คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ภาษี

กองทุนลดหย่อนภาษี : ซื้อขายอย่างไร ไม่ให้ผิดเงื่อนไขกรมสรรพากร

30/04/2024

ปลายปีแบบนี้ หลายคนกำลังมองหาทางเลือกลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมกันอยู่ใช่ไหม ? ซึ่งทางเลือกที่ค่อนข้างได้รับความนิยมคือการซื้อกองทุนรวม RMF ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ยิ่งภาวะตลาดแบบนี้ก็น่าจะจูงใจให้หลายคนเลือกลดหย่อนภาษีจากกองทุนรวม เพราะเหมือนซื้อของถูกราวกับแปะป้ายเซลสีแดง ๆ ไว้ แต่อย่าลืม!! ข้อสำคัญของการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีที่จะมีเงื่อนไขอยู่พอสมควร เพราะกรมสรรพากรเขาให้สิทธิประโยชน์นี้ก็เพื่อส่งเสริมให้คนไทยออมเพื่อเกษียณกันให้มากขึ้น บทความนี้เราจะมา BRIEF ให้ฟังว่า หากจะซื้อขายกองทุน RMF ต้องทำอย่างไรไม่ให้ผิดเงื่อนไขภาษี และหากเผลอทำผิดเงื่อนไขไปแล้ว เราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ไปดูกันเลย! รายละเอียดและเงื่อนไขของ RMF กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ Retirement Mutual Fund (RMF) สามารถลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยเงื่อนไขคือต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี ขายคืนได้เมื่ออายุ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้ เมื่อคำนวณจำนวนลดหย่อนภาษีของ RMF รวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ  แล้วจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท ยกตัวอย่าง เรามีการลดหย่อนภาษีอื่น ๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพและซื้อประกันบำนาญไปแล้วประมาณ 200,00 บาท เราก็อาจจะซื้อกองทุนรวม RMF ได้ที่ 300,000 บาท เพื่อให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ถ้าอยากลงทุนอยู่แล้ว โดยไม่ได้สนใจเรื่องการลดหย่อนภาษีมากนัก ก็สามารถซื้อเกินกว่าจำนวนดังกล่าวได้ จะเป็นอย่างไร ? เมื่อทำผิดเงื่อนไขของ RMF 1. ถือครองไม่ครบ 5 ปี และขายก่อนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ : เราจะต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับการลดหย่อน 5 ปีย้อนหลัง และกำไรจากการลงทุนที่ต้องนำมาเสียภาษี 2. ถือครองมาเกิน 5 ปี แต่ขายคืนก่อนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ : เราจะต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับการลดหย่อน 5 ปีย้อนหลัง ส่วนกำไรจากการลงทุนจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี 3. ซื้อ RMF เกินสิทธิ์ ไม่ว่าจะเกิน 30% ของเงินได้ หรือซื้อเกิน 500,000 บาท : ในส่วนของกำไรจากส่วนที่ซื้อเกินสิทธิ์ เราจะต้องเสียภาษีเมื่อขายคืน 4. ซื้อไม่ต่อเนื่อง เพราะ RMF มีเงื่อนไขซื้อต่อเนื่องทุกปี เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี หากขาดติดต่อกัน 2 ปี จะถือว่าผิดเงื่อนไข : เราจะต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับการลดหย่อน 5 ปีย้อนหลัง    ㆍทั้งนี้ มีประเด็นหนึ่งที่อาจจะมีหลายคนเข้าใจผิดว่า การซื้อต่อเนื่องจะนับตามปีไปเรื่อย ๆ เช่น ในช่วง 5 ปี เราซื้อ 3 ครั้ง แล้วขายได้ เพราะถือมา 5 ปีแล้ว แต่ความจริงจะนับเฉพาะปีที่ซื้อเท่านั้น เช่น หากเริ่มซื้อตอนอายุ 50 ปี และพยายามซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่ลืมซื้อไป 1 ปี ระบบจะนับให้เพียง 4 ปีเท่านั้น หากอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ แล้วขายออก เพราะคิดว่าซื้อต่อเนื่องมา 5 ปีแล้ว อาจจะผิดเงื่อนไขภาษีได้ 5. ไม่ได้แจ้งความประสงค์ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี    ㆍเงื่อนไขนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ที่กรมสรรพากรได้กำหนดให้ผู้ที่ซื้อ RMF และ SSF ที่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต้องแจ้งความประสงค์ ไปยัง บลจ. ที่ซื้อหน่วยลงทุนให้ครบทุกแห่งภายในวันทำการสุดท้ายของปี เพื่อให้ บลจ. นำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยตรง แทนการที่เราต้องยื่นเอกสารเอง ทั้งนี้ หากเราไม่แจ้งความประสงค์ก็อาจใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีไม่ได้ แต่เรื่องดีก็คือ เราแจ้งเพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้ได้ตลอดไป ไม่ต้องแจ้งทุกปี อย่างไรก็ตาม การซื้อกองทุนรวม RMF มีประโยชน์เรื่องการลดหย่อนเป็นสิ่งที่เสริมเข้ามา แต่ประโยชน์ที่แท้จริงคือ เรากำลังเก็บเงินสำหรับไว้ใช้เมื่อเกษียณกันอยู่ ฉะนั้น แค่ซื้อเพื่อลดหย่อนยังไม่พอ โดยก่อนที่จะซื้อกองทุนรวม RMF อาจจะต้องเลือกกองทุนที่มีนโยบายที่ดี มีอนาคตที่จะเติบโต เพื่อให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อไว้ใช้ยามเกษียณได้แบบชิว ๆ ที่มา : ก.ล.ต. พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับbeartaihttps://www.beartai.com/brief/1335329

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

สร้างฝันวันเกษียณด้วยหลักการ 3 ป.

