไฟฟ้า (EV) ที่กำลังเป็น Trend พลังงานสะอาด ณ ตอนนี้ ราคา 2,000,000 บาท ภายในเดือนมิถุนายน 2566 6. โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ราคา 30,000 บาท ภายในเดือนมิถุนายน 2566 7. ท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ทั้งนี้ เป้าหมายทางการเงินสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ตัวอย่างดังนี้ 1. เป้าหมายระยะสั้น (Short-term Goal) คือเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการทำให้สำเร็จใน 1-3 ปี เช่นต้องการออมเงินเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ราคา 30,000 บาท ในอีก 6 เดือน  2. เป้าหมายระยะกลาง (Intermediate-term Goal) ที่ต้องการทำให้สำเร็จใน 3-7 ปี เช่น ต้องการออมเงินจำนวน 300,000 บาท เพื่อเรียนต่อระดับปริญญาโทในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือเพื่อเป็นเงินดาวน์ ซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ 3. เป้าหมายระยะยาว (Long-term Goal) ที่ต้องใช้เวลามากกว่า 7 ปี เช่น ต้องการออมเงินจำนวน 10 ล้านบาทเพื่อใช้ในวัยเกษียณอีก 30 ปีข้างหน้า  จะเห็นได้ว่าทุกเป้าหมาย ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น เช่น หากคุณอยากลดน้ำหนัก อยากมีสุขภาพแข็งแรงอยากมีหุ่นดี คุณต้องออกกำลังกาย ควบคุมโภชนาการ คุณต้องซื้อรองเท้า ชุดออกกำลังกายใหม่ แม้กระทั่งเลือกการรับประทานอาหารเสริม โปรตีน วิตามินต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งซื้อคอร์สออกกำลังกาย จ้างเทรนเนอร์มาดูแลการออกกำลังกาย และ นักโภชนาการมาวางแผนการรับประทานอาหาร แต่ถ้าเป็นเป้าหมายที่เป็นสินทรัพย์ ตั้งแต่ขนาดเล็ก จนถึงขนาดใหญ่ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ท่องเที่ยวในและต่างประเทศ รถยนต์ คอนโดฯ ที่ดิน และบ้านที่อยู่อาศัย คุณยิ่งต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อสิ่งที่คุณต้องการ   หากคุณไม่ได้วางแผนการเงิน และเก็บเงิน เพื่อให้ได้บรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ที่ตั้งไว้ ตั้งแต่แรก แต่คุณต้องการสิ่งเหล่านั้นเร็วขึ้น โดยไม่ต้องการเสียเวลาเก็บสะสมเงิน มีทางเลือกที่หลาย ๆ คนเลือกใช้ คือ การใช้เงินในอนาคต การกู้ยืมเงิน หรือการขอสินเชื่อ กับสถาบันการเงินต่าง ๆ หรือการกู้ยืมเงินนอกระบบ ส่งผลทำให้ภาวะหนี้สินภาคครัวเรือนของไทยสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ส่งผลกระทบกับกำลังการบริโภคของประชาชนในประเทศ และจะกลายเป็นระเบิดลูกหนึ่งที่เข้ามาทำลายระบบเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนคือหนี้ที่ประชาชนกู้ยืมจากผู้ให้กู้ สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการนอกระบบ หรือแม้แต่คนรู้จักเพื่อนำเงินดังกล่าวไปใช้จ่ายตามความต้องการที่แตกต่างกันไป โดยการก่อหนี้หรือการกู้ยืมเงินนั้นช่วยให้เราสามารถใช้จ่ายได้ทั้งในชีวิตประจำวัน และยามจำเป็นเกินกว่ารายได้และเงินออมที่มีอยู่ เช่น จ่ายค่าอาหารมื้อหรูแม้เงินเดือนยังไม่ออก ซื้อรถในฝันแม้ยังไม่มีเงินออมก้อนใหญ่ หรือจ่ายค่ารักษาพยาบาลในยามฉุกเฉิน อย่างไรก็ดี การก่อหนี้เปรียบเสมือนการนำรายได้ในอนาคตมาใช้ แม้จะทำให้เกิดการใช้จ่าย ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวในวันนี้ แต่ในอนาคตเราจำเป็นต้องทยอยชำระหนี้คืนทำให้รายได้ที่หามาเหลือใช้น้อยลง และหากครัวเรือนส่วนใหญ่ในระบบเศรษฐกิจก่อหนี้มากเกินไปก็จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจผ่านทาง 1.การบริโภคของครัวเรือนในอนาคตจะลดลง และ 2.ความสามารถในการรองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดน้อยลง เช่น หากถูกเลิกจ้างหรือถูกลดค่าจ้างลง ก็อาจจะผิดนัดชำระหนี้ที่มีอยู่เดิม ซึ่งสร้างความเสี่ยงให้กับระบบสถาบันการเงินหรือผู้ให้กู้ยืม ในกรณีที่การผิดนัดชำระหนี้มีจำนวนมาก ระบบการเงินจะได้รับความเสียหายจนไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติและกระทบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง (ที่มา : ธปท.)สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนเป็น ดังนี้จากตารางจะเห็นได้ว่าสินเชื่อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างเห็นได้ชัด คือ สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับ หมายถึง สินเชื่อบุคคลทั้งที่ไม่มีหลักประกัน (สินเชื่ออเนกประสงค์) และมีหลักประกัน เช่น เช่าซื้อ สินเชื่อทะเบียนรถ (รถแลกเงิน) ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ผู้ขอสินเชื่อนำเงินไปอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล เช่น ซื้อสินค้าที่อยากได้ รับประทานอาหารมื้อหรู ท่องเที่ยวในและต่างประเทศ หรือกระทั่งนำเงินไปชำระหนี้ทั้งในและนอกระบบ ​จากการใช้จ่ายเงินที่เกินตัว อีกทั้งหลาย ๆ ธุรกิจ เอื้อให้คนใช้เงินจนเกินตัวแบบง่ายและสะดวกเพิ่มมากขึ้น เช่น ในอดีต จะซื้อรถยนต์สักคันต้องมีคนค้ำประกัน มีเงินดาวน์ 25–50% ของราคารถ แต่ปัจจุบันการซื้อรถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์สักคัน บางแห่งไม่ต้องใช้คนค้ำไม่ต้องใช้เงินดาวน์ ทำให้เกิดก่อหนี้เป็นไปได้ง่าย แต่หลายคนอาจไม่ได้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายแฝงที่ตามมา เช่น ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา ประกัน พ.ร.บ. ภาษี อะไหล่สิ้นเปลือง เช่น ยางรถยนต์ เป็นต้น ท้ายที่สุดแล้วเมื่อติดกับดักการก่อหนี้ ทำให้ลืมคิดว่าภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกที คือ เมื่อบิลชำระค่าบัตรเครดิตมา เมื่อผ่อนชำระต่อเดือนไม่ไหวก็กลายเป็นชำระหนี้ขั้นต่ำ และทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มพูนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือน จนท้ายสุดแล้วไม่ไหวกลายเป็นหนี้เสีย (NPL)  คือ หนี้ที่ค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยนานติดต่อกันตั้งแต่ 91 วัน ขึ้นไป เข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้ต่อไปคำถามตามมา คือ ผู้ที่กำลังก่อหนี้ ควรจะทำอย่างไร เช่น สินเชื่อบ้าน ควรเลือกบ้านราคาตามกำลังทรัพย์ของตนเอง ควรผ่อนชำระไม่เกิน 40% ของรายได้ สินเชื่อรถ ควรคิดรอบด้าน ไม่ใช่แค่ค่างวดต่อเดือน ควรรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จำแนกเป็นรายเดือนเข้าไปด้วย เช่น ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา ประกัน พ.ร.บ. ภาษี เป็นต้น สินเชื่ออุปโภค บริโภคส่วนบุคคล ให้คิดก่อนว่า เป็น “ความจำเป็น” หรือ “ความต้องการ” เช่น อยากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้ถามตนเองว่า ใช้งานคุ้มค่ากับฟังก์ชั่นที่ได้มาหรือไม่ ​โดยสรุป การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ถ้าก่อหนี้แล้วควรมีวินัย มีการจัดการที่ถูกวิธี เพราะการหนี้ที่ดี จะทำให้กลายเป็นเครื่องมือทำให้เกิดความมั่งคั่งในอนาคตได้ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1369848

