คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ห้องแสดงนิทรรศการ

Samsung Galaxy Immersive Gardena นิทรรศการชมดอกไม้สุดล้ำ ผ่านจอดิจิทัลแคนวาส

05/11/2024

ครั้งแรกของการนำเสนอเทคโนโลยีผ่านศิลปะที่ล้ำสมัยจากงาน SAMSUNG GALAXY IMMERSIVE GARDENA โดย SAMSUNG  (ซัมซุง) ที่จะพานักท่องเที่ยวไปชมงานดอกไม้ประจำปี ผ่านรูปแบบนิทรรศการ Immersive บนจอดิจิทัลแคนวาส ที่เซ็นทรัลชิดลม วันนี้ - 15 พ.ย. 2567SAMSUNG GALAXY IMMERSIVE GARDENA เป็นหนึ่งงานนิทรรศการจาก ซัมซุง ที่ร่วมเฉลิมฉลองในวาระที่ห้างเซ็นทรัล ครบรอบ 77 ปี คิกออฟเมกะแคมเปญ “Central 77th Anniversary 2024”เชิญชวนนักท่องเที่ยว มาร่วมเก็บภาพความทรงจำอันน่าประทับใจ ไปพร้อมกับสัมผัสประสบการณ์พิเศษ ผ่านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจากการชมงานดอกไม้ในครั้งนี้ ด้วยเทคโนโลยีการแสดงภาพบนจอบนดิจิทัลแคนวาสงาน Samsung Galaxy Immersive Gardena มาในคอนเซปต์ “อาวองก์ การ์ดีน่า (AVANT GARDENA)” ที่จะมอบประสบการณ์การชมดอกไม้แบบ Immersive ผ่านเทคโนโลยีการแสดงภาพบนจอบนดิจิทัลแคนวาสพร้อมทั้งยังนำจุดเด่นด้านเทคโนโลยีของซัมซุง มาผสมผสานเข้ากับศิลปะไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างสรรค์ความสวยงามที่เข้าถึงได้ง่าย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพสวย ๆ ในบรรยากาศสุดพิเศษ และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขและความเป็นตัวเองได้ง่าย ๆ ด้วยคุณภาพเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่ตรงใจสไตล์คนยุคปัจจุบัน จุดประกายแรงบันดาลใจใหม่ ๆ และสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครภายในงานจะจัดแสดงภาพดอกไม้ 7 ชนิด บนดิจิทัลแคนวาส ที่สะท้อนตัวตนที่ชัดเจนของห้างเซ็นทรัลเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ประกอบด้วย Leader (การเป็นผู้นำของวงการรีเทล), Bold (ความกล้าที่จะแตกต่าง), Innovative (การสร้างสรรค์สิ่งใหม่), Inspiring (การเป็นสเปซแห่งแรงบันดาลใจ), Fun & Playful (ความสดใสสนุกสนาน), Authentic (สง่างามในแบบของตนเอง) และ Sophisticated (ฉลาดล้ำสมัย)งานเปิดให้เข้าชมความงามด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ พร้อมบันทึกความทรงจำอันน่าประทับใจและแชร์โมเมนต์ดี ๆ ให้เพื่อน ๆ ที่เซ็นทรัลชิดลม ชั้น 1 ตั้งแต่วันนี้ – 15 พ.ย. 2567 นี้แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ ไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/2823040