30/04/2024

บทความโดย “ศุทธวีร์ มงคลสินธุ์”  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 การเกษียณอายุเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิต ซึ่งต้องมีการวางแผนและเตรียมการอย่างรอบคอบเพื่อให้แน่ใจว่า เมื่อเวลานั้นมาถึงเราจะได้มีความพร้อมอย่างรอบด้าน สำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ สำหรับด้านการลงทุนเพื่อการเกษียณแล้วนอกจากจะมี “แผนการ” ที่ดีแล้ว สิ่งที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ “การลงมือปฏิบัติ” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ คำว่าบรรลุเป้าหมายสำหรับการลงทุนเพื่อการเกษียณนั้น อาจหมายถึงการมีเงินเพียงพอ ที่จะใช้เพื่อดำรงชีพไปตลอด จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ซึ่งการวางแผนการเกษียณ และการลงมือทำอย่างมีหลักการจะช่วยให้เรามีความพร้อมทางด้านการเงิน ซึ่งมีส่วนสำคัญจะส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี วันนี้ผมจะขอนำหลักการ 3 ป. ซึ่งเป็นหลักการบริหารที่สามารถใช้ได้ทั้งในระดับองค์กรและระดับบุคคล มาประยุกต์ใช้กับการวางแผนการเกษียณ ซึ่งหลัก 3 ป. นั้น ประกอบไปด้วย ป.ประสิทธิผล ป.ประสิทธิภาพ และ ป.ประหยัด ซึ่งหลักการเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้าง ทำให้สามารถสร้างฝันวันเกษียณได้อย่าง มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมีรายละเอียดดังนี้ ป.ประสิทธิผล ประสิทธิผล (Effectiveness) นั้นหมายถึง การบรรลุผลหรือเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ เมื่อมามองในด้านการวางแผนเกษียณแล้ว ประสิทธิผลเกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทาง เพื่อให้มั่นใจว่า เมื่อถึงวันเกษียณควรจะต้องมีรายได้หลังเกษียณ (Retirement Income) และแหล่งการลงทุนต่าง ๆ เพียงพอที่จะดำรงชีวิตในช่วงเกษียณอายุ ขั้นตอนแรกสู่การบรรลุประสิทธิผล คือ การกำหนดเป้าหมายการเกษียณของตัวเอง โดยเป้าหมายจะเป็นทิศทาง (Direction) ให้เห็นแนวทางในการเริ่มต้นลงมือทำ และเริ่มจัดการกับอุปสรรคที่จะทำให้ความฝันวันเกษียณไม่ราบรื่น สำหรับเป้าหมายในด้านการเกษียณนั้น ผมจะขอแบ่งเป็นประเด็นสำคัญ 3 ประการ ที่จะทำให้เป้าหมายมีความชัดเจนมากขึ้น ดังนี้ ประเด็นแรก “เวลา” โดยคำถามสำคัญ คือ เราต้องการเกษียณในช่วงอายุใด และจะมีระยะเวลาหลังเกษียณอยู่อีกนานเท่าใด (อาจประมาณจากอายุเฉลี่ยของสมาชิกในครอบครัว) สำหรับความเสี่ยงจากประเด็นด้านเวลา คือ อายุยืนเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ (Longevity Risk) ทำให้เงินที่เตรียมไว้อาจไม่เพียงพอ ดังนั้นในการวางแผนเกษียณควรจะเผื่อเวลาให้อายุยืนยาวออกไปหน่อย ประเด็นที่สอง คือ “ค่าใช้จ่าย” คำถามประเด็นนี้ คือ ในช่วงเวลาหลังเกษียณเราจะใช้เงินทั้งหมดประมาณเท่าไร ซึ่งเป็นการประมาณค่าใช้จ่ายในช่วงวัยเกษียณควรจะต้องคำนึงถึง เงินเฟ้อ ภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่อาจคาดไม่ถึง เช่น ค่าซ่อมแซมบ้าน ดูแลรถยนต์ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่าง ๆ ประเด็นที่สาม “รายได้” แหล่งที่มาของรายได้หลังเกษียณของเรามีอะไรบ้าง ซึ่งอาจมีรายได้จาก เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ บำนาญจากประกันสังคม บำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินจาก กบข. และเงินออมส่วนบุคคลต่างๆ เป็นต้น สิ่งที่ต้องพิจารณา คือ จะบริหารเงินลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนจากเงินเหล่านี้ได้อย่างไร และในกรณีที่ยังต้องการทำงานอยู่ อาจเลือกงานที่มีชั่วโมงทำงานลดน้อยลง เพื่อให้มรายได้จากการทำงานอย่างต่อเนื่อง สำหรับท่านใดที่ต้องการวางเป้าหมายการเงินอย่างครอบคลุม อาจพิจารณาปรึกษานักวางแผนการเงิน ร่วมกันกำหนดเป้าหมาย เพื่อเพิ่มโอกาสให้เป้าหมายได้มี ป.ประสิทธิผล ป.ประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึงการบรรลุผลตามที่ตั้งใจไว้โดยสิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยและได้ผลกลับมามาก สำหรับด้านการวางแผนเกษียณ และการลงมือปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพนั้น เกี่ยวข้องกับการลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเกษียณอายุ และเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้มากขึ้น วิธีหนึ่งในการบรรลุประสิทธิภาพ คือ การบริหารภาษีโดยใช้สิทธิ การลงทุนที่สามารถนำมาเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะทำให้การลงทุนเพื่อการเกษียณอายุมีประสิทธิภาพ เช่น หากเป็นข้าราชการให้พิจารณาเลือกใช้ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สำหรับพนักงานเอกชน แนะนำให้พิจารณากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) เป็นลำดับต้น ๆ ซึ่งนอกจากจะลดหย่อนภาษีได้แล้ว การลงทุนเหล่านี้นับว่าเป็นการสร้างวินัยอัตโนมัติให้กับตัวเรา หลังจากนั้นหากมีเงินเหลือ พิจารณาลงทุนใน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)โดยอาจปรึกษานักวางแผนทางการเงิน ในการเลือกแผนการลงทุน การเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนต่างๆ เช่น การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน (Asset Allocation) และการกระจายความเสี่ยง (Diversification) เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว ป.ประหยัด การประหยัด (Economy) หมายถึง การบรรลุผลตามที่ตั้งใจไว้โดยใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า มีความยับยั้งชั่งใน ใช้จ่ายอย่างเหมาะสมกับฐานะ และหากมองในด้านการเกษียณ การประหยัดนั้นเกี่ยวข้องกับการลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านการใช้ชีวิต โดยอาจจะถามตัวเองก่อนใช้จ่ายว่า สิ่งที่เราจะซื้อนี้เป็นสิ่งจำเป็นหรืออยากได้ แล้วถึงค่อยตัดสินใจซื้อสิ่งนั้น และในการประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านการลงทุน ซึ่งหมายถึง การเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีต้นทุนไม่สูงนัก กองทุนรวมที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ เช่น กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) และในกรณีซื้อขายหลักทรัพย์ก็ควรต้องระวังค่าธรรมเนียมด้วยเช่นกัน โดยสรุป หลักการทั้ง 3 ป. นั้น ได้แก่ ป. ประสิทธิผลเป็นหลักการที่มีนำหนักและสำคัญที่สุด เป็นเป้าหมายปลายทางที่ต้องเพียรพยายามเพื่อให้บรรลุผล นั่นคือการมีเงินเพียงพอที่จะใช้ดำรงชีวิตในยามเกษียณได้อย่างมีคุณภาพ สำหรับ ป.ประสิทธิภาพ คือ กระบวนการระหว่างทางที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมาย โดยหลัก ป.ประหยัดจะคอยเสริมสร้างความแข็งแกร่งแผนการเงินได้ในทุกช่วงวัย และเมื่อนำสามหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ก็จะส่งเสริมให้ผู้ที่นำไปปฏิบัติประสบความสำเร็จในการเกษียณ เรียกได้ว่าจะเกษียณอย่างเกษมแน่นอน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1430680