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าสนับสนุนทีมสโมสรชลบุรี เอฟซี พร้อมร่วมงานเปิดฤดูกาลใหม่ 2023-2024

15/08/2023

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวญดา วงศ์ทองคำ รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสิทธิพิเศษและกิจกรรมลูกค้า ร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวสโมสรชลบุรี เอฟซี  สู้ศึกฤดูกาล 2023-2024 ภายใต้แคมเปญ “Made In ฉลามชล” ในฐานะที่เอไอเอ ประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนหลักของสโมสรชลบุรี เอฟซี โดยมีนายวิทยา คุณปลื้ม ประธานสโมสร นายอรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสร นายศศิศ สิงห์โตทอง ผู้จัดการทีม และ “โค้ชเทกุ” มาโกโตะ เทกุระโมริ หัวหน้าผู้ฝึกสอน พร้อมทั้งทีมนักฟุตบอลร่วมงาน พร้อมกันนั้น ยังร่วมงานเลี้ยงขอบคุณแฟนบอล ในงาน “ฉลามชล คนกันเอง” ท่ามกลางแฟนบอล และพี่น้องประชาชนชาวชลบุรี ที่ให้ความสนใจเดินทางมาร่วมงานอย่างคับคั่ง โดยงานจัดขึ้น ณ ศรีราชา ฮอลล์ ชั้น 4 ศูนย์การค้า เซ็นทรัล ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

