คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันสุขภาพ

“เก็บเงินไว้รักษาตัวเอง” หรือ “ซื้อประกันสุขภาพ” ?

30/04/2024

อาจเป็นคำถามในใจใครหลายคนสำหรับการเลือกตัดสินใจระหว่างสองวิธีนี้ ว่าจะ “เก็บเงินสำรองไว้เพื่อรักษาตัวเอง” หรือ “ซื้อประกันสุขภาพ” เพื่อโอนย้ายความเสี่ยง อย่างไรก็ดีทั้งสองวิธีนี้มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุผลประกอบดังนี้การเก็บเงินไว้รักษาตนเองกรณี “เก็บเงินไว้เพื่อรักษาตัวเอง” ข้อแรกที่ควรคำนึงถึงคือ งบประมาณที่ต้องการเก็บของแต่ละคนคือเท่าไร บางคน 1 ล้านบาทรู้สึกเพียงพอ บางคนต้องมี 5 ล้านบาท หรือบางคนต้องมี 30 ล้านบาทถึงจะอุ่นใจ และเพียงพอกับการรักษาที่ตัวเองต้องการตัวอย่าง น.ส.เอ ต้องการเก็บเงินไว้เพื่อรักษาตนเอง 5 ล้านบาท ปัจจุบันน.ส.เอ อายุ 35 ปี ทยอยเก็บเงินจนได้ครบ 5 ล้านบาท อายุ 45 ปีเกิดเหตุไม่คาดฝัน ตรวจพบมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ต้องใช้ค่ารักษาพยาบาล เป็นค่าผ่าตัด 200,000 บาท เคมีบำบัด 445,788 บาท รังสีรักษา 200,000 บาท Target Therapy(ใช้ 1 ชนิด) 1,766,000 บาท(1) รวมค่าใช้จ่าย 2,611,788 บาท“หลังจากใช้ไป ถ้า น.ส.เอต้องการเติมเงินค่ารักษาพยาบาลให้ครบ 5 ล้านบาท น.ส.เอ ต้องเริ่มทยอยเก็บเงินอีกครั้ง ซึ่งถ้าต่อมามีการรักษาซ้ำหรือเป็นโรคร้ายแรงด้านอื่น 5 ล้านบาทที่เตรียมไว้อาจจะไม่เพียงพอจำเป็นต้องขายสินทรัพย์อื่นที่มีอยู่เพื่อมาดูแลรักษาตนเองในอนาคต”การซื้อ “ประกันสุขภาพ”ปัจจุบันสัญญา “ประกันสุขภาพ” มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบค่ารักษาพยาบาลต่อการรักษาตัวหนึ่งครั้ง ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี หรือค่ารักษาพยาบาลแบบวงเงินเหมาจ่ายต่อปี เริ่มต้นตั้งแต่ 200,000 บาท จนถึง 120 ล้านบาทต่อปี  การเลือกแผนใดจะอยู่ที่การวางแผนการรักษาในโรงพยาบาลที่มีค่ารักษาอยู่ในระดับใด ความสามารถในการชำระเบี้ยต่อปี และจำนวนปีที่ต้องการได้รับความคุ้มครองปัจจุบันคุ้มครองสูงสุดอยู่ที่ 99 ปีตัวอย่าง ถ้า น.ส.เอ อายุ  35 ปี มีความประสงค์ทำประกันสุขภาพ ณ ปัจจุบันจนถึงอายุ 99 ปีค่าเบี้ยประกันรวมทั้งสัญญาคือ 7,658,800 บาท(2)  ถ้าเกิดเหตุต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลตามตัวอย่างข้างต้นจะครอบคลุมวงเงินค่ารักษาและในปีต่อไปวงเงินก็จะกลับมาเต็มใหม่ที่ 5 ล้านบาทเสมอทุกปี ทำให้วางแผนค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลได้จากตัวอย่างถ้า น.ส.เอ ทำประกันสุขภาพวงเงิน 5 ล้านบาทต่อปี ตรวจพบมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 จะสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลรักษาพยาบาลได้ดังนี้“การเก็บเงินสำรองไว้เพื่อรักษาตัวเอง” หรือ “ซื้อประกันสุขภาพ” นั้น จะมี “ข้อดี-ข้อเสีย” ที่แตกต่างกันตามที่กล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตามการวางแผนประกันสุขภาพเป็นหนึ่งในการวางแผนทางการเงิน เพราะจะทราบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและวางแผนในการเก็บเงินได้ การจัดสรรเงินเพื่อแผนประกันสุขภาพควรอยู่ในงบประมาณที่เหมาะสม เพียงพอกับการรักษาแบบที่เราต้องการ และคำนึงถึงเบี้ยประกันที่มีการปรับเพิ่มตามอายุ หนึ่งแผนการเงินที่สำเร็จจะสามารถต่อยอดไปยังแผนการวางแผนทางการเงินด้านอื่นๆ ได้ที่มา:(1) https://www.bangkoklife.com/th/articles/0/124(2) เบี้ยประกันค่ารักษาพยาบาลเหมาจ่ายสุขภาพ หญิง อายุ 35-99 ปี (เฉพาะเบี้ยสุขภาพ)(3) https://thaicancersociety.com/rights-to-health-care/(4) https://thaicancersociety.com/rights-to-health-care/cancer-anywhere/แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/19207

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

อสังหาริมทรัพย์

ผลสำรวจชี้ 'คนไทยอยากมีบ้าน' แต่รายได้ไม่พอ ซื้อไม่ไหว

30/04/2024

ผลสำรวจชี้ คนไทยส่วนใหญ่ยังอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่รายได้ไม่พอซื้อ – ผ่อนระยะยาว ยอมจ่ายค่าเช่าเท่าราคาซื้อ กลัวอนาคตไม่มั่นคง การมี “บ้าน” ของตัวเองคงเป็นความฝันของคนส่วนใหญ่ แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นเจ้าของได้ ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เศรษฐกิจมีความผันผวนตลอดเวลา ล่าสุด ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ได้เปิดเผยบทวิเคราะห์ “กำลังซื้อที่อยู่อาศัย” ในกลุ่มรายได้ปานกลางลงมา ในเดือน มี.ค. 2566จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 1,479 คน พบว่า ค่านิยมในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง แต่ “งบประมาณที่ไม่เพียงพอ” เป็นข้อจำกัดให้ต้องเช่าแทนการซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลางลงมา พบกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท/เดือน มีกำลังไม่พอซื้อบ้านต้องเช่าอยู่ เมื่อย้อนไปดูข้อมูลจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (2560-2579) พบว่า จากจำนวนครัวเรือนในประเทศไทย 21.32 ล้านครัวเรือน มีมากถึง 5.87 ล้านครัวเรือน ที่ “ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง”ในจำนวนนี้เป็นครัวเรือนรายได้สูง 0.8670 ล้านครัวเรือน รายได้ปานกลาง 1.4112 ล้านครัวเรือน และรายได้น้อยมากเกือบ 3.6 ล้านครัวเรือน นอกนั้นเป็นครัวเรือนไร้ที่พึ่ง 0.06612 ล้านครัวเรือน ค่าใช้จ่ายครัวเรือนพุ่งเกิน 79% ของรายได้ ต้นตอไม่มีเงินออม ซื้อบ้านไม่ไหว สำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าในปี 2564 ครัวเรือนไทยที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท/เดือน คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ 89% ของจำนวนครัวเรือนไทยโดยรวม ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 79% จนไปกดดันการออมอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลาง และกลุ่มเปราะบางทางการเงิน ทั้งนี้ หากพิจารณาผู้เช่าที่อยู่อาศัยแทนการซื้อ จะพบว่าส่วนใหญ่ 73% มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท/เดือน หรือเป็นกลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลางลงมา 72% ของผู้เช่าที่อยู่อาศัยแทนการซื้อ มองหาที่พักที่มีค่าเช่าไม่เกิน 10,000 บาท/เดือน รองลงมา 21% มองหาที่พักค่าเช่า 10,001-20,000 บาท/เดือน ซึ่งเป็นระดับค่าเช่าที่สามารถผ่อนบ้านราคาปานกลางลงมาได้ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่พร้อม โดยเฉพาะเงินออมไม่พอสำหรับดาวน์บ้าน ความมั่นใจทางด้านรายในอนาคต และสภาพคล่องที่จะสามารถผ่อนในระยะยาวได้ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับข่าวสดออนไลน์https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_7940894#google_vignette

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ข้อดีของการทำ ประกันเดินทาง หมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายเมื่อตกอยู่ในเหตุการณ์ฉุกเฉิน