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย รับรางวัลดีเด่นด้านกิจการเพื่อสังคม จากสภาหอการค้าอเมริกัน (AMCHAM Corporate Social Impact Award) เป็นปีที่ 12 ติดต่อกัน

30/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายโยฮัน ดีทอย (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน เป็นตัวแทนรับรางวัล “บริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น ประจำปี 2566” หรือ “2023 AMCHAM Corporate Social Impact Award” ระดับ Platinum จากสภาหอการค้าอเมริกันแห่งประเทศไทย (The American Chamber of Commerce in Thailand: AMCHAM) ซึ่ง นายโรเบิร์ต โกเดค เอกอัครราชทูตประจำสถานทูตอเมริกาในประเทศไทย เป็นประธานมอบรางวัล โดยมีนายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก และนางสาววิภากร โกมลกิติสกุล (ขวาสุด) รองผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมในพิธีรับมอบรางวัลดังกล่าว ซึ่งงานจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ  สำหรับรางวัล “บริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น” (AMCHAM Corporate Social Impact Award) นับเป็นรางวัลอันทรงคุณค่า ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ได้รับติดต่อกันต่อเนื่องมาเป็นเวลา 12 ปี จากการเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล มาตลอดระยะเวลา 85 ปีในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตลอดจนยังมีการส่งเสริมด้านกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

แนวคิดสุขนิยมกับการใช้บัตรเครดิต ย้ำต้องชำระคืนตรงเวลา-เต็มจำนวน

30/04/2024

บทความโดย “ณิชาภา เลี้ยงบุตร”  นักวางแผนการเงิน CFP®,IP สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 สุขนิยม คือ ทฤษฎีทางจริยศาสตร์ที่มีแนวคิดว่า ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรแสวงหา เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าคือเรื่องจริง แต่ขณะเดียวกันถ้าเราลุ่มหลงและสำราญทางวัตถุมากไปอาจทำให้เกิดความทุกข์ได้ ความสุข (บางส่วน) เกิดจากการจับจ่ายใช้สอย ยิ่งยุคนี้เป็นสังคมไร้เงินสด เพราะนอกจากรูดบัตรเครดิตแล้ว เพียงแค่การสแกนมือถือผ่านแอปพลิเคชั่น ก็สามารถใช้จ่ายสะดวกและง่ายขึ้น รวมถึงหลายคนอาจติดกับดักทางการเงินด้วยการใช้บัตรเครดิต อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นผ่อน 0% มีส่วนลด มีเงินคืน มีคะแนนสะสม เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจผู้บริโภค ทำให้การใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตมีความสุขมากกว่าจ่ายด้วยเงินสด ประการแรก : เป็นการสร้างความสุขเพราะได้สินค้ามาใช้โดยไม่ต้องรอให้มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายด้วยเงินสด เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเลต กระเป๋าแบรนด์เนม เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ประการที่สอง : การจ่ายเงินสดจะรู้สึกว่าเสียดายเงินมากกว่าจ่ายด้วยบัตรเครดิต เช่น ถ้าต้องถอนเงินสดซื้อแท๊บเล็ตมูลค่า 30,000 บาท ก็คงจะรู้สึกเสียดายเงิน แต่ถ้าจ่ายบัตรเครดิตแบบผ่อน 0% 10 เดือน จะทำให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า บัตรเครดิต คือ สินเชื่อบุคคลประเภทหนึ่งที่สถาบันการเงินออกให้ลูกค้า เพื่อใช้แทนเงินสด ซึ่งจะมีระยะเวลาที่ปลอดดอกเบี้ยประมาณ 45-55 วัน ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินผู้ออกบัตร หากชำระคืนไม่ตรงเวลาหรือไม่เต็มจำนวนจะต้องเสียดอกเบี้ย 16% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.25% ถ้าใช้บัตรและสามารถชำระได้ตรงเวลาจะเกิดประโยชน์ทางอ้อมอีกด้วย เช่น ได้ส่วนลด, นำคะแนนสะสมไปแลกสินค้าต่าง ๆ เช่น แลกตั๋วเครื่องบิน เครื่องใช้ไฟฟ้า บัตรกำนัลร้านค้า เป็นต้น แต่ถ้าชำระไม่ตรงเวลาหรือชำระแค่บางส่วน ยอดค้างชำระจะกลายเป็นเงินกู้ที่ต้องนำมาคิดดอกเบี้ยทันที โดยธนาคารคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต ดังนี้ ตัวอย่าง วันที่ 1 มกราคม ซื้อแท็บเลตด้วยบัตรเครดิต มูลค่า 30,000 บาท ธนาคารสรุปยอดใช้จ่ายทุกวันที่ 25 ของเดือน กำหนดชำระทุกวันที่ 10 ของทุกเดือน อัตราดอกเบี้ย 16% กรณีที่จ่ายขั้นต่ำ 3,000 ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ดอกเบี้ยส่วนที่ 1 คิดจากค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ตั้งแต่วันที่บันทึกรายการถึงวันที่สรุปยอด) = ค่าใช้จ่าย*อัตราดอกเบี้ยต่อปี*จำนวนวันที่ทำรายการถึงวันที่สรุปยอดบัญชี/จำนวนวันใน 1 ปี = (30,000*16%*25)/365 = 328.77 ดอกเบี้ยส่วนที่ 2 คิดคงค้าง ตั้งแต่วันที่ชำระขั้นต่ำถึงวันที่สรุปยอดเดือนถัดไป = ค่าคงค้าง*อัตราดอกเบี้ยต่อปี*จำนวนวันที่ทำรายการถึงวันที่สรุปยอดบัญชี/จำนวนวันใน 1 ปี = (27,000*16%*16)365 = 189.4 ดังนั้นในรอบบิลถัดไปจะถูกเรียกเก็บ = เงินคงค้าง + ดอกเบี้ยทั้ง 2 ส่วน = 27,000 + 328.77 + 189.40 = 27,518.17 กับดักที่หน้ากลัวที่สุด คือ โปรโมชั่นใช้เครดิตกรณีผ่อน 0% ซึ่งมีข้อแนะนำ คือ 1. ซื้อของที่จำเป็นเท่านั้น 2. มีบัญชีธนาคารไว้สำหรับชำระคืนบัตร ทุกครั้งที่ใช้บัตรให้โอนเงินมาไว้ที่บัญชีนี้เลย 3. ยอดผ่อน 0% ต่อเดือนไม่ควรเกิน 15-20% ของรายได้ อัตราส่วนแสดงการชำระคืนหนี้สินที่ไม่ใช่การจดจำนองจากรายได้ = การชำระหนี้สินไม่รวมภาระจดจำนองต่อเดือน/รายรับรวมต่อเดือน ดังนั้น ทุกครั้งที่ใช้บัตรเครดิตควรประเมินก่อนว่าสามารถชำระคืนได้ตรงเวลาและเต็มจำนวน มิฉะนั้นจะทำให้ผู้ใช้บัตรเข้าไปสู่วงจรดอกเบี้ยบัตรเครดิต ซึ่งเข้าง่ายแต่ออกยากเหลือเกิน เพราะดอกเบี้ยมหาโหด อ้างอิง : เว็บไซต์ KTC, หลักสูตรวางแผนการเงินชุดวิชาที่ 1 การวางแผนการเงิน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1446932