6 เรื่องควรรู้ก่อนลงทุนกองทุนรวม

30/04/2024

เปิด 6 เรื่องที่นักลงทุนควรรู้ก่อนลงทุนในกองทุนรวม สำหรับมือใหม่ หรือ มนุษย์เงินเดือน เมื่อเลือกที่จะเริ่มต้นลงทุนอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะสินทรัพย์ลงทุนบนโลกใบนี้มีหลากหลายประเภท ดังนั้นแล้ว กองทุนรวม จึงเป็นตัวหนึ่งทำให้ชีวิตการลงทุนง่ายขึ้น รู้จัก “กองทุนรวม (Mutual Fund)” คือ การระดมเงินลงทุนจากคนจำนวนมาก แล้วให้ “ผู้จัดการกองทุน” ที่เป็นมืออาชีพ และมีความเชี่ยวชาญในการลงทุน นำเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน และแบ่ง ผลตอบแทน กลับมาให้เรา เมื่อสามารถทำกำไรได้ ทำให้การลงทุนนั้นง่ายขึ้นมากในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม 6 เรื่องที่นักลงทุนควรรู้ ได้แก่ สำรวจตนเอง ก่อนจะลงทุนสิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือ การสำรวจตนเอง คือดูว่ารับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากหรือน้อยเพียงใด โดยการสำรวจความเสี่ยงนั้นสามารถทำได้โดยตอบแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงจากธนาคาร บลจ. หรือตัวแทนจำหน่ายที่ท่านเปิดบัญชีซื้อ-ขายกองทุนรวม อย่างไรก็ตาม บางท่านอาจรับความเสี่ยงได้ไม่ตรงกับแบบประเมินที่ทำก็เป็นได้ หากยังไม่เคยลงทุนจริง โดยในช่วงตอบแบบสอบถามสามารถรับความเสี่ยงได้สูง แต่เมื่อลงทุนกลับไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำ เนื่องจากจริตการลงทุนของแต่ลงคนแตกต่างกันไป ดังนั้นสำหรับมือใหม่แล้ว การลงทุนในครั้งแรกอาจใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มากเพื่อทดสอบความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ก่อนเพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น และสามารถเลือกลงทุนให้ตรงกับความเสี่ยงที่รับได้ในครั้งถัด ๆ ไป ดูนโยบายการลงทุน นโยบาย การลงทุน ในกองทุนรวมหลัก ๆ จะแบ่งเป็น 5 ประเภท 1. กองทุนรวมตลาดเงิน  : ลงทุนในเงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งภาครัฐและเอกชน ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจะต่ำที่สุดถ้าเทียบกับกองทุนในประเภทอื่น ๆ 2. กองทุนรวมตราสารหนี้ : ลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้บริษัทเอกชน มีความผันผวนมากขึ้น และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน ความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง 3. กองทุนรวมตราสารทุน  : ลงทุนในตราสารทุน หรือหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งในและนอกประเทศ ความเสี่ยงปานกลางถึงสูง มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงขึ้นเช่นเดียวกับพอร์ตการลงทุน 4. กองทุนรวมทางเลือก แบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่     •  กองทุนที่ลงทุนกองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า: ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า โดยนำเงินค่าเช่ามาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับผู้ลงทุน ความเสี่ยงปานกลาง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอ     •  ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ำมัน ทองคำ ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนผันผวนตามราคาโภคภัณฑ์ 5. กองทุนรวมผสม : ลงทุนในสินทรัพย์ตั้งแต่ข้อ 1-ข้อ 4 ผสมกัน สัดส่วนการลงทุนระหว่างสินทรัพย์ต่าง ๆ จะเป็นเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของกองทุน และการบริหารของผู้จัดการกองทุนนั้น ๆ ผลตอบแทนและความเสี่ยงขึ้นอยู่กับสัดส่วนการลงทุนของกองทุน ผลการดำเนินงานในอดีต ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นอีกส่วนหนึ่งที่นักลงทุนทั้งหน้าใหม่หน้าเก่านิยมดูก่อนการตัดสินใจลงทุนในกองทุนนั้น ๆ ผู้ลงทุนสามารถเปรียบเทียบกองทุนกับดัชนีมาตรฐานได้ดังนี้ เช่น     •  กองทุนหุ้นไทย เปรียบเทียบกับดัชนี SET Index TRI     •  กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลก เปรียบเทียบกับดัชนี MSCI World Index ค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมกองทุนก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญมาก ซึ่งอาจเป็นตัวที่ทำให้ผลตอบแทนน้อยลงไปกว่าที่ควรจะเป็น เพราะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาจ่ายค่าธรรมเนียม โดยค่าธรรมเนียมกองทุนนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ 1. ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยลงทุุน : เป็นค่าธรรมเนียมที่ถูกเรียกเก็บทันทีเมื่อเกิดธุรกรรมซื้อ หรือขายกองทุนรวม โดยมีค่าธรรมเนียมที่เราควรรู้จักดังนี้ a. ค่าธรรมเนียมขาย : จะถูกเรียกเก็บเมื่อซื้อหน่วยลงทุน b. ค่าธรรมเนียมซื้อ : จะถูกเรียกเก็บเมื่อขายคืนหน่วยลงทุน c. ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ : จะถูกเก็บเมื่อทำรายการซื้อและขายหน่วยลงทุน 2. ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม : ค่าธรรมเนียมนี้จะคิดเป็น % ของ NAV ต่อปี โดยจะคิดรวมในหน่วยลงทุน ดังนั้นแล้ว อัตราผลตอบแทนที่เห็นนั้นจะเป็นผลตอบแทนที่รวมค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนไว้แล้ว ไม่ต้องนำมาคำนวณแยกอีกครั้งหนึ่ง เงื่อนไขการซื้อ-ขาย กองทุนรวมแต่ละกองมีเงื่อนไขการลงทุนไม่เหมือนกัน จึงต้องศึกษาในรายละเอียด 1. เงื่อนไขการซื้อ a. จำนวนเงินซื้อขั้นต่ำในครั้งแรก และครั้งถัดไป b. ระยะเวลาในการรับคำสั่งซื้อ : เช่น 08.30-15.00 น. หรือบางกองทุนอาจไม่สามารถทำรายการซื้อได้ทุกวันทำการ จะมีตารางการขายที่เป็นการเฉพาะเจาะจงวันที่ c. วิธีการซื้อ : เช่น ตัด บัตรเครดิต ตัดบัญชี สับเปลี่ยนกองทุน จ่ายเช็ค เป็นต้น d. ช่องทางการซื้อ : เช่น ออนไลน์ สาขาของธนาคาร บลจ. ตัวแทนจำหน่าย 2. เงื่อนไขการขาย a. จำนวนเงินขั้นต่ำในการขายคืน b. ระยะเวลาในการรับคำสั่งขายคืนหน่วยลงทุน : เช่น 08.30-15.00 น. หรือบางกองทุนอาจไม่สามารถทำรายการขายคืนได้ทุกวันทำการ จะมีตารางการขายที่เป็นการเฉพาะเจาะจงวันที่ c. ระยะเวลารับเงินค่าขายคืนกองทุนรวม เช่น การชำระเงินค่าขายคืน T+4 จะได้รับเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนใน 4 วันทำการนับจากวันที่ขายคืน อย่างขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคือ วันศุกร์ หากไม่ติดวันหยุดใด ๆ d. ช่องทางการซื้อ : เช่น ออนไลน์ สาขาของธนาคาร บลจ. ตัวแทนจำหน่าย ตรวจสอบและติดตามอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าการลงทุนในกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนที่คอยปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ให้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรละเลยการติดตามการลงทุนอย่างน้อยทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี ก็กลับมาทบทวนพอร์ตการลงทุนซักครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ากองทุนที่ลงทุนอยู่ยังให้ผลตอบแทนอย่างที่คาดไว้ และหากสถานการณ์ตลาดหรือเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปก็สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ทันเวลา ก่อนที่เราจะไปลงทุนนั้น เราต้องรู้จักตัวเองให้ดีซะก่อน ดังนั้น ตอบคำถามตัวเองว่า วันนี้เราลงทุนเพื่ออะไร เรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน เพราะแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะบอกว่า กองทุนกองนี้ดี น่าลงทุน ให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงที่สูงกว่าระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ และเกินความเข้าใจของเรา เราก็ไม่ควรจะไปลงทุนโดยไม่ได้พิจารณาหรือศึกษาเพิ่มเติมให้ดีก่อน เพราะดีสำหรับเขา แต่อาจจะไม่ดีสำหรับเรา และไม่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์การลงทุนของเราก็ได้ และที่สำคัญที่สุดในโลกของการลงทุนก็คือ ประโยคที่ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง ข้อมูล : ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1369503

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

ทำไมเราจึงต้องซื้อประกันชีวิต ?