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

รวม 4 เมืองน่าเที่ยวในญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาว

05/11/2024

เที่ยวญี่ปุ่นในฤดูหนาว ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่สายเที่ยวห้ามพลาด เพราะนอกจากจะโดดเด่นในเรื่องของวัตถุดิบอาหารที่มีคุณภาพแล้วนั้น สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศยังปังไม่แพ้กัน โดยเฉพาะหน้าหนาวที่ใครหลายคนตั้งตารอไปเล่นหิมะ เล่นสกี และสัมผัสอากาศหนาว ๆ ฟิน ๆ ที่หาได้ยากในเมืองไทยรวม 4 เมืองน่าเที่ยวในญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาว“หน้าหนาวไปญี่ปุ่นเมืองไหนดี?” คงเป็นคำถามที่หลายคนกำลังต้องการคำตอบเพื่อเป็นทางเลือกในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม ทุกคนควรรู้ก่อนว่าประเทศญี่ปุ่นจะเข้าสู่ฤดูหนาวตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งแต่ละเมืองก็จะมีหิมะตกที่หนาบางแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากไปเที่ยวแบบไหน แนวไหนมากกว่า ในบทความนี้ เราได้รวบรวม 4 เมืองในญี่ปุ่นที่คุณควรไปในหน้าหนาว รับรองว่าจะได้รับประสบการณ์ดี ๆ กลับมาอย่างแน่นอนซัปโปโร (Sapporo)เมืองแรกในญี่ปุ่นสำหรับช่วงหน้าหนาวที่อยากแนะนำเป็นเมืองไหนไปไม่ได้เลยนอกจาก ซัปโปโร (Sapporo) เมืองหลวงของจังหวัดฮอกไกโดที่หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว บอกได้เลยว่าซัปโปโรเป็นเมืองที่รวมความโรแมนติกฟีลกู๊ดเอาไว้โดยเฉพาะหน้าหนาว ที่ไม่ว่าคุณจะไปเที่ยวกับเพื่อน คนรักหรือครอบครัวก็สามารถทำกิจกรรมสนุก ๆ  ร่วมกันได้อย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นสกี เดินเที่ยวรอบเมือง แวะโรงงานซ็อกโกแล็ต แช่ออนเซ็นอุ่น ๆ รวมถึงเข้าร่วมงานฉลองประจำปีอย่างเทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) ที่เขาจัดขึ้นทุกปีให้นักท่องเที่ยวและชาวเมืองได้ชมประติมากรรมสวย ๆ กัน!นิเซโกะ (Niseko)อีกหนึ่งเมืองในจังหวัดฮอกไกโดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเมืองนิเซโกะ (Niseko) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสกีรีสอร์ตเล็ก ๆ เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนที่อยากเล่นสกีโดยเฉพาะ เนื่องจากนิเซโกะเป็นเมืองที่ได้รับลมหนาวจากภูมิภาคไซบีเรียของรัสเซีย ทำให้หิมะที่ตกลงมาในเมืองนี้มีจำนวนมาก และหิมะที่ตกมีสัมผัสที่นุ่ม เอื้อำนวยต่อเล่นสกีเป็นที่สุด ใครที่ชื่นชอบเล่นสกีหรืออยากมาลองเล่นสกีเป็นครั้งแรก แนะนำให้มาที่เมืองนิเซโกะเลย!โอซาก้า (Osaka)โอซาก้า (Osaka) เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน เพราะโอซาก้าเป็นเมืองที่มีการเดินทางที่สะดวกสบายไม่แพ้เมืองหลวงอย่างโตเกียว แม้ว่าในช่วงฤดูหนาวโอซาก้าไม่ได้มีหิมะหนาทึบ แต่ก็มีอากาศที่หนาวเย็นให้คุณได้สัมผัสไม่ต่างจากเมืองอื่น ๆ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวก็มีให้ได้ไปแวะเวียนไปชมตั้งแต่ปราสาทโอซาก้า รวมถึงเทศกาลที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น เทศกาล Toka Ebisu ที่คนญี่ปุ่นมักจะไปขอพรให้ประสบความสำเร็จในเรื่องธุรกิจโตเกียว (Tokyo)อีกหนึ่งจุดหมายยอดฮิตคงเป็นที่ไหนไปไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่เมืองหลวงของญี่ปุ่นอย่าง โตเกียว (Tokyo) ถึงแม้ว่าโตเกียวจะมีหิมะตกไม่มากเท่าซัปโปโรและนิเซโกะ แต่ถ้าใครชอบความโรแมนติกและบรรยากาศเมือง โตเกียวถือว่าตอบโจทย์ เพราะการเที่ยวที่โตเกียวในหน้าหนาว คุณจะได้สัมผัสกับแสง สี เสียงของเทศกาลปลายปี รวมถึงตลาดคริสต์มาสและไฟประดับสวยงามตามย่านต่าง ๆ ให้ได้ชื่นชมไปเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาวควรทำประกันการเดินทางไหม?เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีหิมะตกหนักในบางช่วงของฤดูหนาว จึงอาจทำให้การเดินทางมีความคลาดเคลื่อน ดังนั้น เพื่อความสบายใจและความสะดวกสบายในการท่องเที่ยว แนะนำให้ทำประกันท่องเที่ยวเผื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันดังกล่าวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447603/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมสนับสนุนกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุกลุ่มฟรี แก่ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 10