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เทคนิค ประกันชีวิต ที่ได้มากกว่า “สิทธิลดหย่อนภาษี”

30/04/2024

ใกล้โค้งสุดท้ายปลายปีเข้ามาทีไร “ประกันชีวิต” มักจะเป็นทางเลือกในการใช้สิทธิลดหย่อนที่ผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาใช้ในการวางแผนภาษีในแต่ละปี เพราะในส่วนของเบี้ยประกันชีวิตสำหรับตัวผู้เสียภาษีสามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 100,000 บาท โดยไม่รวมกับเบี้ยประกันบำนาญและเบี้ยประกันสุขภาพของพ่อแม่ เพราะการใช้สิทธิลดหย่อนไม่ต้องคำนวณตามสัดส่วนของรายได้ของเราจึงลดหย่อนได้เต็มที่ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอย่างไร ดังนั้น การวางแผนภาษีด้วย ประกันชีวิต จึงสามารถช่วยลดภาระภาษีตามขั้นภาษีสูงสุดที่คำนวณได้ หรือสูงสุดถึง 35,000 บาทเลยทีเดียวเปิดเทคนิควางแผนภาษีตรงตรงใจสำหรับแบบประกันชีวิตที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ประกอบด้วยแบบประกันที่มีระยะเวลาความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป หรือประกันสุขภาพ  แต่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกทำแบบประกันโดยคำนวณถึงการลดหย่อนภาษีเป็นหลัก จึงเลือกแบบประกันระยะเวลาต่ำสุดตามหลักเกณฑ์ คือความคุ้มครอง 10 ปี แม้ว่าเราจะสามารถเลือกวางแผนลดหย่อนภาษีให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินของเราควบคู่ไป เพื่อให้เราสามารถบรรลุตามเป้าหมายการเงินโดยไม่มีภาระการชำระเบี้ยเกินความจำเป็น  ที่สำคัญยังเป็นการวางแผนการเงินระยะยาวให้กับตัวเราอีกด้วย ซึ่งจริง ๆ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่รัฐมอบสิทธิประโยชน์ภาษีให้กับผู้เสียภาษี“เทคนิค” การทำประกันชีวิตเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเงินของเรานั้น ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เราหาเป้าหมายการเงินระยะยาวของเราให้ได้  หลายคนมีเพียงเป้าหมายเดียว แต่บางคนมีหลายเป้าหมายก็ได้ การวางแผนเพื่อการเกษียณเป็นเป้าหมายสำคัญเป้าหมายหนึ่งเพราะการที่คนมีอายุยืนยาวขึ้น จำเป็นต้องใช้เงินช่วงเกษียณมากขึ้น หากปัจจุบันเรามีอายุ 35 ปี การวางแผนเพื่อการเกษียณจะมีระยะเวลาประมาณ 25 ปี เราสามารถเลือกแบบประกันสะสมทรัพย์เพื่อเสริมแผนการเกษียณของเราและได้ประโยชน์จากการลดหย่อนในหมวดประกันตัวอย่างเช่น คุณ บี ปัจจุบัน อายุ 50 ปี มีประกันสุขภาพในปัจจุบันเบี้ยฯ ปีละ 15,000 บาท สามารถวางแผนภาษีเพื่อการเกษียณเพิ่มเติมโดยใช้ประกันสะสมทรัพย์ ระยะเวลา 10 ปี ชำระเบี้ยฯ ครั้งเดียว ผลประโยชน์รวม 99,880 บาท เบี้ยฯ ปีละ 85,000 บาท เพื่อรับเงินก้อนหลังเกษียณปีละ 100,000 บาทขณะที่ เป้าหมายการเงินอีกเป้าหมายหนึ่งคือเป้าหมายการศึกษาของลูก เราสามารถวางแผนครอบครัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการศึกษาของลูกในระยะยาว หากลูกกำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล แผนการศึกษาของลูกจะมีระยะเวลา 12 ปีโดยประมาณสำหรับระดับปริญญาตรี และ 16 ปี สำหรับระดับปริญญาโท  การเลือกทำประกันสะสมทรัพย์เพื่อลดหย่อนภาษีจึงไม่จำเป็นต้องเป็นแบบประกันที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปี แต่อาจเลือกทำประกันในหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับเป้าหมายของเราตัวอย่างเช่น คุณใส่ใจ ปัจจุบันอายุ 35 ปี  มีลูกอายุ 5 ปี  ต้องการเลือกทำประกันเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเต็ม 100,000 บาท ประกันสุขภาพที่มีอยู่ในปัจจุบันเบี้ยฯ ปีละ 15,000 บาท  ต้องการใช้ประกันเพื่อเป็นเงินทุนการศึกษาปริญญาโทให้ลูก 2 ล้านบาท  แบบประกันเพื่อใช้สิทธิฯ ภาษีของคุณใส่ใจจะต่างกับของคุณบี  โดยแผนภาษีจากประกันสะสมทรัพย์ ระยะเวลา 10 ปี ชำระเบี้ยครั้งเดียวแม้จะใช้สิทธิภาษีได้เท่ากัน แต่ไม่สามารถตอบเป้าหมายเพื่อการศึกษาของลูกได้ การวางแผนการศึกษาให้ลูกจะมีภาระชำระเบี้ยเพิ่มขึ้นและไม่สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้  คุณใส่ใจจึงควรเลือกแบบประกันสะสมทรัพย์เพื่อทุนการศึกษาปริญญาโท   ระยะเวลาคุ้มครอง 15 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยฯ 10 ปี ผลประโยชน์รวมตลอดสัญญา 977,500 บาท จำนวนเงินประกันภัย 700,000 บาท  เบี้ยฯ ปีละ 85,000 บาท แทนอีกรูปแบบเป้าหมายที่สามารถนำมาประกอบการวางแผนภาษี สิ่งที่ต้องคำนึงถึง และรูปแบบของประกันชีวิตที่ตอบเป้าหมายต่างๆ อาจจะสรุปได้คร่าวๆ ตามตาราง ดังนี้ดังนั้น เมื่อเราจะวางแผนภาษีด้วยประกันทั้งที เราจึงควรวางแผนภาษีให้สอดคล้องไปกับเป้าหมายการเงินของเราด้วย เพื่อให้เราได้มากกว่าการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียว เพียงเท่านี้เราก็จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษีประจำปีหมายเหตุㆍการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนดㆍโปรดทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองเงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนการตัดสินใจสมัครทำประกันภัยทุกครั้งที่มา : บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับการเงินธนาคารhttps://moneyandbanking.co.th/2023/73069/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