30/04/2024

คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงินผู้เขียน : Actuarial Business Solutions [ABS]ทำไมเราจึงต้องซื้อประกันชีวิต ? อย่างแรก เป็นการสร้างนิสัยของการออมเงินที่เหมาะสม การซื้อประกันชีวิตช่วยให้เราออมเงินได้อย่างสม่ำเสมอ เป็นการสร้างลักษณะนิสัยของการออมเงินที่ดี และช่วยให้แต่ละคนสามารถสร้างโครงการออมทรัพย์ของตัวเองได้ ผู้ถือกรมธรรม์จะได้รับการแจ้งให้ทราบว่า เมื่อถึงกำหนดที่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันและเมื่อไหร่ที่เขาจะได้เงินคืนในแต่ละช่วงเวลาจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญาของกรมธรรม์ โดยจัดเป็นเรื่องที่แน่นอน เช่น จำนวนเงินที่ฝาก ระยะเวลาที่จะต้องฝาก และจำนวนเงินที่จะมีเหลืออยู่ตลอดเวลาในแต่ละปี ถ้าหากว่าเรามีการออมเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากหลาย ๆ ที่และในขณะเดียวกันก็มีกรมธรรม์ประกันชีวิตด้วย จะสังเกตได้ว่าเมื่อเราต้องการใช้เงิน การเลือกที่จะปิดหรือถอนเงินออกมาจากกรมธรรม์ประกันชีวิต ควรจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อเทียบกับการถอนเงินจากบัญชีฝากออมทรัพย์อย่างที่สอง เป็นการลงทุนระยะยาว อีกแบบหนึ่งที่หาไม่ได้จากพันธบัตร และหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่จะมีแบบความคุ้มครองไปจนถึงเกษียณอายุหรือตลอดชีวิต ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาวอีกทั้งผลประโยชน์ที่ระบุไว้ในสัญญาก็เป็นสิ่งที่การันตีไว้อย่างดี และแอ็กชัวรี่ (actuary) ก็จะต้องตั้งวงเงินสำรองกรมธรรม์เพื่อให้บริษัทมีเงินเพียงพอ กับผลประโยชน์จ่ายคืนในอนาคตตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์คืนกลับมาอย่างแน่นอนอย่างที่สาม ข้อดีในด้านภาษี สำหรับคนที่ต้องเสียภาษี ก็จะทราบว่าการซื้อประกันชีวิตนั้นสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทันคิดว่า เงินคืน เงินปันผล หรือผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้จากกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นก็ให้ประโยชน์ทางด้านภาษีด้วยเพราะไม่ต้องถูกนำไปเสียภาษี พันธบัตรหรือหุ้นที่ซื้อขายในประเทศไทยนั้นจะต้องเสียภาษีไม่ตอนซื้อก็ตอนขาย หรือทั้งตอนซื้อ และตอนขาย ซึ่งรายละเอียดนั้นอาจจะสอบถามได้จากช่องทาง การจัดจำหน่ายของเครื่องมือการลงทุนในแต่ละประเภท นอกจากนี้ภาษีมรดกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามไปหรือไม่เคยได้วางแผนเอาไว้เลยดังนั้น ด้วยเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้น การซื้อประกันชีวิตนั้นถือได้ว่าเป็นมรดกที่ปลอดภาษีอย่างสุดท้าย การซื้อประกันชีวิตเป็นการลงทุนเพียงอย่างเดียวที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยง หรือบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดจากความเจ็บป่วยหรือความตาย และคำนวณไว้ล่วงหน้าว่าความเจ็บป่วยหรือความตายที่มีโอกาสมาเยือนได้ตลอดเวลา ก่อนที่ผู้ลงทุนจะสามารถสะสมรายได้ในจำนวนมากเพียงพอให้กับคนข้างหลังเพราะฉะนั้นแล้ว คนเราซื้อประกันชีวิต เพราะรู้ดีว่าคนเรานั้นเมื่อเกิดสักวันหนึ่งก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ “ทำลายพลังในการหาเงิน (earning power) ในภายภาคหน้า” ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังได้รับความเดือดร้อนทางการเงินอย่างไรก็ดีคำถามที่เจออยู่บ่อย ๆ ก็คือ “แล้วคนเราควรจะทำประกันชีวิตไว้ซักเท่าไรถึงจะพอ” ซึ่งคำตอบนั้นก็คงต้องกลับไปที่ concept เดิมที่ว่าการประกันชีวิตเป็นความคุ้มครองที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเวลา ซึ่งถ้าคิดว่าคนข้างหลังของคนที่เสียชีวิตไปนั้น จะใช้เวลา 3 ปีในการปรับตัวหลังจากการพลังในการหาเงิน (earning power) ได้หายไปนั่นหมายความว่า คนคนนั้นควรจะทำประกันชีวิตที่มีวงเงินคุ้มครอง เท่ากับรายได้ของคนคนนั้นถึง 3 ปี ดังนั้นคำตอบจึงไม่ตายตัว เพราะขึ้นกับคนซื้อประกันชีวิตว่ามีมุมมองอย่างไรต่อการปรับตัวของคนข้างหลังที่อาจได้รับความเดือดร้อน หากคนที่ซื้อประกันชีวิตต้องมีอันจากไปก่อนเวลาอันควรแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/breaking-news/news-1365647

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เงินล้านแรกหายาก แต่พอหาได้แล้ว ล้านถัดไปจะไม่ยาก