04/11/2024

นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) และนายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก เอไอเอ ประเทศไทย เป็นตัวแทนมอบความคุ้มครองและสนับสนุนกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุกลุ่มฟรี แก่ประชาชนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” จำนวน 1,651,597 กรมธรรม์ ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายเอกชน โดยโครงการดังกล่าวจะจัดขึ้นพร้อมกันครอบคลุม 76 จังหวัดทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา เพื่อรณรงค์ให้คนไทยหันมาออกกำลังกายเป็นประจำ ส่งผลอันดีต่อสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น ห่างไกลจากโรคและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ตลอดจนลดภาระของปัญหาโรคเรื้อรัง อาทิ  โรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของอัมพาต ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และรศ.นพ.ยงชัย นิละนนท์ ประธานศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อส่งต่อความคุ้มครองอุบัติเหตุเอไอเอให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ครั้งนี้ ให้ได้รับความอุ่นใจในขณะที่ต้องเดินทางมาร่วมกิจกรรมและออกกำลังกาย ซึ่งเอไอเอ มุ่งมั่นในการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนผ่านการออกกำลังกายง่าย ๆ เช่น  การเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน สอดคล้องกับนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG) และพันธกิจในการสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ผ่านกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ธุรกิจ

อยากรวยต้องตีสนิทคนรวย เรียนรู้ธุรกิจจากเจ้าของตัวจริง เผลอๆ ได้บริหารกิจการต่อ

01/11/2024

วิธีสร้างความมั่งคั่ง อาจไม่ใช่แค่การรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่คือการเรียนรู้จากใครสักคนที่ทำมันได้จริงๆ“อยากรวยต้องทำอย่างไร?” “ทำอย่างไรถึงจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง?” เหล่านี้น่าจะเป็นคำถามของใครก็ตามที่มีความฝันอยากจะประสบความสำเร็จในด้านการเงิน อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองและร่ำรวยได้ในสักวันทว่าสำหรับนักธุรกิจที่ลงทุนมาไม่น้อยอย่าง โคดี ซานเชซ (Codie Sanchez) หัวใจสำคัญของการก้าวไปเป็นผู้ประกอบการคือ ‘การเข้าไปคลุกคลีกับผู้คนที่ทำธุรกิจจริงๆ’ เพราะหากไม่มองในแง่ร้ายจนเกินไป คนกลุ่มนี้คือคนที่พร้อมให้คำแนะนำ และถึงขั้นอาจจะกำลังต้องการใครสักคนไปรับช่วงต่อกิจการโดยนี่คือคำแนะนำที่ โคดี ซานเชซ บอกเล่ากับ สตีเวน บาร์ตเล็ตต์ (Steven Bartlett) ในรายการ The Money Expert ทางช่องยูทูบ The Diary Of A CEO รายการที่ชักชวนผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านการเงินและการทำธุรกิจมาแบ่งปันข้อมูลและกลยุทธ์ในการสร้างความมั่งคั่ง การมาบอกเล่าประสบการณ์ของโคดีนับว่าน่าสนใจทีเดียว วันนี้ TODAY เลยอยากมาสรุปให้อ่านกันรู้จัก โคดี ซานเชซ นักลงทุนใน ‘ธุรกิจที่น่าเบื่อ’หากไปเสิร์ชอินเทอร์เน็ตดูในตอนนี้จะพบว่า โคดี ซานเชซ คือคนที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นเจ้าของ Unconventional Acquisitions บริษัทโฮลดิ้งที่บริหารธุรกิจรวมกันกว่า 26 กิจการ และเข้าไปลงทุนในบริษัทอื่นๆ อีกถึง 14 บริษัท โดยส่วนใหญ่เป็นกิจการที่หลายคนมักมองว่า ‘น่าเบื่อ’ และไม่มีนักลงทุนรายใหญ่สนใจ เช่น ร้านซักรีด บริการทำความสะอาด