10 ความผิดพลาด 'การลงทุน' ที่นักลงทุนทั่วโลก ทำบ่อยที่สุด

30/04/2024

เปิดลิสต์ “10 ความผิดพลาด” ที่นักลงทุนเป็นกันบ่อยที่สุดไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ได้ฉายา “เซียน” หรือนักลงทุนที่ขึ้นชื่อว่า “เก่งที่สุดในโลก” ต่างต้องเคยผิดพลาดเรื่องเหล่านี้อย่างน้อย 1 ข้อ ความผิดพลาดในการลงทุนสามารถเป็นบทเรียนอันล้ำค่าเสมอ เพราะทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้เรียนรู้ข้อมูลเชิงลึกในโลกการลงทุน และสร้างพอร์ตที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ข้อมูลจาก CFA Institute สถาบันให้ความรู้ด้านการเงินระดับโลก ระบุว่า "10 ความผิดพลาด"ที่พบบ่อยที่สุดในการลงทุน รวมไปถึงการตัดสินใจลงทุนโดยใช้แต่อารมณ์ไปจนถึงการจ่ายค่าธรรมเนียมมากเกินไป แบ่งเป็น 10 ข้อ ดังต่อไปนี้ 1. คาดหวังมากเกินไป การมีความคาดหวังที่สมเหตุสมผล ช่วยให้นักลงทุนยังโฟกัสเป้าหมายระยะยาวและไม่ตอบสนองตลาดด้วยอารมณ์ 2. ไม่มีเป้าหมายการลงทุน นักลงทุนมักโฟกัสกับผลตอบแทนระยะสั้นหรือกระแสการลงทุนล่าสุด มากกว่าวางเป้าหมายการลงทุนระยะยาว 3. ไม่กระจายความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยงช่วยป้องกันไม่ให้หุ้นตัวเดียว มีผลกระทบต่อมูลค่าของทั้งพอร์ตลงทุน 4. โฟกัสระยะสั้น โฟกัสระยะสั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ทำให้นักลงทุนวางกลยุทธ์มั่วและตัดสินใจไม่รอบคอบ 5. ซื้อแพง ขายถูก พฤติกรรมของนักลงทุนในช่วงตลาดแกว่งตัว มักทำให้ไม่เห็นผลงานโดยรวม 6. เทรดมากเกินไป ผลการศึกษาพบว่า นักลงทุนที่มีกิจกรรมซื้อขายมากที่สุด พอร์ตลงทุนมักมีผลงานย่ำแย่ 7. จ่ายค่าธรรมเนียมมากเกินไป ค่าธรรมเนียมมีผลต่อผลงานการลงทุนโดยรวม โดยเฉพาะเมื่อลงทุนในระยะยาว 8. โฟกัสเรื่องภาษีมากเกินไป แม้การประหยัดภาษีทำให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น แต่การตัดสินใจโดยยึดเรื่องผลทางภาษีอย่างเดียว อาจไม่ส่งผลดีเสมอไป 9. ไม่ได้เช็กพอร์ตสม่ำเสมอ ควรเช็กพอร์ตลงทุนเป็นรายไตรมาสหรือรายปี เพื่อให้การลงทุนเป็นไปตามแผน หรือปรับสมดุลพอร์ตหากจำเป็น 10. ประเมินความเสี่ยงผิด “ความเสี่ยงสูงเกินไป” อาจทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับหรือถึงขั้นหมดตัว แต่ “ความเสี่ยงต่ำเกินไป” ก็อาจให้ผลตอบแทนน้อยลงจนไม่บรรลุเป้าหมายข้อควรระวังอื่นๆ : นอกเหนือจาก 10 ข้อข้างต้นแล้ว นักลงทุนหลายคนมักพลาดในเรื่องตอบสนองข่าวเชิงลบในระยะสั้น จนลืมมองแนวโน้มระยะยาว, ลืมคำนวณเงินเฟ้อที่ทำให้มูลค่าเงิน 100 บาทปีนี้ น้อยกว่า 100 บาทปีหน้า, เลือกไว้ใจที่ปรึกษาการลงทุนผิด ชีวิตเปลี่ยน และลงทุนด้วยอารมณ์มากกว่าใช้เหตุผล ในช่วงตลาดผันผวน อ้างอิง: Visual Capitalist แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1099231

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัล Business+ Product of the Year Awards 2023 จากผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ‘AIA Vitality Unit Linked’ ที่ให้ครบทั้งเรื่องสุขภาพและการลงทุน

30/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย โดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์รับรางวัลอันทรงเกียรติ Business+ Product of the Year Awards 2023 ในสาขาผลิตภัณฑ์กลุ่มประกันชีวิตควบการลงทุน จากความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ “AIA Vitality Unit Linked” ประกันรูปแบบใหม่ ที่ให้ทุกคนได้สนุกกับทุกคอนเทนต์ของชีวิต ซึ่งรางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดยนิตยสาร Business+ ร่วมกับวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล ทำการวิจัยกับผู้บริโภคทั่วประเทศเพื่อค้นหาสุดยอดสินค้าที่เป็นที่ชื่นชอบอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต เป็นประธานมอบรางวัลสำหรับ “AIA Vitality Unit Linked” เป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ โดยเป็นการจับคู่ 2 แผนประกันเด่นของเอไอเอ ทั้ง “เอไอเอ ไวทัลลิตี้ (AIA Vitality)” ประกันสำหรับคนรักสุขภาพ และ ประกันชีวิตควบการลงทุน “เอไอเอ ยูนิต ลิงค์ (AIA Unit Linked)” เข้าไว้ด้วยกัน ให้คนไทยไม่ต้องเลือก เพราะจะได้รับครบทั้งความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง พร้อมเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุน ที่สำคัญลูกค้ายังได้รับเงินคืนจากการดูแลสุขภาพ คุ้มถึง 3 ต่อ* อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์จากพาร์ทเนอร์ของเอไอเอ ไวทัลลิตี้ อีกมากมาย เพื่อสนับสนุนให้คนไทยได้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Livesหมายเหตุ: *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