30/04/2024

การเดินทางในแต่ละทริปนั้น สิ่งที่สำคัญคือความปลอดภัยและการทำ ประกันเดินทาง เพราะอุบัติเหตุอาจเกิดได้โดยไม่ทันคาดคิด ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือสถานที่ใด คนแปลกหน้าหรือมิจฉาชีพเข้ามาทำร้าย ความผิดพลาดทางเทคนิคของยานพาหนะที่พาเราไปในทริปนั้น ๆ ตลอดจนสภาพแวดล้อมในเส้นทางที่เราไป ภัยธรรมชาติและภัยจากสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่ไม่มีใครตอบได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ รูปแบบของประกันการเดินทางมีทั้งสำหรับการเดินทางในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจุดหมายของคุณจะเป็นที่ไหนก็ตาม การทำประกันสำหรับทุกทริปมีข้อดีที่ควรให้ความสำคัญ เป็นประโยชน์ที่คุ้มค่าอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับค่าเบี้ยประกันที่ไม่แพง1. การเดินทางไปต่างบ้านต่างเมือง ผู้เดินทางประสบอุบัติเหตุหรือเกิดเจ็บป่วยกระทันหันต้องเข้าโรงพยาบาลในต่างประเทศ คงไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าบ้านเรา ถ้าไม่มี ประกันการเดินทางต่างประเทศ ก็ต้องจ่ายเอง แต่ถ้ามีประกัน บริษัทประกันจะรับผิดชอบแทนให้ จึงหมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายไปได้ หรือแม้แต่กรณีที่ของหายในต่างแดน ถูกโจรกรรม ชิงทรัพย์ กระเป๋าเดินทางเสียหายหรือสูญสาย ฯลฯ ผู้ทำประกันสามารถเรียกเคลมได้ตามเงื่อนไขของบริษัทประกัน การเดินทางในประเทศก็สามารถเคลมได้เช่นเดียวกัน2. กรมธรรม์ประกันการเดินทางใช้เป็นเอกสารประกอบยื่นขอวีซ่าเชงเก้น ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ต้องการเดินทางไปพำนักในประเทศโซนเชงเก้น (ประเทศในเขตพื้นที่ยุโรปที่ร่วมลงนามในข้อตกลงเชงเก้น) เพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือไม่เกิน 90 วัน การขอวีซ่าไปประเทศเหล่านี้ค่อนข้างยากและจะต้องมีกรมธรรม์ประกันการเดินทาง3. ไม่ต้องรอให้ออกเดินทางก็คุ้มครองแล้ว สำหรับ ประกันการเดินทางในประเทศ และประกันเดินทางไปต่างประเทศจะให้ความคุ้มครองนับตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ดังนั้นหากเกิดกรณีไฟล์ทบินล่าช้า หรือไฟลท์ยกเลิก ไม่ว่าจะเป็นไฟลท์บินในประเทศหรือต่างประเทศ โดยบริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าที่พักแทน และบางบริษัทอาจให้ความคุ้มครองไปถึงการซื้อตั๋วใหม่ด้วย4. ค่าประกันการเดินทางจัดว่ามีอัตราที่ต่ำกว่าประกันอื่น ๆ บางกรมธรรม์มีราคาแค่หลักร้อยเท่านั้นแต่ความคุ้มครองครอบคลุมตลอดการเดินทาง ถือว่าคุ้มค่ามาก นอกจากนี้ยังมีให้เลือกทำประกันแบบเป็นรายเที่ยวสำหรับคนที่ไม่ได้เดินทางบ่อยและไม่อยากจ่ายแพง 5. กรมธรรม์ ประกันเดินทาง เป็นเสมือนเพื่อนร่วมทาง ที่คอยดูแลคุณในทุก ๆ เส้นทาง จะเดินทางในไทยหรือไปต่างประเทศที่อยู่ไกลคนละทวีป กรมธรรม์ฉบับนี้ก็พร้อมจะไปกับคุณทุกที่ เมื่อคุณได้รับอันตราย หรือประสบปัญหาเจ็บป่วย อุบัติเหตุ สามารถติดต่อประกันได้ทุกสถานการณ์ และติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง ถึงแม้จะเดินทางคนเดียวก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครคอยช่วยเหลือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ต้องมีค่าใช้จ่าย ประกันเคลียร์ให้อย่างไรบ้างกรณีที่คุณได้ทำ ประกันเดินทางในประเทศ และต่างประเทศไว้แล้วนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายใด ๆ เพียงแค่ติดต่อกับเจ้าหน้าที่บริษัทประกันเพื่อทำการเคลม โดยทั่วไปการเคลมทำได้สองแบบㆍผู้ทำประกันสำรองจ่ายไปก่อน เป็นวิธีที่แนะนำเพราะหน้างานคุณจะได้รับความสะดวกรวดเร็วกว่าแล้วเก็บเอกสารการรักษา เช่น ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล ใบรับรองแพทย์ พร้อมใบรับรองแพทย์ นำกลับมาเคลมค่าสินไหมกับบริษัทประกันที่ทำไว้ สามารถแจ้งเคลมทางอีเมลก็ได้ เคลมออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทประกัน เคลมด้วยการส่งเอกสารทางไปรษณีย์ไปที่บริษัท หรือช่องทางการเคลมตามที่บริษัทประกันได้ระบุไว้ แต่ถ้าหากไม่สะดวกสำรองจ่าย ก็สามารถเคลมได้โดยการให้ทางบริษัทประกันชำระโดยตรงㆍติดต่อให้ทางบริษัทประกันจ่ายค่ารักษาพยาบาล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละกรมธรรม์ บางครั้งอาจต้องใช้เวลารอเคลมนาน ขึ้นอยู่กับบริการของบริษัทแต่ละแห่งเมื่อกลับจากการเดินทางแล้วควรรีบติดต่อกับทางบริษัทประกันเพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่าย และอย่าลืมเตรียมเอกสารที่ใช้ในการเคลม สำหรับกรณีที่จะเบิกค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล สิ่งที่ต้องเตรียมคือ ใบเสร็จค่ารักษา ใบรับรองแพทย์ กรมธรรม์ประกันเดินทาง พร้อมสำเนาหน้าสมุดบัญชี หรือเช็กกับทางบริษัทก่อนว่ามีเอกสารอื่นใดต้องเตรียมบ้างส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งที่มักเกิดบ่อยคือ ถูกยกเลิกเที่ยวบิน สามารถเคลม ประกันเดินทาง ตามเงื่อนไขความคุ้มครองที่กำหนดในกรมธรรม์ได้เลย แต่ละกรมธรรม์จะมีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน หากไม่แน่ใจก็ให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่บริษัทประกันเพื่อความแน่ใจ ส่วนใหญ่แล้วกรณีที่เคลมได้มักจะเป็นการยกเลิกเที่ยวบินด้วยสาเหตุของสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทาง ความขัดข้องของอุปกรณ์การบิน หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินของสายการบินที่ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ ไม่ว่าเงื่อนไขของกรมธรรม์จะเป็นอย่างไร อย่างน้อยที่สุดผู้ที่มีประกันการเดินทางก็ยังอุ่นใจและไม่ต้องเดือดร้อนกับเหตุการณ์ฉุกเฉินเหล่านี้ เพราะมีบริษัทประกันคอยดูแลเป็นธุระจัดการให้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/489771