แต่ก็เป็นธุรกิจเหล่านี้นี่แหละที่สร้างรายรับให้โคดีรวมกันแล้วกว่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.5 พันล้านบาทโคดียังเป็นผู้ก่อตั้ง Contrarian Thinking แพลตฟอร์มที่เธอหวังว่าจะเป็นแหล่งให้ข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์เกี่ยวกับการลงทุนและการเข้าซื้อกิจการสำหรับบุคคลทั่วไป รวมถึงช่องยูทูบของตัวเองที่เธอใช้เพื่อแชร์ประสบการณ์และเทคนิคของการเป็นผู้ประกอบการเว็บไซต์ Net Worth And Age ประเมินว่า จนถึงปี 2024 โคดีสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองไปแล้ว 17-18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 6 ร้อยล้านบาท) แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เธอเริ่มต้นอาชีพจากการเป็นนักข่าวและไม่พื้นฐานทางการเงินเลย ก่อนจะผันตัวมาทำงานในสถาบันการเงิน และลาออกเพื่อมาเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้สิ่งหนึ่งที่ โคดี ซานเชซ เน้นย้ำว่าพาให้เธอมาถึงจุดนี้ได้ คือการได้พบปะและเรียนรู้จากเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จจริงๆหากลองค้นหา ตัวจริงในโลกธุรกิจมักจะอยู่ใกล้ตัวเราในมุมมองของโคดี การที่ใครสักคนจะสร้างอิสรภาพทางการเงินได้ต้องหลุดออกจากกรอบ รวมถึงคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง และใช้เวลาทั้งวันหรืออาจจะทั้งสัปดาห์เพื่อไตร่ตรองว่าเราอยากจะเป็นใคร อยากทำอะไรเพื่อบรรลุเป้าหมาย และที่สำคัญที่สุดคือ ใครกันที่เราต้องปรึกษาและหาทางเรียนรู้จากคนคนนั้น“ฉันคิดว่าคำตอบของอิสรภาพคือ ‘ใคร’ ไม่ใช่ ‘ทำอย่างไร’ เพราะสำหรับคนที่ตั้งใจทำงานอย่างหนัก คุณต้องรู้จักใครสักคนที่รวยมากๆ หรือคนที่ทำธุรกิจใหญ่ๆ จะต้องมีคนจำนวนหนึ่งรอบตัว ที่คุณสามารถไปหาและขอทำงานด้วยได้ และนั่นอาจนำไปสู่ผลตอบแทนทางการเงินที่น่าทึ่ง”โคดีเสริมว่าเธอได้แนวคิดนี้มาจากหนังสือ Who Not How: The Formula to Achieve Bigger Goals Through Accelerating Teamwork เขียนโดย แดน ซัลลิแวน (Dan Sullivan) และ เบนจามิน ฮาร์ดี (Benjamin Hardy) เป็นหนังสือเกี่ยวกับการจ้างงาน และคนมักอ่านในฐานะหนังสือเพื่อพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำลองไปเจอกับคนทำธุรกิจที่น่าเบื่อ และไม่ใช่คนดังแต่ถ้าค้นหาจากคนใกล้ตัวแล้วยังไม่เจอใคร การพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีแต่คนเก่งๆ หรือการมีโอกาสได้พูดคุยกับคนรวยก็ไม่ใช่เรื่องยากในยุคนี้ “ย้อนกลับไปตอนช่วงที่พวกเราทำธุรกิจในตอนแรกๆ มหาเศรษฐีไม่ได้มาเขียนหนังสือให้อ่าน หรือทำพ็อดแคสต์ หรือยืนจับมือกับคุณในงานสัมมนานะ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเลย แต่ตอนนี้มีให้เห็นเต็มไปหมด”อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ โคดีแนะนำให้มองข้ามคนดังและความฟุ่มเฟือยไปเลย ไม่ต้องสนใจรถหรูหรือนาฬิกาโรเล็กซ์ แต่ไปให้ความสนใจกับคนที่อาจจะอยู่ใกล้ตัวเรา เช่น คนที่อยู่ละแวกบ้านใกล้เคียงกัน มองหาคนที่มีบ้านหลังใหญ่ แต่ทำธุรกิจที่ฟังดูแล้วจืดชืดสุดๆ เช่น คนทำธุรกิจห้องน้ำที่รวยที่สุด เพราะเราจะได้เรียนรู้อย่างใกล้ชิดจากคนที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วตัวจริงในโลกธุรกิจจะพาคุณไปหลังม่าน“ฉันคิดว่าเคล็ดลับอย่างหนึ่งในการประสบความสำเร็จอาจจะเป็นตอนที่คุณเห็นคนที่ร่ำรวยกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า และมีเงินมากกว่า แทนที่จะเกลียดพวกเขาเพราะพวกเขามีเงิน การคิดได้ว่าคุณเองก็ทำแบบนั้นได้ ถ้าคุณเปลี่ยนวิธีคิดได้ จะมีแต่โอกาสรออยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง”หนึ่งในข้อดีจากการได้เรียนรู้ผ่านตัวจริงในโลกธุรกิจคือ คนเหล่านี้จะพาเราไปเห็นหลังม่านของโลกธุรกิจ ได้เห็นเบื้องหลังของความสำเร็จ เพราะข้างหลังม่านนั้นคือข้อมูลสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจหนทางสู่ความมั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการปิดดีลธุรกิจ เทคนิคสร้างกำไร วิธีการตัดสินใจ ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้เลย หากไม่ไปทำความรู้จักกับคนเหล่านี้จริงๆโคดีเล่าอีกว่าม่านเหล่านี้มีอยู่ไม่สิ้นสุด การได้พบเจอกับคนรวยหรือนักธุรกิจตัวเป็นๆ จะยิ่งพาเราไปเจอกับข้อมูลที่สามารถต่อยอดเพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นได้ และความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นก็จะปลดล็อกม่านถัดไปไม่รู้จบตัวจริงในโลกธุรกิจพร้อมช่วยเหลือคนที่กระหายความสำเร็จหลายครั้งภาพลักษณ์ของคนรวยคงไม่ใช่ในแง่ที่ดีสักเท่าไหร่ เราอาจนึกถึงภาพของไลฟ์สไตล์ที่น่าอิจฉา การพยายามเอารัดเอาเปรียบคนที่มีโอกาสน้อยกว่า ทว่าประสบการณ์ที่โคดีพบเจอกับคนรวยกลับทำให้เธอมองเรื่องนี้ต่างออกไป โคดียืนยันว่าคนรวยหลายคนนั้นพร้อมช่วยคนที่มุ่งมั่นอยู่เสมอ โดยเธอพูดออกมาทั้งที่เข้าใจอยู่แล้วว่ามันอาจจะฟังดูเป็นการเหมารวมแบบหยาบๆ ก็ตามแต่ไม่ใช่เดินเข้าไปหาดื้อๆ หรือไปขอคำปรึกษาฟรีๆ เพียงอย่างเดียว เราควรจะนำเสนอคุณค่าที่เรามีและคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับอีกฝ่ายเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนด้วย เช่น การเข้าไปสนับสนุนทั้งในแง่ทรัพยากรและความสามารถ, การแบ่งปันข้อมูลเชิงลึก, การรับฟังและเรียนรู้อย่างตั้งใจและหากตั้งใจฟังรวมถึงโชคดีมากพอ โคดีเชื่อว่าอาจจะมีจุดหนึ่งที่เราได้เจอกับเจ้าของธรุกิจซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ทำธุรกิจเดิมมาหลายสิบปีโดยไม่มีใครมารับช่วง และเริ่มคิดที่จะวางมือเพื่อเกษียณ นั่นอาจเป็นจังหวะดีที่เราจะได้ทำสัญญาทางธุรกิจ เข้าซื้อกิจการและรับหน้าที่บริหารธุรกิจนั้นต่อไป“คนพวกนี้ส่วนใหญ่อยากจะช่วยคุณจริงๆ พอพวกเขารู้ว่าคุณกระหาย และถ้าความกระหายนั้นมาพร้อมกับความสามารถและความตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่าง พวกเขาจะอยากช่วยคุณ มันหายากมากนะถ้าพูดถึงคนที่พร้อมจะฟังและมีความมุ่งมั่น อีกทั้งยังทำเรื่องยากๆ ได้ นั่นแปลว่าคุณหายาก คุณคือคนที่หายาก”สรุปให้สั้นที่สุด สำหรับผู้เชี่ยวชาญในโลกการทำธุรกิจอย่าง โคดี ซานเชซ เธอเชื่อว่ากุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่ง คือการได้ศึกษาอย่างใกล้ชิดจากคนรวยที่ทำธุรกิจจริงๆข้อมูลอ้างอิง  • Bartlett, S. [The Diary Of A CEO]. (2023, June 22). The money expert: From $0 to millions in 2 years without any hard work!: Codie Sanchez | E258 [Video]. YouTube.  • Codie Sanchez. (n.d.). Crunchbase.  • mollyfamwat. (2024, January 1). Codie Sanchez Net worth 2024 – her real age, husband and businesses. Net Worth And Age.  • Smith, J. (2022, October7). Codie Sanchez: Net Worth, Husband and Businesses (2024). Work With Joshua.  • Codie Sanchez Wikipedia: Net Worth, Book, Husband, Age, Height – 2024. (2024, January 3). Grapylak.แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับเวิร์คพอยท์ทูเดย์https://workpointtoday.com/how-to-become-rich-entrepreneur-codie-sanchez-the-money-expert/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