30/04/2024

"เงินล้านแรกหายาก แต่พอหาได้แล้ว ล้านถัดไปจะไม่ยาก" ตอบจากประสบการณ์ส่วนตัวผมนะ 1. ในมุมมอง ลูกจ้าง ผมว่าจริงนะ เงินล้านแรกหายากแน่ เพราะเงินเดือนเริ่มต้นยังน้อยครับ  ผมเองขนาดเริ่มทำงานตั้งแต่ 27 ปีก่อน เงินเดือนเริ่มต้น 15,500 บาท ในช่วงที่ค่าครองชีพไม่แพงมาก เช่น น้ำมันลิตรละ 10 บาท , ตั๋วหนังใบละ 100, บุฟเฟ่ต์ โรงแรมหัวละ 200 บาท ฯลฯ ผมเองก็ไม่ค่อยมีเงินเก็บ ไหนจะค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่ากินเที่ยว ค่าโทรศัพท์ ค่าเพจเจอร์ ให้พ่อแม่ และหนักๆคือ ค่าเรียนป.โท ที่ต้องจ่าย 190,000 บาทภายใน 3 ปี  ทำงานช่วงเงินเดือน 15,000-25,000 ช่วงเกือบ 7 ปีแรก ยังเก็บเงินล้านเองไม่ได้เลยครับ ต้องช่วงที่เรียนป.โทจบแล้ว เงินเดือนถึง 50,000 แล้ว นั่นแหละถึงจะเก็บได้  แต่ล้านต่อๆไป อาศัยประหยัดเอา แม้จะออมได้เร็วขึ้น แต่ก็ยังจัดว่าช้ากว่าเป้าหมายครับ จากปสก.ส่วนตัว การมี  -> รายได้จากการลงทุน -> รายได้แหล่งที่สอง 2nd sources of income  คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ของการเก็บเงินล้านต่อๆไปให้ได้เร็วอย่างแท้จริง 2. ในมุมมอง คนทำธุรกิจ การหาเงินล้านแรกมันยากแน่นอน เพราะเริ่มต้นทำธุรกิจมันยากแสนเข็ญ เงินทุนเอย หุ้นส่วนเอย คู่แข่งเอย ลูกค้าชักดาบเอย ฯลฯ ปัญหาล้านแปด อุปสรรคสารพัดที่จะเจอ  ล้มลุกคลุกคลาน ทำให้คนเริ่มธุรกิจ 10 คน ปีแรกก็เลิกทำไปเกือบครึ่ง อีก 5 ปี อาจจะเหลือคนยังทำอยู่ไม่เกิน 3 คน พอผ่านอุปสรรคช่วงแรกมาได้ เก็บชั่วโมงบินเยอะ  ก็จะหาเงินล้านได้ไม่ยาก  และพอมีทุน มีคอนเนคชั่น มีความเข้าใจลูกค้าและตลาด  เงินล้านต่อๆไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพื่อนผมที่รวยจากการทำธุรกิจก็มีครับ บทจะใช่แล้วขยายเร็วๆนี่ เปลี่ยนฐานะดีขึ้นแบบพุ่งๆเลย 3. ในมุมมอง นักลงทุน ล้านแรก หายากครับ ช่วงเริ่มต้นเราเริ่มจากเงินน้อย ต่อให้เริ่มที่ 1 ล้านบาทนะ ช่วงแรกๆ กำไร 5% เราก็ขายแล้ว นี่คือ 50,000 นะ เราอาจจะคิดว่าทำได้ 20 ครั้งต่อปีก็ล้านแล้ว แต่ความจริงมันไม่ง่าย ก่อนจะถึงตรงนั้นเราจะเจอหุ้นบางตัว -10-20% ก็เหี่ยวละจร้า ไหนจะวนในวงจรชีวิตเม่า ซื้อตามเพื่อน หาหุ้นเด็ด ชอบไล่ซื้อหุ้นร้อนแรง ชอบวิ่งตัดหน้าสิบล้อเก็บแบงค์ร้อย กำไร 3% ขาย ขาดทุน 30% ถือ ฯลฯ ลงทุนในหุ้นใหม่ๆ อย่าเพิ่งตั้งเป้าจะเอาเงินล้าน ลองซื้อขายจะรู้ว่า การรักษาเงินต้น 1 ล้านไม่ให้ลดลง แค่นี้ก็ยากแล้ว กว่าเราจะเข้าใจวิธีการลงทุน ที่ถูกจริต ตรงจังหวะชีวิต ทำซ้ำพิชิตกำไรได้หลายรอบ ก็ต้องใช้เวลาเป็นปีๆครับ  แต่ถ้าเจอเมื่อไหร่ การลงทุนจะสนุกมาก เหมือนเล่นเกมสงคราม มีวางแผน มีบุก มีถอย มีแกล้งตาย มีเรียกกำลังเสริม ฯลฯ เงินล้านแรกหายาก ล้านต่อไปไม่ยาก ผมว่า คำพูดนี้จริงครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับstock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5575