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

หุ้น

ดร.นิเวศน์ เปิด 5 กลุ่มหุ้นที่เกลียด ไม่คิดลงทุน

30/04/2024

ดร.นิเวศน์ กูรูนักลงทุนวีไอ เปิดประสบการณ์ 5 กลุ่มหุ้นที่เกลียด ไม่คิดลงทุน ทั้ง “หุ้นโฮลดิ้งกงสี-สินค้าโภคภัณฑ์-ถูกดิสรัปจากเทคโนโลยี-หุ้นไม่มีเจ้าของ-มีเจ้ามือ”วันที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่สายเน้นคุณค่า (Value Investor) สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คนที่ลงทุนหรือเล่นหุ้นมานานมากนั้น ส่วนใหญ่ผมเชื่อว่ามักจะมีความคิดที่ “ฝังใจ” กับหุ้นบางประเภทที่ตนเองเคยประสบ และมีประสบการณ์ที่ “ไม่ดี” ซ้ำอยู่หลายหนจนทำให้ “เข็ด” และหลังจากนั้นก็จะไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วย แม้ว่าหุ้น “ตัวใหม่” อาจจะกำลัง “ดูดี” น่าลงทุนเหตุผลรวบยอดที่ใช้ก็คือ เขา “เกลียด” หุ้นที่มีลักษณะแบบนั้น เพราะลงทุนหรือเล่นแล้วก็มักจะขาดทุนหรือหุ้นไม่ไปไหน ตัวอย่างที่เห็นบ่อย ๆ ในเว็บบอร์ดสาธารณะเกี่ยวกับหุ้น เช่น “กลุ่มหุ้นปันผล” ที่จ่ายหรือกำลังจะจ่ายปันผลงดงามที่มักจะพบคอมเม้นท์ที่ว่า “อยากเอาปันผลไปคืน” หลังจากวัน X-Dividend หรือวันที่ได้รับสิทธิในปันผลไปแล้ว และราคาหุ้นตกลงมามากกว่าเงินปันผลที่ได้พอสมควร ซึ่งทำให้ซื้อแล้ว “ขาดทุน”หุ้นที่ซื้อแล้ว “ขาดทุน” หรือ “ไม่ได้อะไรเลย” แม้ว่าจะวิเคราะห์ดีแล้ว และผลประกอบการก็ออกมา “ดีตามคาด” เป็นหุ้นที่มักทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะ VI รู้สึกผิดหวังมากกว่าปกติและนั่นก็อาจจะไม่ใช่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนถึงจุดหนึ่งเราก็จะ “เกลียด” และจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นแบบนั้น ซึ่งก็มีหลายแบบมากดังตัวอย่างต่อไปนี้หุ้นโฮลดิ้ง-กงสีกลุ่มแรกก็คือ หุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเจ้าของเป็นกลุ่มที่ไม่ใคร่จะสนใจนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายหุ้น อาจจะเพราะพวกเขาไม่เห็นประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเลยเพราะเขาไม่สนใจหรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องระดมเงินอีกต่อไปแล้ว เช่นเดียวกับการที่ไม่คิดจะขายหุ้น ซึ่งอาจจะอยู่ในบริษัทโฮลดิ้งหรือกงสีที่เป็นแหล่งของความมั่งคั่งของคนในกลุ่มของตนเองที่เป็นเจ้าของร่วมกันดังนั้นพวกเขาก็อาจจะไม่สนใจที่จะทำให้ราคาหรือมูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น หรือถ้ากิจการของบริษัทมีกำไรดี เขาก็จะจ่ายปันผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะเงินอยู่กับบริษัทที่เขาควบคุมนั้น ดีกว่าต้องจ่ายออกไปให้กับนักลงทุนที่เป็น “คนนอก” หุ้นจึงมักจะไม่ค่อยไปไหนคนที่เป็น VI รวมถึงผมก็เลยเกลียดหรือไม่ชอบหุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่สนใจผู้ถือหุ้นรายย่อย และผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มาจากต่างชาติบางประเทศที่มักจะมีประวัติดังกล่าวอย่างไรก็ตาม นาน ๆ เราก็อาจจะ “เผลอ” เหมือนกันเวลาเจอหุ้นหรือบริษัทที่ “ดี” และน่าสนใจมาก เราก็อาจจะเข้าไปซื้อหรือเก็งกำไร และก็อาจจะพบว่า “ผิดหวังอีกแล้ว ไม่รู้จักจำ” ว่าเจ้าของบริษัทหรือผู้บริหารเป็นใครหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์หุ้นที่ผม “เกลียด” กลุ่มที่สองก็คือ หุ้นที่มีความเป็นสินค้าโภคภัณฑ์สูงมาก ราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงได้มากเวลาที่อุปสงค์และอุปทานไม่สอดคล้องกันรุนแรง ตัวอย่างเช่น เหล็ก น้ำมัน ยาง ปิโตรเคมี หรือสินค้าบริการอย่างค่าระวางเรือเป็นต้นอย่างไรก็ตาม ระดับของการไม่ชอบและการหลีกเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปลงทุนซื้อขายก็แตกต่างกันบ้างตามความผันผวนของราคาสินค้าและระดับของมาร์จินหรือส่วนต่างราคาซื้อและขายของบริษัทในอุตสาหกรรมแต่ละอย่างธุรกิจที่เกี่ยวกับเหล็กนั้น ผมคิดว่าลำบากมากที่จะทำผลตอบแทนระยะยาวไม่ว่าบริษัทจะดีแค่ไหน ดังนั้น หุ้นเหล็กตัวหนึ่ง ที่แม้ว่าจะ “ยิ่งใหญ่” มากในตลาดหุ้นเวียตนามและทำกำไรได้ดีมากในปัจจุบันผมเองก็จะหลีกเลี่ยง ผมคิดว่า ในระยะยาวแล้ว การถือหุ้นเหล็กคงทำกำไรได้ยาก และถ้าระยะยาว 4-5 ปี ถือไม่ได้ ระยะสั้นแค่ 4-5 นาทีผมก็ไม่ถืออย่างไรก็ตาม หุ้นโภคภัณฑ์นั้น บ่อยครั้งก็ให้ผลตอบแทนแบบ “ทะลุฟ้า 4-5 เด้ง” ได้ง่าย ๆ และนี่ก็ทำให้เรา “เผลอ” เข้าไปเล่นได้ ผมเองเคยคิดอยู่บ้างเหมือนกันในหุ้นบางตัว แต่ก็ไม่ได้ทำและก็พลาดโอกาสทำเงินไป อย่างไรก็ตาม ผมก็พยายาม “ไม่เสียดาย” เพราะเราไม่อยากรับความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงและประเมินไม่ได้ผมจะเล่นต่อเมื่อบริษัทหรือหุ้นที่ทำกิจการโภคภัณฑ์นั้น มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ของราคาสินค้าในทางเดียวกันหมด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงรวมของบริษัทได้มากและที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หุ้นมีราคาที่ “ถูกมาก ๆ” และต่อให้ปีนั้นจะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุด มันก็ยังถูกอยู่ดี เพราะมันจะ “ไม่เจ๊ง” และในไม่ช้ากำไรก็จะกลับมาตามราคาโภคภัณฑ์ที่จะต้องดีขึ้น ตัวอย่างก็เช่น ราคาน้ำมัน เป็นต้นหุ้นถูกดิสรัปจากเทคโนโลยีหุ้นกลุ่มที่ 3 ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานก็คือ กิจการที่อาจจะถูก Disrupt หรือทำลายล้างโดยเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัล ตัวอย่างอาจจะรวมถึงธุรกิจหนังสือ สิ่งพิมพ์ ทีวี และโรงภาพยนตร์ ที่ผมพยายามหลีกเลี่ยง นอกจากนั้นธุรกิจอย่างเช่นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ก็อาจจะกำลังโดนรถไฟฟ้าที่กำลังเข้ามาตีตลาดอย่างรุนแรงทั้งหมดนั้น จริง ๆ ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงหรือแค่บางส่วน นอกจากนั้น บริษัทก็อาจจะสามารถปรับตัวและหาตลาดใหม่โดยใช้เทคโนโลยีเองก็ได้ ดังนั้น ถึงผมจะยังไม่ลงทุน ก็จะคอยติดตามว่าพัฒนาการของธุรกิจเป็นอย่างไร ผลประกอบการแย่ลงเรื่อย ๆ หรือเริ่มดีขึ้น ที่สำคัญ ราคาหุ้นตกลงมาถึงจุดไหนแล้ว ทั้งหมดนั้นก็อาจจะเป็นโอกาสที่จะลงทุนและทำกำไรได้หุ้นไม่มีเจ้าของหุ้นหรือบริษัทกลุ่มที่ 4 ที่ผมคิดว่านักเล่นหุ้นจำนวนมากอาจจะ “เกลียด” แต่ผมเองคิดว่าน่าสนใจก็คือ หุ้นที่ “ไม่มีเจ้าของ” ซึ่งก็มักจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมาก และผู้ถือหุ้นที่ถือจำนวนมากก็จะเป็นสถาบันที่ลงทุนโดยมืออาชีพ เช่นเดียวกับผู้บริหารบริษัทก็จะเป็นมืออาชีพที่จะต้องถูกประเมินโดยผู้ถือหุ้นสำหรับผลงานของตนเองประเด็นที่นักเล่นหุ้นเกลียดหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ การที่หุ้นเหล่านี้มีขนาดใหญ่และมีคนที่พร้อมซื้อขายหุ้นมากเกินไป นอกจากนั้น จำนวนมากก็เป็นนักลงทุนจากต่างประเทศที่มักตัดสินใจซื้อขายหุ้นโดยอิงกับภาวะการเงินและเศรษฐกิจทั่วโลกนั่นทำให้หุ้นใหญ่ ๆ ของไทยปรับตัวขึ้นลงน้อยในแต่ละวันหรือแม้แต่สัปดาห์ เหตุผลก็เพราะว่าคนที่ซื้อขายก็ตัดสินใจโดยอาศัยพื้นฐานกิจการของบริษัทที่มักจะมีการเปลี่ยนแปลงช้า ข่าวดีหรือข่าวร้ายของบริษัทที่เข้ามากระทบนั้น ก็มักจะมีผลไม่มากต่อผลประกอบการโดยรวมดังนั้นราคาหุ้นจึงไม่ใคร่หวือหวา นักเล่นหุ้นที่เน้นการเก็งกำไรเร็ว ๆ จึงมักจะผิดหวังและ “ไม่อยากรอ” พวกเขาจึงมักจะหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้นแต่ผมเองกลับชอบ เพราะราคาของหุ้นจะ “ไม่แพง” โดยเฉพาะในยามที่ภาวะเศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตเร็ว ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่สนใจลงทุนมากนัก และก็อาจจะไม่อยากที่จะถือหุ้นยาวด้วย เพราะมองว่ามีตลาดอื่นที่โตเร็วและเหมาะกับการลงทุนระยะยาวมากกว่าแต่สำหรับผมแล้ว นี่คือกลุ่มที่มีความมั่นคงของผลประกอบการ มีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ กิจการยังสามารถเติบโตได้บ้าง มีค่า PE ปกติไม่เกิน 10 เท่า และสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงมากเช่น 4-5% ต่อปีขึ้นไปได้ต่อเนื่องยาวนาน ผมก็คิดว่าน่าลงทุนและหวังผลตอบแทนได้อย่างน้อย 6-7% ต่อปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะดีกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดในอนาคตหุ้นที่มีเจ้ามือหุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมเกลียดก็คือ “หุ้นที่มีเจ้ามือ” หรือคนที่คอยดูแลทำราคาหรือเรียกว่าเป็น “Market Maker” หรือในกรณีที่รุนแรงก็คือปั่นหุ้นหรือ “คอร์เนอร์หุ้น” ที่ทำให้ราคาหุ้นผิดธรรมชาติมาก อาจจะสูงกว่าพื้นฐานเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัวได้ในระยะเวลาสั้น ๆสิ่งที่จะต้องระวังมากสำหรับหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ หลาย ๆ ตัวเป็นหุ้นที่อาจจะมีพื้นฐานที่ดี มีสตอรี่หรือเรื่องราวของหุ้นที่น่าสนใจมาก นอกจากนั้นก็อาจจะมีผลประกอบการที่ดูเหมือนจะมีการเติบโตสูงมากและบริษัทเป็น “ผู้ชนะ” คล้าย ๆ กับ “ซุปเปอร์สต็อก”แต่ถ้าวิเคราะห์ดูอย่างรอบคอบและไม่ถูกอิทธิพลของการ “เล่าเรื่อง” ประกอบกับผลประกอบการที่กำลังดีขึ้นมาก และราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นราวกับติดจรวด ก็อาจจะพบว่าบริษัทอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้นในระยะยาว ซึ่งก็จะทำให้ในที่สุด ราคาหุ้นที่ขึ้นไปก็จะตกลงมาอย่างแรงจนทำให้คนที่เข้าไปเล่นขาดทุนได้ทั้ง ๆ ที่เคยได้กำไรมโหฬารแต่ไม่ยอมขายเพราะยังเชื่อในตัวหุ้นอยู่ผมเองพยายามและก็มักจะหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้นได้สำเร็จ เพราะเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการสำคัญที่สุดของการลงทุนนั่นก็คือ ถ้าหุ้นมีราคาแพงมากเกินไปมาก ผมไม่ซื้อ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ผมไม่เชื่อสตอรี่ที่ดีเกินไป และก็ไม่ชอบผู้บริหารที่ “โม้” มากเกินไปดังนั้น เมื่อพบว่าบริษัทมีอาการแบบนั้น ผมก็มักจะหลีกเลี่ยงหุ้น ผมพลาดหุ้นแนวนี้เยอะมากในช่วงอย่างน้อย 6-7 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ก็เห็นแล้วว่า คนที่เข้าไปเล่นหุ้นเหล่านั้นเจ็บตัวกันหนัก หลายคน “คืนเงินกลับไปหมดแล้ว” หลังจากคอร์เนอร์ “แตก” กันเป็นระลอกกล่าวโดยสรุปทั้งหมดก็คือ โดยปกติแล้ว ผมจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่เกลียด และจะซื้อก็ต่อเมื่อหุ้นมีราคาถูกถึงถูกมาก และต้องดูแล้วว่ามันก็ไม่ถึงกับเกลียดมากจนซื้อไม่ได้เลยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1435260