อยู่แบบโสด ๆ ชีวิตก็เกษมได้ เมื่อเตรียมพร้อมบริหารความเสี่ยงรอบด้าน

30/04/2024

บทความโดย "กนกพร อัศวยนต์ชัย"  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ในช่วงชีวิตของคน คงหนีไม่พ้นสัจธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย  เมื่อครั้งเกิดมามีผู้อุปการะ คือ บิดามารดาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ดูแลค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค่ากิน ค่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล พอเรียนจบมีงานทำ มีรายได้เป็นของตนเองก็ถึงเวลาที่บุตรหลานจะเลี้ยงดูท่าน แต่หากท่านได้เตรียมพร้อมเกษียณไว้เป็นอย่างดีก็ไม่ต้องพึ่งพาค่าเลี้ยงดูจากบุตรหลาน สำหรับวัยเกษียณที่มีบุตรหลานคอยเลี้ยงดูคงไม่มีปัญหา แต่สำหรับผู้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะครองความโสดไปตลอดชีวิต อาจต้องพิจารณาการบริหารความเสี่ยงมากขึ้นในแต่ละประเด็นดังนี้ 1. ช่วงชีวิตไม่ยืนยาว ㆍแบบไม่ยืดเยื้อ ระยะเวลาไม่ยาวนานก็เสียชีวิต เช่น จากอุบัติเหตุ จากโรคแบบเฉียบพลัน เรื่องชวนให้คิด: มีใครได้รับผลกระทบจากการจากไปอย่างฉับพลันหรือไม่ เช่น พ่อแม่ ที่เราต้องดูแล ㆍทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง กับคำนิยามเพื่อให้กระจ่างในการบริหารความเสี่ยงด้านนี้ คือเรื่องชวนให้คิด : กระทบมากกว่าการจากไป คือ การที่ผู้มีรายได้ที่เคยอุปการะครอบครัวไม่สามารถทำงานหารายได้ ซ้ำยังเป็นภาระให้ครอบครัวดูแล ㆍโรคร้ายแรง โรคร้ายแรง คือ โรคที่ใช้เงินรักษาจำนวนมาก เมื่อสิ้นกระบวนการรักษาในโรงพยาบาลกระทบต่อการใช้ชีวิตซึ่งไม่กลับมาเหมือนเดิม หมายถึงรายจ่ายสูงระหว่างการรักษา รายได้ที่หายไประหว่างการรักษาและหลังการรักษา คำนิยามเพื่อให้กระจ่างในการบริหารความเสี่ยงด้านนี้คือ เรื่องชวนให้คิด : ลองจินตนาการถ้าเป็นโรคมะเร็ง การรักษามักใช้คีโมบำบัดซึ่งมีการลางาน หลังคีโมร่างกายจะอ่อนแอต้องระวังการติดเชื้อจึงไม่สามารถกลับไปทำงานได้ปกติ กระทบต่อการทำงาน กระทบต่อรายได้ กระทบรายจ่าย  หลังเสร็จสิ้นกระบวนการรักษา ต้องปรับเปลี่ยนชีวิตใหม่ รายได้มักลดลงหรือไม่มีเลย 2. ช่วงชีวิตที่ยืนยาว ㆍเกษียณ คือ การหมดอายุการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นสังขารไม่เอื้ออำนวย ข้อกำหนดบริษัทของอายุพนักงานเกษียณอายุการทำงาน มีคลื่นลูกใหม่ทดแทนคลื่นลูกเก่า เรื่องชวนให้คิด : เมื่อรายได้หยุด แต่รายจ่ายไม่หยุด แหล่งเงินใช้ยามเกษียณจะมาจากแหล่งใด ㆍเจ็บป่วย ในวัยเกษียณ ร่างกายเสื่อมถอย ไม่ว่าจะเป็นข้อเข่าเสื่อม สายตาพร่ามัว เป็นต้อกระจก สมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ ซึ่งการคงคุณภาพชีวิตที่ดีไว้ในยามร่างกายเสื่อมถอยต้องใช้เงินทั้งสิ้น เรื่องชวนให้คิด : หลังเกษียณ กรณีเจ็บป่วยโรคทั่วไป เจ็บป่วยเรื้อรัง เจ็บป่วยโรคร้ายแรงจะรักษาที่ไหน ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะมาจากแหล่งใด การคิดล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นทำให้เราสามารถรับมือได้ดี ไม่ตระหนกกรณีเกิดขึ้นจริง จึงขอเชิญชวนให้คิดเรื่องต่าง ๆ การบริหารความเสี่ยงแบบครอบคลุม 1. ช่วงชีวิตไม่ยืนยาว ㆍเสียชีวิตㆍทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงต่างกับกรณีจากไปตรงที่ว่า เราไม่มีรายได้แต่ยังคงต้องเลี้ยงดูผู้อุปการะและมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่ารักษาพยาบาลอีกด้วยหมายเหตุ : ไม่มีหนี้สินคงค้าง ㆍโรคร้ายแรง การบริหารความเสี่ยงกรณีโรคร้ายแรงจะประเมินตามการคาดการณ์ ความเป็นไปได้ของโรคร้ายแรงที่อาจอุบัติขึ้นเนื่องจากสภาพแวดล้อม กรรมพันธุ์ ซึ่งทั่วไปมักจะเป็นโรคมะเร็ง และไม่สามารถกลับมาทำงานได้อีกแล้ว การคำนวณความคุ้มครองดังนี้ ㆍความคุ้มครองเสมือนเสียชีวิต (ไว้ดูแลผู้อยู่ในอุปการะ) ㆍหนี้สินคงค้างทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หนี้คงค้างบ้าน หนี้คงค้างรถ ควรปลดให้หมด ㆍค่ารักษาพยาบาลที่สูงกว่าค่ารักษาทั่วไป เตรียมไว้ 3,000,000 บาท ㆍกรณีทำงานไม่ได้แล้วหลังการรักษา ให้คำนวณเช่นเดียวกับในกรณีทุพพลภาพ ช่วงชีวิตที่ยืนยาว ㆍเกษียณ การบริหารความเสี่ยงกรณีอายุยืนและมีเงินใช้ตลอดหลังเกษียณควรทราบข้อมูลดังนี้ 1. เงินที่จะใช้สำหรับกินอยู่ในมูลค่าปัจจุบันเดือนละเท่าไร 2. อายุที่จะเกษียณและอายุขัย กรณีตัวอย่างคือ อายุปัจจุบัน 41 ปี จะเกษียณอายุ 60 ปี อายุขัย 85 ปี ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเดือนละ 15,000 บาท ปัจจุบันยังไม่มีการลงทุนสำหรับเกษียณเลย ดังผลตอบแทนคาดหวัง 6% ต้องลงทุนเดือนละ 40,000 บาท ㆍเจ็บป่วย การบริหารความเสี่ยงกรณีอายุยืนซึ่งคงหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยไม่ได้ ปัจจัยที่ควรคำนวณมีดังนี้ 1. เบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณที่ต้องชำระแต่ละปีเท่าไร ควรตั้งแหล่งเงินเพื่อการชำระเบี้ยประกันสุขภาพดังกล่าว 2. กองทุนสำหรับจ่ายค่ารักษาหลังประกันสุขภาพหมดความคุ้มครองก็เช่นกัน คนโสดต่างตรงไม่มีบุตรและคู่สมรส แต่ยังมีตนเองและบิดามารดาให้ดูแล กรณีที่ช่วงชีวิตไม่ยืนยาวควรเตรียมความพร้อมในการจากไป ทุพพลภาพ หรือ เป็นโรคร้ายแรง ซึ่งทำให้ตนเองและบิดามารดาได้รับผลกระทบด้านความเป็นอยู่ หรือในกรณีที่ช่วงชีวิตยืนยาวก็ควรเตรียมความพร้อมเงินใช้ยามเกษียณไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพ ค่ารักษาพยาบาลโรคทั่วไป โรคเรื้อรังรวมถึง โรคร้ายแรง อยู่แบบโสด ๆ ชีวิตก็เกษมได้เมื่อเตรียมความพร้อมครอบคลุมความเสี่ยงทุกด้านไว้เรียบร้อยแล้ว แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1431268