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

เงินค้างท่อรอจ่ายเจ้าหนี้โควิด 1,800 ล้าน กองทุนประกันฯ วอนรีบมารับคืน

30/04/2024

เงินค้างท่อรอจ่ายเจ้าหนี้โควิด 1,800 ล้านบาท จาก 4 บริษัท ปิดตัวเจ๊งเคลมโควิด “กองทุนประกันวินาศภัย” วอนรีบมารับคืน เปิดแผน 3 ปี เดินหน้าหาเงินจ่ายเจ้าหนี้ “กู้เงินหมื่นล้าน-ระดมทุนออกบอนด์ 3 หมื่นล้าน-ประสานรัฐสนับสนุนเงิน-เสนอบอร์ด คปภ.ปรับโครงสร้างหนี้-แก้กฎหมายเพิ่มเงินสมทบรองรับวิกฤต” เปิดตัวไลน์ @GIFSMART เพิ่มความสะดวก ยืนยันสิทธิรับเงิน จ่ายภายใน 60 วันวันที่ 9 สิงหาคม 2566 นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพิกถอนใบอนุญาต 4 บริษัทประกันวินาศภัย จากปัญหาขาดทุนจากการจ่ายเคลมสินไหมประกันภัยโควิด ประกอบด้วย 1. เอเชียประกันภัย 1950 2. เดอะวันประกันภัย 3. อาคเนย์ประกันภัย และ 4. ไทยประกันภัยกองทุนในฐานะผู้ชำระบัญชี พิจารณาคำทวงหนี้ และต้องจ่ายเงินให้เจ้าหนี้ที่เกิดจากการเอาประกันภัยของบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตนั้น จากมูลหนี้ตามสัญญาประกันภัยของ 4 บริษัท ที่ปิดตัวไป มีอยู่ทั้งหมด 54,000 ล้านบาท จำนวน 690,000 รายชนะพล มหาวงษ์ขณะนี้กองทุนได้ทยอยจ่ายหนี้ไปได้ราว 6,000 รายต่อเดือน คิดเป็นวงเงินประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยบริษัทเอเชียประกันภัย 1950 และบริษัทเดอะวันประกันภัย ได้เริ่มดำเนินการพิจารณาคำทวงหนี้และอนุมัติจ่ายเงินมาตั้งแต่ปลายปี 2564 ส่วนบริษัทอาคเนย์ประกันภัยและบริษัทไทยประกันภัย เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือน ก.ค. 2565เงินค้างท่อ 1,800 ล้านกองทุนได้พิจารณาคำทวงหนี้ของบริษัทเอเชียประกันภัย 1950 ไปแล้วกว่า 16,000 ราย บริษัทเดอะวันประกันภัย จำนวน 15,000 ราย บริษัทไทยประกันภัย จำนวน 12,000 ราย ส่วนบริษัทอาคเนย์ประกันภัย จำนวน 18,000-20,000 ราย ทั้งนี้ เนื่องจากจำนวนคำทวงหนี้ที่ยื่นเข้ามาค่อนข้างมากในแต่ละเดือน จึงมีการอนุมัติสูงกว่าบริษัทอื่นอย่างไรก็ดี ขณะนี้พบว่ามีเงินค้างท่อรอการจ่ายคืนเจ้าหนี้อยู่กว่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุจากการไม่ได้รับจดหมาย หรือยังไม่ได้เข้ามายืนยันสิทธิเปิดแผน 3 ปี กองทุนประกันวินาศภัยทั้งนี้ สำหรับแผนงานของกองทุนในปี 2566 คาดว่าจะใช้เงินจ่ายหนี้เป็นไปตามแผน หรือประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการจ่ายเงินออกไปหมดหน้าตักของกองทุนที่มีอยู่จึงได้มีการวางแผนงานสำหรับปี 2567-2569 คือ 1.ได้ปรับเงินสมทบเข้ากองทุน จากเดิม 0.25% เป็น 0.5% ของเบี้ยรับในแต่ละไตรมาสจากบริษัทประกันวินาศภัย ซึ่งบอร์ด คปภ.ได้อนุมัติให้เรียบร้อยแล้ว ทำให้รายได้กองทุนจะขยับจาก 600 ล้านบาทต่อปี เป็น 1,300 ล้านบาทต่อปี2. กองทุนกำลังจะประสานส่งแผนกู้เงินกับสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพื่อนำมาจ่ายหนี้ คาดว่าปี 2567 ตามฐานรายได้ของกองทุน น่าจะกู้เงินได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้เจรจาดอกเบี้ยไปแล้ว 1 ธนาคาร เหลืออีก 1 ธนาคาร โดยมีหลักประกันคือ 1.ความเป็นหน่วยงานของรัฐ 2.มีกฎหมายกำหนดเรื่องรายได้ชัดเจน 3.มีระเบียบวินัยการเงินการคลังที่ชัดเจนมาก3. กำลังประสานงานขอให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนเงินตามเงื่อนไขกฎหมาย ซึ่งต้องรอว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเป็นใคร 4. กองทุนจะออกตราสารทางการเงิน วงเงิน 2-3 หมื่นล้านบาท เพื่อให้บริษัทประกันภัยเข้าช่วยซื้อ และสามารถนำไปดำรงเป็นเงินกองทุนได้ โดยจะมีการปรับปรุงเงื่อนไขรองรับตรงนี้5. เสนอบอร์ด คปภ.ขอปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งประเด็นนี้ยังไม่หลักเกณฑ์/วิธีการรองรับ แต่คงจะต้องไปหารือกันต่อไป เนื่องจากมีการพูดคุยกับเจ้าหนี้บางรายที่มาขอรับชำระหนี้ มี 4 กรมธรรม์ กรมธรรม์ละ 100,000 บาท เขาก็ได้มีการเสนอว่าจะขอคืนแค่ครึ่งเดียวมีความเป็นไปได้ไหม ขอให้รัฐจ่ายคืนแค่ 2 แสนบาท แต่มีเงื่อนไขว่าต้องจ่ายภายใน 1 เดือน เป็นต้น“แนวทางนี้ถ้าทำได้จริง กองทุนต้องเตรียมการสภาพคล่องให้เพียงพอในการจ่ายหนี้คืน เพื่อให้เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”6. ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพิ่มอัตราเงินสมทบ จากระดับ 0.5% ขยับเป็น 2% เพื่อเพิ่มรายได้ให้กองทุน ขยับเป็น 5,000-6,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งช่วยเป็นฐานรายได้ของกองทุนสูงขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการกู้เงินกับธนาคาร แต่ทั้งนี้เป็นเงื่อนไขบังคับชั่วคราว เพื่อรองรับสำหรับยามวิกฤตเปิดตัวไลน์ @GIFSMARTล่าสุดกองทุนได้เปิดตัวแอปพลิเคชั่น LINE Official Account “@GIFSMART” เพื่อให้บริการแก่ประชาชนได้รับทราบข้อมูลและสามารถติดตามสถานะการยื่นขอคำร้องขอรับชำระหนี้ สามารถยืนยันตัวตนตรวจสอบความถูกต้องกับข้อมูลทะเบียนราษฎร มีแจ้งเตือนสถานะของคำทวงหนี้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสถานะคำขอและเจ้าหนี้สามารถยืนยันสิทธิรับเงินผ่านไลน์ได้ โดยไม่ต้องเดินทางมายื่นเอกสารด้วยตนเอง เมื่อทำการเพิ่มเพื่อนเข้ามาในไลน์ @GIFSMART แล้วจะเป็นการเริ่มทำการลงทะเบียน ระบบจะขอให้ถ่ายรูปหน้า-หลังบัตรประชาชน และถ่ายรูปคู่กับบัตรประชาชน เพื่อนำส่งข้อมูลไปตรวจสอบความถูกต้องกับกรมการปกครองต่อไปแต่เมื่อข้อมูลถูกพิสูจน์แล้วว่าผู้ลงทะเบียนเป็นเจ้าของบัตรประชาชนจริง จึงจะอนุญาตให้สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อยืนยันสิทธิรับเงินได้ ในกรณีที่คำขอของบุคคลนั้นได้รับการอนุมัติจ่ายเงินแล้วกองทุนจะให้เลือกรับเงินผ่านพร้อมเพย์ตามหมายเลขบัตรประชาชน และผ่านบัญชีธนาคาร ซึ่งต้องแนบหน้าสมุดบัญชีมาให้กองทุน โดยกองทุนจะโอนเงินให้เจ้าหนี้ภายใน 60 วันทำการ“เราได้พัฒนาช่องทางแอปพลิเคชั่นไลน์เสร็จเมื่อ 3-4 เดือนที่แล้ว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วให้กับประชาชนรับทราบถึงสิทธิและขั้นตอนต่าง ๆ พร้อมกับเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจประกันภัย หลังจากบริษัทประกันภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาตไปแล้ว”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1366686

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

หลังเลิกงาน-วันหยุด มหาเศรษฐีอย่าง ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ทำอะไร