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ : ออมเงินพร้อมประหยัดภาษี ยุคตลาดทุนผันผวน

30/04/2024

เข้าสู่ช่วงโค้งของปีกันแล้ว และหลายคนอาจกำลังมองหาเครื่องมือทางการเงินที่จะมาช่วยลดหย่อนภาษี ซึ่ง 2 คู่หูกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ยังคงเป็นทางเลือกในอันดับต้น ๆ ในใจของหลายคน แต่ในช่วงที่ตลาดทุนผันผวนแบบนี้ และพอร์ตลงทุนของหลายคนแดงฉ่ำ ก็ทำเอาแทบไม่มีแรงเดินกันเลยทีเดียวใครที่รู้ตัวว่า ‘ใจบาง’ รับความเสี่ยงได้น้อย ก็คงต้องมองหาทางเลือกใหม่ ๆ ซึ่งบทความนี้ beartaiBRIEF ชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ ‘ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์’ ทางเลือกในการออมเพื่อประหยัดภาษีที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นประกันชีวิตสะสมทรัพย์คืออะไร ?แม้ขึ้นชื่อว่า ‘ประกัน’ แต่ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์นั้นให้ความสำคัญกับการออมเป็นหลัก และได้สิทธิ์คุ้มครองชีวิตด้วย ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะมีระยะเวลาคุ้มครองตลอดชีพ หรือมากกว่า 10 ปีขึ้นไป โดยสามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนดซึ่งประกันตัวนี้นอกจากช่วยเราประหยัดภาษีแล้ว ก็ยังเป็นตัวสร้างวินัยการออมให้กับเราด้วยการกำหนดระยะเวลาชำระเบี้ยที่ชัดเจน เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือรายปี นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นอีกเรื่องคือ การได้รับเงินคืนระหว่างปี ที่เราจะได้เป็นรายปีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งครบกำหนดสัญญา ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นผู้เอาประกันก็จะได้รับเงินก้อนอีกจำนวนหนึ่งแต่!! ไม่ใช่ว่าประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะมีเงินคืนระหว่างปีทั้งหมด เพราะมีแบบที่ไม่มีเงินคืนระหว่างสัญญาด้วย ดังนั้น เราจึงต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขของผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจซื้อ ว่าผลิตภัณฑ์ประกันตัวนี้ตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ต้องพิจารณาเรื่องอะไรบ้าง ?1. วงเงินคุ้มครอง : ส่วนใหญ่ประกันชีวิตที่มีวงเงินคุ้มครองสูง ผลตอบแทนที่ได้รับจะค่อนข้างน้อย เพราะค่าเบี้ยประกันบางส่วนจะถูกนำไปหักจ่ายเป็นค่าความคุ้มครอง เราจึงควรเลือกความคุ้มครองแบบประกันที่ต้องการ2. ระยะเวลาชำระเบี้ย : ควรเลือกให้เหมาะกับอายุและความสามารถในการหารายได้ เช่น ถ้าเป็นแบบประกันระยะยาว 10 – 20 ปี เหมาะกับวัยเริ่มต้นทำงานหรือวัยทำงานมากกว่าวัยใกล้เกษียณ3. งวดการชำระเบี้ย : ส่วนใหญ่จะกำหนดชำระเบี้ยรายปี หากต้องการชำระเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน หรือราย 6 เดือน ก็สามารถทำได้ แต่ค่าเบี้ยรวมต่อปีจะสูงขึ้นราว 2 – 9% ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการออมเงินในประกันชีวิตลดลง4. การจ่ายเงินคืน : บริษัทประกันแต่ละแห่งมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากผู้เอาประกันยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็ควรฝากไว้ในกรมธรรม์ เพราะจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากทั่วไป และที่สำคัญคือไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย5. สภาพคล่อง : ตามปกติแล้ว บริษัทประกันจะนำเบี้ยประกันที่ได้รับจากลูกค้าไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน หากผู้เอาประกันต้องการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดก็อาจได้รับเงินคืนสูงหรือต่ำกว่าที่ชำระเบี้ยไว้ก็ได้ เราจึงควรศึกษารายละเอียดกรมธรรม์อย่างรอบคอบแบบไหนถึงใช่ ?ประกันชีวิตสะสมทรัพย์จะมีตัวเลขสองตัว XX/X เป็นสัญลักษณ์ เช่น 10/5, 20/5 ซึ่งเลขตัวหน้า หมายถึง ระยะเวลาความคุ้มครอง และตัวหลัง หมายถึง ระยะเวลาการชำระเบี้ย เราจึงสามารถแบ่งประกันชีวิตสะสมทรัพย์ได้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้1. ชอบจ่ายสั้น แต่คุ้มครองได้ยาว ๆ : ควรเลือกระยะเวลาความคุ้มครองเป็นหลัก เช่น ผลิตภัณฑ์แบบ 20/5 หมายถึง ชำระเบี้ย 5 ปี คุ้มครอง 20 ปี โดยจะมีเงินคืนตามเงื่อนไขของแผนความคุ้มครอง2. ได้เงินก้อนเร็ว : ควรเลือกแบบระยะสั้น เช่น 10/5 หมายถึง จ่ายเบี้ย 5 ปี คุ้มครอง 10 ปี หรือ 14/5 จ่ายเบี้ย 5 ปี คุ้มครอง 14 ปี และมีเงินคืนตามเงื่อนไขของแต่ละแผนที่แตกต่างกันออกไปประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการออมและบริหารภาษีเป็นหลัก ดังนั้น ผลตอบแทนอาจไม่มากเท่าการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ นอกจากนี้ การออมเงินผ่านผลิตภัณฑ์ประกันดังกล่าว ก็มีสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ ไม่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ทันที จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, Krungsri The COACHพิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัสแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับbeartaihttps://www.beartai.com/brief/1327436