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

ทำไมคนไทย กลัวการขาย ‘ประกัน’

30/04/2024

โทรมาขายประกันอีกแล้ว…..ความน่าเบื่อของการรับสายเบอร์แปลก ที่โทรมาตื้อขายประกัน บางคนกว่าจะปฏิเสธได้ ต้องอดทนเกรงใจนั่งฟังจนจบ บางคนตัดปัญหาโดยการกดวางสายไปเลยเพื่อตัดความรำคาญ แต่ก็ยังไม่ได้ผล คนพวกนี้เอาเบอร์เรามาจากไหน แล้วทำไมคนไทยถึงไม่ชอบ หรือกลัวการทำประกันหากดูจากสถิติสมาคมประกันชีวิตพบว่า คนไทยมีประกันชีวิตเฉลี่ยเพียง 39% คิดเป็นตัวเลขง่าย ๆ คือ คน 100 คน มีประกันชีวิตแค่ 39 คนเท่านั้น แล้วอีก 61 คน ที่ยังไม่มีประกันชีวิต เขามีเหตุผลอะไร เงินในกระเป๋าเราไม่เท่ากันเพราะภาระค่าใช้จ่ายของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนมีเงินเหลือเก็บ แต่บางคนใช้แทบไม่ชนเดือน หลายคนมองว่า การจ่ายเบี้ยประกันคือ ความสิ้นเปลือง เป็นรายจ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือยังไม่จำเป็นต้องใช้ เอาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันดีกว่า ซื้อไว้ไม่ได้ใช้คุ้นไหม? กับคำว่า ‘คนซื้อไม่ได้ใช้คนใช้ไม่ได้ซื้อ’ คนส่วนใหญ่คิดว่าการทำประกันชีวิต คือการออมเงินไว้ให้คนข้างหลัง เมื่อเราไม่อยู่แล้ว ลูกหลานหรือคนที่เราห่วงก็จะสบาย มีเงินก้อนไว้ดูแลตัวเอง เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นความรับผิดชอบล่วงหน้านั่นเอง มีสวัสดิการอื่นคุ้มครองอยู่แล้วใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือน นอกจากจะมีประกันสังคมแล้ว บริษัทส่วนใหญ่จะมีประกันกลุ่มเพิ่มให้กับพนักงาน เอาไว้ดูแลยามเจ็บป่วยอยู่แล้ว การทำประกันเพิ่มจึงยังไม่ใช่เรื่องจำเป็น ไหนจะคำบอกเล่าที่ว่า ตอนมาขายสาธยายแต่ข้อดี พอเกิดเรื่องทีเคลมยากเหลือเกิน การทำประกันจึงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เบือนหน้าหนี ไม่ชอบการโทรตื้อ อยากซื้อเดี๋ยวซื้อเองการโทรมาเสนอขายประกันทางโทรศัพท์ ด้วยการพูดจูงใจต่าง ๆ นานา ยิ่งทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม ไม่มีความเป็นส่วนตัว หลายคนรู้สึกไม่อยากคุย ยิ่งตื้อยิ่งไม่อยากทำ หรือหากอยากทำจริง ๆ ขอเลือกแบบที่เราติดต่อไปเองจะสบายใจกว่า เพราะบางครั้งช่วงที่ประกันติดต่อมา สถานการ์ณทางการเงินของบางคนยังไม่พร้อม เลยไม่อยากคุยให้เสียเวลา รู้สึกโดนละเมิดสิทธิเมื่อมีประกันโทรเข้ามาเพื่อเสนอขายนู่นนี่นั่น ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้สนใจ สุดท้ายแล้ว ประกันชีวิตเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการออมที่ไม่ใช่การฝากเงิน บางคนเปรียบเทียบ ‘ประกัน’ ว่าเป็นเหมือน ‘ร่ม’ ตอนที่ฝนไม่ตก ก็ไม่มีใครเห็นคุณค่าหรือนึกถึง เหมือนคำกล่าวของ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ที่บอกว่า “จงลงทุนในความรู้ ลงทุนในสุขภาพของตัวเอง เพราะจะไม่มีใครมาแย่งมันไปจากคุณได้ เพราะตัวคุณเองคือสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด” พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัสแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับbeartaihttps://www.beartai.com/brief/1332325