เปิด 4 ข้อควรรู้ ประกันชดเชยรายได้ เพิ่มความอุ่นใจในวันที่ไม่คาดฝัน

01/11/2024

บทความโดย "บุณยนุช ยุทธ์ประทุม"นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยเมื่อเกิดเจ็บป่วยและจำเป็นต้องหยุดงาน และในระหว่างหยุดงานอาจมีค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่าย และรายได้ที่เคยได้รับก็หายไป ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลาย ๆ คนจำต้องทนกับอาการเจ็บป่วยและหวังว่าอาการป่วยจะหายไปเอง แต่หากภาวะเจ็บป่วยมีความรุนแรงมากขึ้นหรือสะสมจนกลายเป็นโรคเรื้อรัง ก็อาจทำให้โรคที่เป็นอยู่นั้นลุกลามเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ที่มีความกังวลใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายส่วนเกินในการรักษาตัว แม้ว่าจะมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล หรือประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแล้ว ยังมีประกันสุขภาพอีกกลุ่มหนึ่งที่จ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ผู้เอาประกันระหว่างเข้าอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาลอีกอย่างที่เรียกว่า “ประกันชดเชยรายได้”1. การประกันชดเชยรายได้คืออะไร เป็นประกันที่จัดอยู่ในกลุ่มหนึ่งของประกันสุขภาพที่จ่ายเงินรายวันให้กับผู้เอาประกันเมื่อเจ็บป่วยและจำเป็นต้องนอนอยู่รักษาในโรงพยาบาล รวมถึงการเข้ารับการรักษาหรือการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับโดยไม่จำเป็นต้องนอนอยู่รักษาในโรงพยาบาล (Day Case) ทั้งนี้เพื่อชดเชยรายได้ให้กับผู้เอาประกันที่ต้องสูญเสียไปในวันที่ต้องหยุดงานและรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยจะได้รับเงินประกันชดเชยรายได้ตามวงเงินที่ได้ทำไว้ เช่น 500 บาท 1,000 บาท หรือ 2,000 บาทต่อวัน2. การประกันชดเชยรายได้เหมาะกับใครบ้าง กลุ่มแรก ได้แก่ เด็ก เยาวชน พ่อบ้าน แม่บ้าน พนักงานวัยทำงาน เป็นกลุ่มที่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลอยู่แล้ว แต่วงเงินค่าห้อง (ค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการโรงพยาบาล) ของประกันสุขภาพกลุ่มค่ารักษาพยาบาลที่ทำไว้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่ใช้บริการในปัจจุบันเช่น ประกันสุขภาพมีค่าห้อง 3,000 บาท แต่โรงพยาบาลที่ใช้บริการนั้นมีราคาค่าห้อง 4,000-5,000 บาท ผู้เอาประกันสามารถทำประกันชดเชยรายได้เพิ่มอีก 1,000-2,000 บาท เพื่อชดเชยส่วนเกินของค่าห้องนี้ได้กลุ่มที่ 2 ได้แก่ ผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือผู้มีวิชาชีพเฉพาะ ไม่ว่าการรักษาพยาบาลของคนกลุ่มนี้จะเลือกใช้จากสิทธิบัตรทอง สิทธิพิเศษอื่น ๆ หรือประกันสุขภาพส่วนตัว แต่การขาดงานไปหนึ่งวันจะหมายถึงรายได้ที่ต้องสูญเสียไปด้วยด้วยเหตุนี้การมีประกันชดเชยรายได้จึงเป็นการลดความกังวลเกี่ยวกับรายได้ที่หายไปแม้ในยามเจ็บป่วย