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

พึงระวัง “ทุกขลาภ” มรดก รู้จักวางแผนภาษีส่งต่อทรัพย์สินให้กับทายาท

30/04/2024

บทความโดย "ปีย์วรงค์ เชี่ยววณิชชา"  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 24 ตุลาคม 2566 แม้ว่าการพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัว จะนำมาซึ่งความเศร้าโศก แต่บางครั้งการได้รับมรดกจากผู้ล่วงลับ อาจสร้างความทุกข์ใจได้ จึงควรศึกษาข้อกฎหมาย เพื่อเตรียมส่งต่อทรัพย์สินให้กับทายาทหรือผู้สืบสันดานไปพร้อมกับความสุขและความสบายใจ มรดก อ้างอิงความหมายตามมาตรา 1599-1600 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมายถึง “ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ด้วย ซึ่งทายาทของผู้ตายต้องรับสืบทอดหนี้สินของผู้ตายไปพร้อมกับทรัพย์สิน เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้” ซึ่งสามารถเป็นทรัพย์สินในรูปแบบใดก็ได้ เช่น เงินฝาก หลักทรัพย์ ยานพาหนะ อสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา ในพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ.2558 กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า “ผู้รับมรดกมีหน้าที่เสียภาษีหากได้รับมรดกจากเจ้ามรดกแต่ละรายหักด้วยภาระหนี้สินอันตกทอดมาจากการรับมรดกนั้น ในส่วนที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท ในอัตราสูงสุดร้อยละ 10 ของมูลค่ามรดกในส่วนที่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าผู้รับมรดกเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 และได้รับยกเว้นภาษีมรดกสำหรับคู่สมรสจดทะเบียนตามกฎหมาย โดยผู้รับมรดกจะต้องชำระภาษีภายใน 150 วันนับจากวันที่ได้รับมรดก และสามารถเลือกผ่อนจ่ายได้สูงสุด 5 ปี โดยมีภาระเงินเพิ่มร้อยละ 0.5 ต่อเดือน สำหรับการผ่อนตั้งแต่ปีที่ 3 ขึ้นไป หากไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในเวลาที่กำหนด ให้เสียเบี้ยปรับอีก 1 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ หรือหากยื่นแบบแสดงรายการไม่ครบถ้วน ให้เสียเบี้ยปรับอีก 0.5 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ” ตัวอย่าง ทายาทได้รับมรดกเป็นเงินสดมูลค่า 200 ล้านบาท จะคิดเป็นภาษีที่ต้องชำระในอัตราสูงสุด 5 ล้านบาท ภายใน 150 วัน หรือผ่อนจ่ายได้สูงสุด 5 ปี พร้อมเงินเพิ่มประมาณ 1.5 ล้านบาท หากไม่สามารถชำระภาษีทั้งหมดได้ใน 2 ปีแรก และหากไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในเวลาที่กำหนด จะเสียเบี้ยปรับ 5 ล้านบาท หรือหากยื่นแบบแสดงรายการไม่ครบถ้วน จะเสียเบี้ยปรับอีก 2.5 ล้านบาท ซึ่งกรณีนี้นับว่าโชคดีที่ได้รับมาเป็นเงินสด สามารถนำเงินสดที่เป็นมรดกนั้นไปชำระภาษีได้ทันที แต่ทายาทก็จะไม่ได้รับมรดกเท่ากับที่เจ้ามรดกได้ตั้งใจส่งต่อไว้ให้แต่แรก หากผู้รับมรดกไม่ได้เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน แต่เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรม ได้รับเป็นบ้านและที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงแต่แปลงเป็นเงินสดได้ยาก เช่น ที่ดินราคาประเมิน 200 ล้านบาท เพียงอย่างเดียว ผู้รับมรดกจะต้องมีภาระนำเงินสดจำนวน 10 ล้านบาท มาชำระภาษีภายใน 150 วัน นับแต่วันที่ได้รับมรดก ไม่รวมถึงค่าธรรมเนียมการโอนร้อยละ 2 ของราคาประเมิน หรือ 4 ล้านบาท ซึ่งผู้รับมรดกอาจจะไม่ได้มีเงินสดมากพอ หรือเป็นไปได้ยากที่จะสามารถขายที่ดินดังกล่าว เพื่อแปลงเป็นเงินสดมาชำระภาษีได้ทันก่อนมีเบี้ยปรับตามเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น หากเจ้ามรดกไม่อยากให้ทรัพย์มรดกของตนเป็นทุกขลาภแก่บุพการี ทายาทผู้สืบสันดาน หรือผู้รับพินัยกรรม ควรวางแผนการจัดการทรัพย์สิน ดังนี้ ผ่องถ่ายทรัพย์สินบางอย่างให้ทายาท 1. เจ้ามรดกควรพิจารณาผ่องถ่ายทรัพย์สินบางอย่างให้กับทายาท โดยอาศัยข้อกำหนดในมาตรา 48 เรื่องภาษีการรับให้ว่า “บุพการีสามารถยกหรือโอนทรัพย์สินของตนให้กับผู้สืบสันดานได้ โดยผู้สืบสันดานนั้นจะได้รับการยกเว้นภาษีการรับให้ในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี หากมีมูลค่าเกินกว่านั้น ผู้สืบสันดานต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5” เพราะฉะนั้นก่อนเสียชีวิต บุพการีที่ตั้งใจจะยกที่ดินราคาประเมิน 200 ล้านบาท ให้กับทายาทคนหนึ่ง สามารถจัดสรรที่ดินออกเป็นแปลงย่อย แล้วทยอยโอนให้กับทายาทที่ตั้งใจไว้ โดยมีมูลค่ารวมไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี จนกว่าที่ดินผืนดังกล่าวจะเหลือมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท จึงทิ้งไว้เป็นมรดกได้ พร้อมดูแลค่าธรรมเนียมการโอนในอัตราร้อยละ 0.5 ในแต่ละครั้งให้กับทายาทด้วย สำหรับเจ้ามรดกที่มีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านบาท และต้องการมอบให้กับผู้รับมรดกตามพินัยกรรม สมควรอย่างยิ่งที่จะวางแผนผ่องถ่ายทรัพย์สินต่าง ๆ ให้เหลือมูลค่าเป็นมรดกน้อยกว่า 100 ล้านบาท เพื่อไม่ให้เสียภาษีมรดกร้อยละ 10 ในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทนั้น โดยในการโอนทรัพย์สิน เจ้ามรดกต้องพึงระวังว่า การให้โดยเสน่หากับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุพการี ทายาทหรือผู้สืบสันดาน จะได้รับยกเว้นภาษีการรับให้ในส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ถ้าเกินกว่านั้นจะเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5  ซึ่งก็ยังน้อยกว่าอัตราภาษีมรดกในกรณีนี้อยู่ดี ทำพินัยกรรมโดยละเอียดถี่ถ้วน 2. เจ้ามรดก ควรพิจารณาทำพินัยกรรมโดยละเอียดถี่ถ้วน หากตั้งใจมอบทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท ให้กับผู้รับมรดกรายใดรายหนึ่ง ควรเพิ่มมรดกในส่วนที่เป็นเงินสดอีกร้อยละ 5-10 ของมูลค่าทรัพย์สินดังกล่าว เพื่อเพิ่มเงินสดสภาพคล่องให้ผู้รับมรดกใช้เสียภาษีและเสียค่าธรรมเนียมดำเนินการต่าง ๆ เป็นการลดภาระของผู้รับมรดกในอนาคตได้ หรือหากเจ้ามรดกไม่ได้เตรียมเงินสดไว้ตั้งแต่แรก การทำประกันชีวิต แล้วกำหนดทุนชีวิตให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ผู้รับมรดกที่ได้ถูกระบุชื่อเป็นผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์ จะได้รับเงินค่าสินไหมมรณกรรมโดยตรงทันทีที่เจ้ามรดกผู้เอาประกันเสียชีวิต ก็จะสามารถประหยัดเงินมรดกที่ต้องเตรียมล่วงหน้าไว้ได้ ดังจะเห็นได้ว่า เจ้ามรดกที่มีทรัพย์สินมาก อาจสร้างปัญหาให้กับผู้รับมรดกในอนาคตได้ หากไม่มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายภาษีมรดกและการรับให้ รวมถึงหากไม่มีการทำพินัยกรรมที่ละเอียดถี่ถ้วนรองรับไว้ด้วย ดังนั้น เพื่อให้ผู้เป็นที่รักได้ส่งต่อทรัพย์สินตามที่ตั้งใจและมีความสงบสุขในสัมปรายภพ การวางแผนภาษีและมรดก เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาจัดทำขึ้นร่วมกับทนายวิชาชีพ หรือที่ปรึกษาการเงินที่ได้รับการรับรองคุณวุฒิจากสมาคมนักวางแผนการเงินก่อนที่จะสายเกินไป แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1417306