30/04/2024

ส่อง 5 กิจวัตรที่มหาเศรษฐีนักลงทุน “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ชอบทำหลังเลิกงาน-วันหยุด ตั้งแต่ อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย เล่นไพ่ ไปจนถึง เล่นอูคูเลเล่และแต่งเพลง ชื่อของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” มหาเศรษฐีนักลงทุน เจ้าของบริษัท เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ (Berkshire Hathaway) กลุ่มโฮลดิ้งส์ข้ามชาติ จากอเมริกา คงเป็นชื่อที่น้อยคนจะไม่รู้จัก เพราะเขาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในด้านธุรกิจ การลงทุน และ “นักบริจาคเงินเพื่อการกุศล” ตัวยงแล้ว และยังเป็นบุคคลที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 3 ของโลก จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส แต่แม้จะร่ำรวยและมั่งคั่งแค่ไหน นิสัยของการประหยัดอดออม ก็เป็นอีกหนึ่ง “นิยาม” ของตัวเขา โดยที่ผ่านมา นิตยสารนับไม่ถ้วน ทั้ง Motley Fool, The Wall Street Journal และ Business Insider มีโอกาสได้เข้าไปสัมภาษณ์บัฟเฟตต์ และตีพิมพ์เส้นทางความร่ำรวยของเข้า แต่ที่น่าแปลกใจ คือไม่เคยมีบทความไหนเคยเขียนเลยว่า เขาใช้เวลาว่างส่วนใหญ่หลังเลิกงานทำอะไร? จริงๆ บัฟเฟตต์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า งานอดิเรกที่เขาชอบทำนั้น เป็นกิจกรรมที่ล้วนมีผลกับธุรกิจของเขามากพอสมควร และน่าเสียดายที่ในโลกแห่งการแข่งขันและโลกของธุรกิจ ผู้คนส่วนใหญ่มักให้ความสนใจกับการบริหารงานของเขา มากกว่างานอดิเรกที่เขาทำหลังเลิกงานเสียอีก ดังนั้น ทั้ง 5 ข้อด้านล่างคือกิจกรรมหลังเลิกงานที่มหาเศรษฐีอย่างบัฟเฟตต์ชอบทำ จากการรวบรวมข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ของเขาจำนวนมาก1. อ่านหนังสือ 500 หน้า งานวิจัยจำนวนมากเผยว่าหากเราต้องการมีความรู้และฉลาดมากขึ้น เราควรเพิ่ม “อาหารสมอง” ให้ตัวเองด้วยการอ่านหนังสือวันละ 500 หน้าและก็เป็นไปตามที่คิดว่า บัฟเฟตต์ก็ใช้เวลากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของวันไปกับการอ่านหนังสือในที่ทำงาน โดยอ่านหนังสือหลากหลายประเภท ทั้งหนังสือเกี่ยวกับการเงินและบรรดานิตยสารต่างๆ รวมทั้งใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือพิมพ์หรือหนังสืออื่นๆ หลังเลิกงานด้วย “ผมใช้เวลาในการอ่านและการคิดให้มากขึ้น และใช้เวลาในตัดสินใจสิ่งต่างๆให้ช้ากว่านักธุรกิจส่วนใหญ่”  2. ออกกำลังกายบ้าง บัฟเฟตต์ เล่าความลับของเขาให้ฟังว่า มักจะตามใจตัวเองในเรื่องการกิน โดยกินอาหารทุกอย่างที่อยากกิน ซึ่งเขาดื่มโค้กวันละ 5 กระป๋อง (เพราะเขาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนบริษัท Coca) นอกจากนี้ แฮมเบอร์เกอร์ สเต๊ก มันบด และรูทเบียร์ ก็เป็นอาหารอันโอชะที่เขาชอบกินอีกด้วย โดยในปี 2550 แพทย์กำชับและแนะนำกับเขาว่า ถ้าเขาอยากจะมีชีวิตที่ยืนยาวและร่างกายที่แข็งแรงนั้น “ต้องเลือกว่าจะออกกำลังกาย หรือทานอาหารที่ดี” จนท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะออกกำลังกายแทนการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ น่าสนใจว่า ในปี 2558  แพทย์ตรวจพบว่าบัฟเฟตต์เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่ทุกวันนี้เขาก็ยังดูสุขภาพดีทุกครั้งที่ออกมาให้สัมภาษณ์ 3. ทำตัวให้มีความสุข บัฟเฟตต์นับเป็นหนึ่งคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โดยหลายคนเรียกเขาว่าเป็น “นักบุญที่ยิ่งใหญ่” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาต้องการเดินตามเส้นทางของฮีโร่ในดวงใจอย่าง ชัค ฟีนีย์ (Chuck Feeney) นักธุรกิจและนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ที่สละทรัพย์สินในบั้นปลายชีวิต “หากคุณเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของมวลมนุษย์ที่โชคดีที่สุด แปลว่าคุณต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนอีก 99 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ” นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ก็ยังมีชื่อเสียงด้าน “ความพอมีพอกิน” เช่นกัน โดยเขาใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย และอยู่บ้านหลักเดิมที่ซื้อมาเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว  อีกทั้งเขาเองก็มักจะดูแลลูกค้าด้วยมื้ออาหารจาก “แมคโดนัลด์” เท่านั้น 4. เล่นเกมที่ต้องใช้ความอดทน มหาเศรษฐีผู้นี้ชอบเล่นเกมมาก แต่ต้องเป็นเกมที่ต้องใช้ความคิดและเกมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเพราะช่วยให้เขาได้ลองฝึกใช้สมองและความคิดก่อนลงสนามจริง ที่สำคัญเขายังชอบเล่น ไพ่บริดจ์ อีกด้วย โดยที่ผ่านมา เขาเคยจ่ายเงินกว่า 7 เหรียญ ที่ Omaha strip mall เพื่อพยายามล้มแชมป์เก่า จากนั้นบัฟเฟตต์จึงออกมากล่าวว่า “ไพ่บริดจ์เป็นเกมที่ใช้สมองฝึกสมองได้ดีทีเดียว เพราะนอกจากจะได้เจอและแก้ไขสถานการณ์ใหม่ๆ ทุก 10 นาทีแล้ว เรายังต้องฝึกใช้สมองเพื่อคิดคำนวณตลอดการเล่นด้วย” 5. ทำงานอดิเรกที่ชอบ บัฟเฟตต์รักงานอดิเรกของตัวเองมาก โดยคุณคงไม่เชื่อแน่นอนว่า เขารักการเล่นอูคูเลเล่มาก จนกระทั่งสามารถแต่งเพลงให้ตัวเอง และร้องประสานเสียงกับบอนโจวี (Bon Jovi) เป็นวงฮาร์ดร็อกจาก นิวเจอร์ซี  อีกทั้งเพลงนี้ยังปรากฏอยู่ในโฆษณา Coca ที่บัฟเฟตต์เป็นหุ้นส่วนอีกด้วย หลังจากนั้น บัฟเฟตต์จึงนำรายได้จากการเล่นเพลงของตัวเองกับวงดนตรีดังกล่าวไปบริจาคให้กับการกุศล อ้างอิง Entrepreneur แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/social/1080763