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

อสังหาริมทรัพย์

4 เรื่องดอกเบี้ย ที่คนกู้ซื้อบ้านต้องรู้

30/04/2024

ใครผ่อนบ้านอยู่ หากลองเช็กใบเสร็จค่าผ่อนบ้านที่เพิ่งจ่ายไป อาจตกใจเมื่อเห็นว่าค่างวดผ่อนส่วนใหญ่หมดไปกับดอกเบี้ย แทบไม่เหลือไปตัดเงินต้นเลย ซึ่งเรื่องดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจ แต่ไม่ถึงขั้นต้องตกใจหรือกังวลมากจนเกินไป หากเราเข้าใจใน 4 เรื่องดอกเบี้ย ที่คนกู้บ้านต้องรู้ ดังนี้ 1. หนี้ก้อนโต ดอกเบี้ยจ่ายย่อมโตตาม ดอกเบี้ยที่จ่ายเป็นเงินบาทในแต่ละเดือน ถูกคำนวณจากเงินต้นและอัตราดอกเบี้ยในแต่ละงวด เช่น เงินต้น 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4%ต่อปี ดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณปีละ 80,000 บาท หรือเดือนละ 6,667 บาท สำหรับค่างวดในเดือนปัจจุบัน ( = 2 ลบ. X 4%ต่อปี ÷ 12 เดือน) สำหรับยอดกู้ 2 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ย 4%ต่อปี ตลอดสัญญา 30 ปี ต้องผ่อนเดือนละ 9,600 บาท ดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญาอยู่ที่ 1.42 ล้านบาท (เฉลี่ยปีละ 47,343 บาท หรือเดือนละ 3,945 บาท) โดยเดือนแรกของการกู้ดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 6,667 บาท และทยอยลดลงเรื่อยๆ ซึ่งหากวงเงินกู้บ้านสูงกว่านี้ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนและตลอดสัญญา ย่อมสูงกว่าตัวอย่างที่แสดงนี้ 2. เงินต้นยิ่งลด ดอกเบี้ยยิ่งลดตาม ดอกเบี้ยบ้านถูกคำนวณแบบ “ลดต้นลดดอก” หรือหมายถึง ดอกเบี้ยในแต่ละงวดถูกคำนวณจากเงินต้นที่เหลือจริงในต้นงวดนั้น ดังนั้นยิ่งเงินต้นหรือยอดหนี้เหลือน้อยลง ดอกเบี้ยที่จ่ายในงวดนั้นก็ยิ่งต่ำลง โดยค่างวดที่เท่าเดิมจะถูกนำไปจ่ายเงินต้นได้มากขึ้น ดอกเบี้ยที่จ่ายในงวดถัดไปก็ยิ่งลดลง ตัวอย่างเช่น การกู้เงิน 2 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ย 4%ต่อปี ผ่อนเดือนละ 9,600 บาท ㆍเดือนที่ 1 ที่ยอดหนี้ 2 ล้านบาท ค่างวดถูกจ่ายเป็นดอกเบี้ย 6,667 บาท และเงินต้น 2,933 บาท ทำให้เหลือยอดหนี้ 1,997,067 บาท ㆍเดือนที่ 2 ที่ยอดหนี้ 1,997,067 บาท ค่างวดถูกจ่ายเป็นดอกเบี้ย 6,657 บาท และเงินต้น 2,943 บาท ทำให้เหลือยอดหนี้ 1,994,124 บาท ซึ่งเงินที่จ่ายส่วนของดอกเบี้ยยังใกล้เคียงกับที่จ่ายในเดือนที่ 1 ㆍแต่หากระยะเวลาผ่านไป เช่น เดือนที่ 180 หรือสิ้นปีที่ 15 ยอดหนี้จะเหลือประมาณ 1,283,456 บาท ค่างวดถูกจ่ายเป็นดอกเบี้ย 4,278 บาท และเงินต้น 5,322 บาท โดยงวดนี้จะจ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่าเดือนแรก ซึ่งคิดเป็น 64% ของดอกเบี้ยที่จ่ายเดือนที่ 1 และมีแนวโน้มต่ำลงเรื่อยๆ จนผ่อนครบสัญญา ดังนั้น หากเดือนใดมีเงินเหลือ หรือมีรายได้พิเศษ เช่น เงินโบบัส ฯลฯ การนำเงินไปเร่งจ่ายหนี้มากขึ้น จะส่งผลให้ยอดหนี้และดอกเบี้ยที่จ่ายลดลง ค่างวดจะถูกนำไปจ่ายเงินต้นได้มากขึ้น 3. ดอกเบี้ยส่วนใหญ่ มักลอยตัว ดอกเบี้ยที่ระบุในสัญญาเงินกู้บ้าน แม้มีแบบอัตราคงที่ให้เห็นบ้าง แต่ก็เป็นเพียงช่วงไม่เกิน 1-3 ปีแรกเท่านั้น โดยอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ 4 หรือตั้งแต่ปีแรกของหลายๆ สัญญา มักระบุไว้เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เช่น อ้างอิงจาก MRR ตามประกาศของธนาคารที่ปล่อยกู้ เป็นต้น โดยแต่ละธนาคารอาจมีอัตราดอกเบี้ย MRR ที่ไม่เท่ากัน เช่น ณ 10 พ.ย. 66 ธนาคารกสิกรไทยมี MRR อยู่ที่ 7.3%ต่อปี ส่วนธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มี MRR อยู่ที่ 8.8%ต่อปี ซึ่งต่างกันถึง 1.5%ต่อปี อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเงินกู้ของ 2 ธนาคารอาจต่างกันหรือเท่ากันก็ได้ ขึ้นอยู่กับสัญญาของผู้กู้แต่ละคน เช่น สมมติว่าสัญญาเงินกู้บ้านของธนาคารกสิกรไทยระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ MRR-1.5% ส่วนธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุไว้ที่ MRR-3% จากตัวอย่างที่สมมตินี้ ดอกเบี้ยบ้านของทั้ง 2 ธนาคาร จะเท่ากัน โดยอยู่ที่ 5.8%ต่อปี เป็นต้น 4. ดอกเบี้ยลอยขึ้นแรง ในปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ 10 ส.ค. 65 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย มีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมาอย่างต่อเนื่อง จากการประชุมล่าสุดเมื่อ 27 ก.ย. 66 อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 2%ต่อปี เทียบกับการประชุมเมื่อ 8 มิ.ย. 65 ส่งผลให้ MRR ของธนาคารต่างๆ มีการปรับขึ้นเช่นเดียวกัน โดย MRR ของธนาคารกสิกรไทยและธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ณ 10 พ.ย. 66 เทียบกับ 1 ส.ค. 65 มีการปรับเพิ่มขึ้น 1.33% และ 1.45% ตามลำดับ ซึ่งการที่ MRR มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนี้ ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยของผู้กู้สูงขึ้น เช่น สำหรับยอดหนี้ 2 ล้านบาท MRR ของ 2 ธนาคารที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้กู้ต้องจ่ายเบี้ยสูงขึ้นประมาณปีละ 26,600 – 29,000 บาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 2,217 - 2,417 บาท แม้ยังคงจ่ายค่างวดเท่าเดิม หนี้บ้าน หนี้ก้อนโต ที่แม้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าหนี้สินประเภทอื่นๆ แต่ด้วยยอดหนี้ที่สูงและสัญญาผ่อนที่นาน ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยที่จ่ายในแต่ละเดือนและดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญาดูเป็นเงินก้อนโต จนหลายคนไม่สบาย เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจในดอกเบี้ยบ้านและศึกษาวิธีการอยู่ร่วมกับหนี้นี้ เพราะเป็นทางเลือกที่ช่วยให้เรามีบ้านที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของทุกคน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับamarintvhttps://www.amarintv.com/spotlight/finance/detail/54811

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X