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

คปภ. เพิกถอนไลเซนส์ตัวแทนขายข้อมูลลูกค้า นาน 5 ปี ฝ่าฝืนโทษติดคุก

30/04/2024

คปภ. ลงดาบเพิกถอนใบอนุญาต “ตัวแทนประกันชีวิต” ถูกตำรวจไซเบอร์จับกุม กรณีลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปขายให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ เป็นเวลา 5 ปี ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้แถลงผลการจับกุมนายพศิน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี มีอาชีพเป็นนายหน้าประกันภัยโดยมีพฤติกรรมลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปขายให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ ส่งผลทำให้ลูกค้าอาจได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าวนั้นสำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานของรัฐมีบทบาทหน้าที่ในการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยกับประชาชน เห็นว่ากระทำของบุคคลดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการนำระบบประกันภัยเข้าไปบริหารความเสี่ยงภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมากดังนั้น จึงได้สั่งการให้สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย ร่วมกับสายกฎหมายและคดี สำนักงาน คปภ. บูรณาการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับใบอนุญาตของผู้ถูกจับกุมรายนี้ทันทีทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏ พบว่านายพศิน (ขอสงวนนามสกุล) เป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ซึ่งกระทำความผิดจริง โดยนายพศินได้รับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกการตรวจค้น/ตรวจยึด/จับกุม ฉบับลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2566โดยอาศัยประโยชน์จากการที่ตนเองเป็นตัวแทนประกันชีวิตที่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันภัย และมีการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยกล่าวคือ การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล อันประกอบด้วย ชื่อ-สกุล เลขประจำตัวประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ของผู้เอาประกันภัย เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกจากวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้กับบริษัทประกันชีวิตที่เป็นต้นสังกัด ด้วยการลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปแลกเปลี่ยนกับบุคคลภายนอกเพื่อประโยชน์ส่วนตนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยแต่อย่างใด และจากการตรวจสอบข้อเท็จเพิ่มเติมพบว่าข้อมูลดังกล่าวได้มาจากการเสนอขายประกันภัยเพียงบางส่วนและบางส่วนนายพศินได้หามาจากตลาดมืด เพื่อประสงค์เอามาใช้ในการเสนอขายประกันภัย เพื่อประโยชน์ของตนเอง และได้นำข้อมูลมาขายให้แก่กลุ่มมิจฉาชีพ และจากการสอบข้อเท็จจริงจากบริษัทประกันภัย พบว่าตั้งแต่นายพศินเป็นตัวแทนของบริษัทถึงปัจจุบันได้มีการเสนอขายประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยเพียง 11 รายเท่านั้นการกระทำดังกล่าวของนายพศินจึงเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประกาศที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยกำหนด ตามมาตรา 79/1 ในประการที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือประชาชนและเป็นการดำเนินงานที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือประชาชน อันเป็นความผิดตามมาตรา 81/1 (2) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบข้อ 37 แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการออก และเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิตและการดำเนินการของตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต และธนาคาร พ.ศ. 2563 และมาตรา 80 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562ประกอบกับกรณีดังกล่าวเป็นเหตุจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากหากปล่อยให้ล่าช้าออกไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะได้ ตามมาตรา 30 (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติมจึงเห็นสมควรเพิกถอนใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของนายพศิน พร้อมลงประกาศหรือโฆษณาการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิตของตัวแทนประกันชีวิตรายนี้ ในเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยรายอื่น หรือประชาชนในวงกว้างต่อไปโดยผู้ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตรายดังกล่าวจะไม่สามารถกระทำการเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัย หรือขอรับใบอนุญาตใหม่ได้ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับดังนั้น จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าสำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยกับประชาชน จะไม่นิ่งเฉยต่อบุคคลใด ๆ ที่สร้างความเสียหายและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบประกันภัยไทย โดยสำนักงาน คปภ.จะดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัดในทุกมิติทั้งนี้ หากพบเห็นพฤติกรรมการหลอกลวงด้านประกันภัยให้รีบแจ้งข้อมูลไปยังสำนักงาน คปภ. โดยตรง ผ่านสายด่วน คปภ. 1186แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1432456

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เริ่มเก็บวันนี้ ดีกว่ารอวันพรุ่งนี้ หากช้าจะหนักกับเงินที่ต้องแบ่งมาออม

30/04/2024

บทความโดย "วิชาญ จันทร์สอน"  ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ข้อมูลจากเว็บไซต์มิเตอร์ประเทศไทย (11 มกราคม 2566) รายงานว่า ประชากรประเทศไทยมีจำนวน 66,214,465 คน ในจำนวนนี้ประชากรสูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปี จำนวน 13,316,212 คน คิดเป็น 20.11% และหากดูจำนวนประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มีจำนวน 8,890,840 คน คิดเป็น 13.42% หมายความว่า โครงสร้างประชากรไทยอยู่ในช่วง Aged Society ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ 1. Aging Society ระดับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี มากกว่า 7% ของประชากรทั้งประเทศ 2. Aged Society ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี มากกว่า 14% ของประชากรทั้งประเทศ 3. Super–Aged Society ระดับสังคมผู้สุงอายุอย่างเต็มที่ หมายถึง ประเทศที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ รวยกระจุก จนกระจาย ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ณ เดือนตุลาคม 2565 พบว่ายอดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ 97,667,954 บัญชี มียอดเงินฝาก 386,686 ล้านบาท มียอดเฉลี่ยต่อบัญชี 3,959 บาท ซึ่งคิดเป็น 89.13% ของบัญชีออมทรัพย์ สำหรับบัญชีที่มียอดเงินฝากเกิน 50,000 บาท มีจำนวน 11,907,318 บัญชี มียอดเงินฝาก รวม 10,755,105 ล้านบาท เฉลี่ยยอดเงินฝากต่อบัญชีสูงถึง 903,189 บาท เรียกได้ว่ารวยกระจุก จนกระจาย สำหรับผู้ที่วางแผนการเงินอย่างมีขั้นตอนคงไม่มีปัญหา แต่สำหรับผู้ที่กังวลว่าตัวเองเริ่มเก็บออมช้าและอาจมีเงินไม่เพียงตอกับการใช้ชีวิตหลังเกษียณ อย่าเพิ่งตกใจ เพราะทุกปัญหามีทางแก้ 1. สำรวจค่าใช้จ่าย จดบันทึกค่าใช้จ่ายในแต่ละวันที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะจ่ายด้วยเงินสด ชำระด้วยบัตรเครดิต แล้วมาดูว่ามีรายการใดเป็นรายจ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีพ ไม่จ่ายไม่ได้ รายการใดเป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ละเอียดยิ่งขึ้น ให้แบ่งระดับความไม่จำเป็น เป็น 2 ระดับคือ ความไม่จำเป็นระดับที่ 1 ไม่จำเป็นมากที่สุด ไม่มีผลกระทบอะไรในชีวิต เป็นการใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว ความไม่จำเป็นระดับที่ 2 ไม่จำเป็น ใช้จ่ายได้บ้าง แต่ลดความถี่ลง และเลิกไปในที่สุด ภายในไม่กี่เดือน จะเห็นแล้วว่าเมื่อตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ก็จะมีเงินออมขึ้นมาทันที 2. สำรวจหนี้สิน หากปราศจากหนี้ ก็จะสามารถก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว แต่หากยังมีหนี้สินอยู่ก็ให้จัดทำสรุปรายการหนี้สินสินทั้งหมดและวางแผนการปลดหนี้ให้หมดโดยเร็ว โดยเฉพาะหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล หากมีหนี้บ้านปกติชำระเดือนละครั้งก็เพิ่มการชำระงวดกลางเดือนเข้าไปอีก จะสามารถลดดอกเบี้ยโดยรวมได้และหมดหนี้เร็วยิ่งขึ้น 3. สร้างรายได้เพิ่ม เก็บออมให้มากขึ้น ปัจจัยในการสร้างผลตอบแทนให้สูงประกอบด้วย จำนวนเงินต้น x ระยะเวลา x อัตราผลตอบแทน ดังนั้น ในเมื่อเริ่มเก็บออมช้าจึงต้องเพิ่มจำนวนให้ต้นให้มากพอ เพื่อจะได้ไปสู่เป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น และนอกจากเก็บออมให้มากขึ้นแล้ว หากมีความสามารถพิเศษก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการหารายได้เสริม 4. ต่อยอดเงิน บริหารการเงินการลงทุนลงทุนสู่เป้าหมาย เมื่อมีเงินเหลือจากการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หนี้สินลดลง (และปราศจากหนี้สินในที่สุด) มีรายได้เพิ่มและเก็บเงินได้เพิ่ม ก็สามารถนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามที่วางแผนเอาไว้เพื่อต่อยอดผลตอบแทน ถึงแม้จะไม่มีคำว่า “สาย” กับการวางแผนการเงิน แต่หากเริ่ม “ช้า” ก็จะหนักกับเงินที่ต้องแบ่งมาออมในแต่ละเดือน เพราะยิ่งอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าต้องการมีเงินเก็บไว้ใช้หลังวัยเกษียณให้เพียงพอไปจนถึงวันสิ้นลมหายใจก็ต้องลงทุนในแต่ละเดือนไม่ใช่หลักร้อยหลักพันบาท แต่อาจเป็นหมื่นบาท ดังนั้น ควรเริ่มต้นกันตั้งแต่เนิ่น ๆ และลงมือทำทันที แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1411074