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

คปภ.ปลดล็อก “ประกันสูงวัย” กรมธรรม์แบบใหม่ไม่ต้อง “แถลงสุขภาพ”

30/04/2024

ผู้สูงอายุเฮ ! คปภ.ไฟเขียวบริษัทประกันขายกรมธรรม์ใหม่ “ไม่ต้องแถลงสุขภาพ” ระบุคุ้มครองทั้งกรณี “เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ-ค่ารักษาพยาบาลจาก 9 โรคร้ายแรง” ปลดล็อกแก้ปัญหา “สูงวัย” ถูกปฏิเสธทำประกันสุขภาพ/จ่ายเบี้ยแพงนายอาภากร ปานเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำนักงาน คปภ.ได้สำรวจข้อคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทั้งโรงพยาบาลเอกชน ตัวแทนนายหน้า บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย เกี่ยวกับการดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มผู้สูงอายุจะมีประเด็นปัญหาขอทำประกันสุขภาพได้ค่อนข้างยาก หรือมักจะถูกบริษัทปฏิเสธการรับประกันสุขภาพ เนื่องจากผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัวรวมทั้งสัญญาประกันสุขภาพแบบมาตรฐานใหม่ เป็นสัญญาที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกโรค จึงส่งผลให้เบี้ยประกันค่อนข้างแพง และบริษัทประกันก็ยังไม่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่ออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุอาภากร ปานเลิศโดยจากการสำรวจความคิดเห็น พบว่าประเด็นปัญหาหลัก ๆ มีอยู่ 7 เรื่องคือ 1.ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาสุขภาพ หรือมีโรคประจำตัว ส่งผลให้เบี้ยประกันมีราคาสูง และติดปัญหาในการผ่านเกณฑ์การพิจารณารับประกัน 2.การการันตีการรับประกันสุขภาพ ส่งผลให้บริษัทต้องเข้มงวดในการพิจารณารับประกัน และต้องกำหนดอัตราเบี้ยประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงระยะยาว3.ผู้สูงอายุมักจะปกปิดข้อมูลสุขภาพ ไม่แถลงข้อมูลสุขภาพ หรือแถลงไม่ครบ ซึ่งอาจเข้าเงื่อนไขให้ถูกปฏิเสธการทำประกันสุขภาพ 4.บริษัทมีข้อมูลสถิติการทำประกันสุขภาพผู้สูงอายุค่อนข้างน้อย เพราะมีการทำประกันสุขภาพกันน้อย จึงไม่สามารถอ้างอิงข้อมูลสถิติการรับประกันเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุได้5.อัตราเงินเฟ้อ ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก 6.ปัญหาเรื่องการเปิดเผยประวัติของลูกค้า และความร่วมมือของโรงพยาบาลในการอำนวยความสะดวกกับลูกค้าในการเปิดเผยประวัติ และ 7.การทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันชีวิต ต้องมีความคุ้มครองการเสียชีวิต ทำให้ผู้สูงอายุต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันในส่วนนี้ค่อนข้างมาก“จากการประชุมหารือร่วมกับคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ของสำนักงาน คปภ. ได้ข้อสรุปว่า ควรจัดทำเป็นกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากโรคร้ายแรง ส่วนบุคคล สำหรับผู้สูงอายุ แบบไม่ต้องแถลงสุขภาพโดยกำหนดเป็นกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ เพื่อให้เสนอขายได้ทั้งบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย โดยไม่จำเป็นต้องซื้อประกันชีวิต (สัญญาหลัก) ก่อน และกำหนดแผนความคุ้มครอง ที่มุ่งเน้นเฉพาะกลุ่มโรคร้ายแรงสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้เบี้ยประกันลดลง”โดยแผนความคุ้มครองจะมีกลุ่มโรคร้ายแรง 9 รายการ ได้แก่ 1.มะเร็ง 2.หลอดเลือดหัวใจตีบที่รักษาด้วยการสวนหลอดเลือดหัวใจ 3.เส้นเลือดหัวใจตีบ 4.การผ่าตัดเส้นเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ 5.กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน 6.ไตเรื้อรัง 7.การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ หรือการปลูกถ่ายไขกระดูก 8.หลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน และ 9.เนื้องอกในสมองชนิดที่ไม่ใช่มะเร็งและเนื่องจากเป็นการพิจารณารับประกันแบบไม่ต้องตรวจสุขภาพ จึงกำหนดให้มีระยะเวลารอคอย (waiting period) 180 วัน ซึ่งในเงื่อนไขสัญญาประกันสุขภาพแบบมาตรฐาน ให้กำหนด waiting period ที่ 30 วัน หรือ 120 วัน สำหรับบางโรค“ปัจจุบัน เรื่องนี้ได้เสนอให้ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. ในฐานะนายทะเบียน ลงนามออกประกาศไปแล้ว เมื่อเดือน ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา”นายอาภากรกล่าวอีกว่า คณะอนุกรรมการกำกับและพัฒนาธุรกิจประกันภัย มีข้อเสนอแนะว่า กรมธรรม์ดังกล่าวให้ความคุ้มครอง เฉพาะกรณีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยโรคร้ายแรงครั้งแรกซึ่งไม่ครอบคลุมกับกลุ่มผู้สูงอายุที่เคยป่วยเป็นโรคร้ายแรงมาก่อนการทำประกัน ซึ่งปัจจุบันรักษาหายแล้ว หรือได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าโรคอยู่ในภาวะสงบแล้ว จึงมอบหมายให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมกรณีดังกล่าวด้วย“ตอนนี้ คปภ.ก็อยู่ระหว่างเสนอร่างกรมธรรม์ลักษณะเดียวกัน แต่เป็นแบบที่ต้องแถลงสุขภาพ เพื่อให้ครอบคลุมผู้สูงวัยทั้งหมด คาดว่าจะเร่งดำเนินการออกคำสั่งนายทะเบียนภายในเดือน ส.ค.นี้ แต่ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีกี่บริษัทประกันที่สนใจ เพราะโดยปกติแล้ว ทางบริษัทประกันมักจะเริ่มพูดคุยกันภายหลังจากออกคำสั่งไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนออกแบบได้มีการพูดคุยกับทุกบริษัทแล้ว” นายอาภากรกล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1365622

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X