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ เติบโตในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ด้วยมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35

30/04/2024

ฮ่องกง, 3 พฤศจิกายน 2566 - กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“บริษัท”) ยินดีที่จะประกาศดัชนีชี้วัดความสำเร็จของธุรกิจใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 สรุปมาตรวัดทางการเงินที่สำคัญ อัตราการเติบโตจัดทำโดยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่   •  มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตขึ้นร้อยละ 35 มีมูลค่าอยู่ที่ 994 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3   •  ในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง อาเซียน และอินเดีย มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นตัวเลขสองหลัก   •  เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 54 มีมูลค่า 1,938 ล้านเหรียญสหรัฐ   •  อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ แข็งแกร่งอยู่ที่ร้อยละ 51.2 เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2566นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “ความแข็งแกร่งและการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจในกลุ่มเอไอเอ ส่งมอบผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในส่วนของมูลค่าธุรกิจใหม่อีกครั้งในไตรมาสที่ 3 ซึ่งนับเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับมูลค่าธุรกิจใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 3ของกลุ่มบริษัท ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการในผลิตภัณฑ์และบริการของเราหลังจากผ่านช่วงวิกฤตโรคระบาด เราได้สร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งอย่างมากในครึ่งปีแรกด้วยการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก โดยส่วนธุรกิจหลักที่เติบโตมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง อาเซียน และอินเดีย ซึ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้มูลค่าธุรกิจใหม่ของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 “เราได้ทำการมุ่งเน้นดำเนินงามตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยยกระดับความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับเอไอเอ ซึ่งเป็นส่วนสนับสนุนให้มูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตอย่างยอดเยี่ยมในไตรมาสที่ 3 โดยมาจากทั้งช่องทางตัวแทนและช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเรา โปรแกรมสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพภายในกลุ่มบริษัท ได้สร้างความแตกต่างให้กับพรีเมียร์ เอเจนซี่ และได้ช่วยให้เกิดการเติบโตไตรมาสต่อไตรมาสสำหรับการสรรหาตัวแทนรายใหม่ ตลอดจนการเพิ่มขึ้นปีต่อปีของจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงาน อีกทั้งช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเรายังได้สร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่จากแต่ละส่วนธุรกิจที่มีการรายงาน“ในจีนแผ่นดินใหญ่ ผมยินดีอย่างยิ่งที่เราได้รับการอนุมัติจากหน่วยการกำกับดูแลให้อัพเกรดใบอนุญาตฉือเจียจวงของเราให้ครอบคลุมทั่วทั้งมณฑลเหอเป่ย “เอไอเอ อยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นในด้านความคุ้มครองและโซลูชันด้านการออมระยะยาว ซึ่งเรายังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้คนหลายล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมกับส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของเราทุกฝ่าย” บทสรุปไตรมาสที่ 3 เอไอเอมีมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 คิดเป็นมูลค่า 994 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 โดยมีผลมาจากการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมจากทุกช่องทางการขาย ช่องทางตัวแทนอันเป็นเอกสิทธ์ของเรามีมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 ในขณะที่ช่องทางพันธมิตรธุรกิจเติบโตขึ้นร้อยละ 62 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 การเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ขยายเป็นวงกว้างโดยเพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลักจากการดำเนินงานในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง อาเซียน และอินเดีย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 เมื่อเทียบแบบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 3,023 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่าผลประกอบการรวมทั้งปี 2565 เมื่อพิจารณาจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เอไอเอ ประเทศจีน สร้างมูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตมากกว่าร้อยละ 20 ในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากครึ่งปีแรก อันเป็นผลต่อเนื่องจากการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งของจีนแผ่นดินใหญ่หลังสถานการณ์โรคระบาด ในขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อการออมทรัพย์ระยะยาวยังคงมีมากอย่างต่อเนื่อง เรายังได้สร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่จากผลิตภัณฑ์ประกันโรคร้ายแรงในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 อย่างดีเยี่ยมในอัตราเลขสองหลัก ตัวแทนคุณภาพสูงที่ได้สร้างความแตกต่างให้กับพรีเมียร์ เอเจนซี่ของเรานั้น ยังคงเป็นความมุ่งเน้นหลักและเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ ส่วนในช่องทางพันธมิตรด้านประกันผ่านธนาคารนั้น มีการผสมผสานระหว่างการเติบโตที่แข็งแกร่งแบบไตรมาสต่อไตรมาสและอัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่จากช่องทางตัวแทนโดยรวมยังคงที่เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก และอัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่โดยรวมดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3 โดยได้รับแรงหนุนจากแบบประกันการคุ้มครองแบบดั้งเดิม การปรับเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้นของแบบประกันออมทรัพย์ระยะยาว และการปรับราคาผลิตภัณฑ์ ตัวแทนในพรีเมียร์ เอเจนซี่ของเอไอเอ ประเทศจีน ได้สร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่ยอดเยี่ยมทั้งในหน่วยงานที่มีอยู่ และในภูมิภาคใหม่ โดยมีผลมาจากจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานซึ่งมีเพิ่มขึ้นในอัตราเลขสองหลักเมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงศักยภาพที่สูงขึ้นของตัวแทน โดยภูมิภาคใหม่ของจีนได้สร้างมูลค่าธุรกิจใหม่มากกว่าร้อยละ 5 ของมูลค่าธุรกิจใหม่จากตัวแทนในไตรมาสที่ 3 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเปิดตัวสาขาใหม่ที่มณฑลเหอหนานในเดือนพฤษภาคมอย่างเป็นผลสำเร็จ การสรรหาบุคลากรตัวแทนยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องโดยการรับตัวแทนใหม่มีการเติบโตในอัตราเลขสองหลักเมื่อเทียบแบบปีต่อปี ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของจำนวนตัวแทนทั้งหมดในไตรมาสที่ 3 โปรแกรมพัฒนาศักยภาพตัวแทนฉบับปรับปรุงใหม่มีส่วนทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของตัวแทนสูงขึ้น ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยของตัวแทนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เป็นระดับเดียวกับก่อนสถานการณ์โรคระบาด เรายังคงเดินหน้าด้วยดีกับการขยายพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของเอไอเอ ประเทศจีน อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้รับการอนุมัติให้อัพเกรดใบอนุญาตฉือเจียจวงให้ครอบคลุมมณฑลเหอเป่ยทั้งหมด เอไอเอ ฮ่องกง ประสบความสำเร็จในการเพิ่มมูลค่าธุรกิจใหม่อย่างยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 แม้ว่าธุรกิจในประเทศได้ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ยอดขายให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของมูลค่าธุรกิจใหม่ของเอไอเอ ฮ่องกง ในไตรมาสนี้ ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับครึ่งแรกของปี 2566 แรงผลักดันในการสรรหาบุคลากรตัวแทนในพรีเมียร์ เอเจนซี่ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และประสิทธิภาพการทำงานของตัวแทนโดยรวมนั้นสูงกว่าในช่วงเวลาก่อนสถานการณ์โรคระบาด สำหรับช่องทางพันธมิตรธุรกิจนั้น มีการเติบโตอย่างดีเยี่ยมจากทั้งพันธมิตรธนาคารและช่องทางของที่ปรึกษาด้านประกันชีวิตและการเงิน (IFAs) เอไอเอ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจในครึ่งปีแรกอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่โดดเด่นในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 มาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ตลอดจนจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานและผลผลิตของตัวแทนได้เพิ่มสูงขึ้นในอัตราเลขสองหลัก นอกจากนี้เรายังเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนตัวแทนรายใหม่ ส่วนธุรกิจในสิงคโปร์และมาเลเซียนั้น มีรายงานว่ามูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากช่องทางการขายทั้งตัวแทนและช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเรา ตามที่ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเชิงลบยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประกันชีวิตในเวียดนาม หากไม่รวมเวียดนาม ตลาดอื่น ๆ มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่มาจากการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่มีตัวเลขสองหลักอย่างแข็งแกร่งจากทั้งสองธุรกิจของเราในอินเดีย ซึ่งเป็นผู้สร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้กับกลุ่มบริษัทเอไอเอได้มากที่สุดในกลุ่มตลาดนี้รวมถึงฟิลิปปินส์ สำหรับ Tata AIA Life ในอินเดียมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมจากตัวแทนอันเป็นเอกสิทธ์ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทประกันชีวิตเอกชนรายใหญ่อันดับสามในอินเดีย โดยรวมแล้ว ธุรกิจในอาเซียนของเรามีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นเลขสองหลัก โดยภาพรวม เบี้ยประกันภัยรับปีแรกสำหรับกลุ่มบริษัทเอไอเอเพิ่มขึ้นร้อยละ 54 เป็น 1,938 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตรากำไรจากมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.2 จากไตรมาสแรกของปี 2566 ตามแนวปฏิบัติของบริษัท สมมติฐานผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวที่ใช้ในการคำนวณมูลค่าธุรกิจใหม่ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากที่แสดงในรายงานประจำปี 2565 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 อัตรากำไรขั้นต้นที่รายงานตามมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันธุรกิจใหม่ (PVNBP) ยังคงทรงตัวที่ร้อยละ 10 ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เป็น 9,355 ล้านเหรียญสหรัฐ สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นพร้อมปรับตัวของเอไอเอเป็นตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญและความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก โดยได้รับการสนับสนุนจากการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งของเรา และแนวทางการลงทุนที่พิจารณาจากภาระหนี้สินประกันภัยเป็นสำคัญ แนวโน้มอนาคต โอกาสในระยะยาวสำหรับธุรกิจของเอไอเอนั้นยอดเยี่ยมมาก เนื่องจากเรามีความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างมาก การกระจายความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ และตัวขับเคลื่อนการเติบโตเชิงโครงสร้างที่ทรงพลังสำหรับการประกันชีวิตและสุขภาพในเอเชีย การเพิ่มขึ้นของรายได้ การแทรกแซงจากบริษัทประกันเอกชนอยู่ในระดับต่ำ และการคุ้มครองสวัสดิการสังคมที่จำกัด ยังคงขับเคลื่อนความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของเอไอเอในตลาดของเราเรามั่นใจว่าการดำเนินการตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เอไอเอสามารถคว้าโอกาสระยะยาวมหาศาลในตลาดประกันชีวิตและสุขภาพในเอเชีย และสามารถส่งมอบมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายของเราต่อไป ความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เอไอเอได้รับเบี้ยประกันภัยส่วนใหญ่ในสกุลเงินท้องถิ่นและเราจับคู่สินทรัพย์และหนี้สินของเราอย่างใกล้ชิดเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เมื่อรายงานตัวเลขรวมของกลุ่มบริษัท จะมีผลการแปลงสกุลเงินเมื่อเรารายงานเป็นเหรียญสหรัฐ เราได้รายงานอัตราการเติบโตและใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น เนื่องจากข้อมูลนี้ให้ภาพที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของธุรกิจ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

รู้จักบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ ตัวช่วยออม – บริหารเงินยุคดอกเบี้ยสูง

30/04/2024

หลายคนคงเริ่มได้รับผลกระทบจากดอกบี้ยเงินกู้ที่ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านที่คิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ยิ่งหันมาดูบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ก็อาจยิ่งท้อแท้กับดอกเบี้ยรับเพียงหยิบมือเดียว ดังนั้น บัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ หรือ FCD จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการออมเพื่อรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับเงินฝากออมทรัพย์แบบปกติที่เราคุ้นเคย แล้วบัญชีเงินฝาก FCD คืออะไร? บทความนี้จะ BRIEF ให้คุณฟัง FCD หรือ Foreign Currency Deposit เป็นบัญชีเงินฝากสำหรับผู้ที่ต้องการฝากเงินเป็นสกุลต่างประเทศ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภทเช่นเดียวกันบัญชีเงินฝากสกุลเงินบาท คือ บัญชีออมทรัพย์, บัญชีกระแสรายวัน และบัญชีฝากประจำ ปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ แข่งขันกันออกเงินฝาก FCD กันมากขึ้น และดึงดูดผู้ฝากเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง ตามแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นทั่วโลก เช่น บัญชี FCD สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เป็นเงินฝากประจำให้ดอกเบี้ยขั้นต่ำสูงถึง 5% ต่อปี โดยปัจจุบันธนาคารต่าง ๆ ในไทยเปิดรับเงินฝาก FCD มากกว่า 15 สกุลเลยทีเดียว ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์เน้นให้บริการเงินฝาก FCD กับลูกค้าธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ส่งออกและนำเข้า รวมถึงผู้ประกอบการที่มีธุรกรรมด้านต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน จนกระทั่งในปี 2563 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผ่อนคลายเกณฑ์บัญชี FCD ครั้งใหญ่ และเป็นการปลดล็อกให้คนไทยทุกคนสามารถใช้บัญชี FCD ได้ง่ายขึ้นเหมือนการใช้บัญชีเงินบาท กล่าวคือ เปิดง่ายขึ้น ไม่จำกัดวงเงิน และโอนเงินในประเทศระหว่างบัญชี FCD ของคนไทยด้วยกันได้อย่างเสรีขึ้นอีกด้วย ทำให้บัญชีเงินฝาก FCD ได้รับความสนใจมากขึ้น บัญชี FCD มีดีอะไร ? สำหรับบุคคลทั่วไปหรือนักลงทุนรายย่อย สามารถใช้ประโยชน์จากบัญชี FCD เป็นเครื่องมือในการบริหารเงิน ออมเงิน และลงทุน เช่น พ่อแม่ที่กำลังวางแผนส่งลูกไปเรียนต่อประเทศอังกฤษ อาจเปิดบัญชีเงินฝาก FCD สกุลเงินปอนด์ เพื่อเป็นทุนการศึกษา หรือเป็นค่าใช้จ่ายให้ลูกเมื่อถึงเวลาเดินทาง ในขณะที่คนรุ่นใหม่ที่วางแผนบินไปสหรัฐอเมริกาเพื่อ Work and Travel ก็สามารถเปิดบัญชี FCD สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เตรียมการไว้ก่อนได้ สำหรับผู้ฝากเงินที่ต้องการผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้น บัญชีเงินฝาก FCD ก็เป็นทางเลือกการออมที่น่าสนใจ นอกจากนี้ ผู้ฝากเงินที่ยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้นก็อาจต่อยอดด้วยการนำเงินฝาก FCD ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ อาทิ ตราสารหนี้ หรือหุ้นต่างประเทศเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ซึ่งในส่วนของนักลงทุนก็อาจใช้ประโยชน์จากบัญชี FCD ในการบริหารเงินออมและเงินลงทุนได้เช่นกัน บัญชี FCD มีความเสี่ยงหรือไม่ ? โดยพื้นฐานแล้วเงินฝากเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำสุด แต่เงินฝาก FCD จะมีความเสี่ยงสูงกว่าเงินฝากสกุลเงินบาท เพราะมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ บัญชีเงินฝาก FCD ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเปิดบัญชีประเภทนี้จึงควรศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขของบัญชีให้ชัดเจน บัญชี FCD มีเงื่อนไขอะไรบ้าง ? แม้ ธปท. จะผ่อนคลายกฎระเบียบบัญชีเงินฝาก FCD ลงมามาก รวมถึงการเปิดเสรีในหลาย ๆ เงื่อนไข เพื่อให้ผู้ฝากเงินรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการเงินฝากประเภทนี้ก็มีข้อกำหนดในการเปิดบัญชีที่แตกต่างกันออกไป โดยเงื่อนไขหลัก ๆ ได้แก่ วงเงินฝากขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมในการฝาก – ถอนเงิน ค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน ค่าธรรมเนียมในการรักษาบัญชี กรณีที่เงินฝากไม่มีการเคลื่อนไหว ทั้งนี้ สินทรัพย์ทางการเงินทุกประเภทมีทั้งโอกาสและความเสี่ยงอยู่ในตัวเสมอ เช่นเดียวกับบัญชีเงินฝาก FCD ที่สามารถช่วยคุณบริหารเงินออม และวางแผนทางการเงินได้สะดวกขึ้น พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น แต่เรื่องนี้ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวังเช่นกัน ดังนั้น เราจึงควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบด้านก่อนเปิดใช้บริการ ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับbeartaihttps://www.beartai.com/brief/1326496

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X