โดยเฉพาะการเข้าอยู่รักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายวันหรือเป็นเดือน เพราะค่าใช้จ่ายจะไม่หยุดตามวันที่เจ็บป่วย ยิ่งมีภาวะเจ็บป่วยที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลนาน ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณยกตัวอย่างเช่น ผู้เอาประกันมีรายได้เฉลี่ยวันละ 2,000 บาท การรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 5 วัน ทำให้ขาดรายได้ 10,000 บาท ซึ่งการเจ็บป่วยแต่ละครั้งจะทำให้ผู้ที่อยู่ในภาวะเจ็บป่วยนั้นมีปัญหาทั้งด้านร่างกายและด้านเศรษฐกิจ แต่จะไม่เสียกำลังใจถ้าได้รับเงินจากการประกันชดเชยรายได้ ก็จะเป็นการช่วยลดความกังวลใจเกี่ยวกับรายได้ที่หายไปและทำให้สบายใจขึ้นกลุ่มที่ 3 คือ เจ้าของธุรกิจ เป็นกลุ่มที่ทำประกันสุขภาพกลุ่มค่ารักษาพยาบาลที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลเกือบทั้งหมดแล้ว และแม้ว่าจะมีส่วนต่างของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ก็อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่การมีประกันชดเชยรายได้ก็ช่วยให้ดีต่อใจและเพิ่มความสะดวกสบายได้มากขึ้น ซึ่งอาจนำมาใช้ในการอัพเกรดค่าห้องพัก ค่าอาหาร หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าเดินทางของผู้มาดูแล เป็นต้น3. การประกันชดเชยรายได้ต้องจ่ายอย่างไร สำหรับผู้มีประกันสุขภาพและเพิ่มกลุ่มประกันชดเชยรายได้ในกรมธรรม์เดียวกัน โดยการทำเคลมประกันพร้อมกัน ค่าชดเชยรายได้จะถูกสั่งจ่ายเป็นเช็คหรือโอนเข้าบัญชีธนาคารที่ผู้เอาประกันได้แจ้งกับบริษัทประกันไว้แล้วหรือผู้เอาประกันสามารถนำใบเสร็จและใบรับรองแพทย์ไปทำเรื่องเคลมกับบริษัทประกันภายหลังได้ โดยทั่วไปผู้เอาประกันจะได้เงินจากประกันชดเชยรายได้เท่ากับจำนวนวันที่เข้าอยู่รักษาในโรงพยาบาลตามจำนวนเงินที่ทำประกันไว้ เช่น 1,000 บาทแต่ในบางสัญญาอาจมีผลประโยชน์พิเศษอื่น ๆ เพิ่มด้วย เช่น เมื่อพักรักษาใน ICU ได้เพิ่ม 3 เท่าของ 1,000 บาท, เมื่อได้รับการผ่าตัดโดยวางยาสลบ ได้เพิ่ม 5 เท่าของ 1,000 บาท หรือเป็นผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงเฉียบพลัน ได้เพิ่ม 25 เท่าของ 1,000 บาททั้งนี้ การทำประกันชดเชยรายได้นั้นจะมีระยะรอคอย (Waiting Period) แต่จะไม่คุ้มครองโรคประจำตัวที่เป็นมาก่อน หรือโรคที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด และข้อยกเว้นอื่น ๆ ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ เช่นเดียวกับการทำประกันสุขภาพกลุ่มอื่น ๆ หากผู้เอาประกันทำประกันตอนสุขภาพดี ไม่มีประวัติการรักษาโรคใด ๆ เมื่อพ้นระยะรอคอยก็จะได้รับความคุ้มครองทั้งหมดตามวงเงินและผลประโยชน์ที่กรมธรรม์ระบุไว้4. การประกันชดเชยรายได้ต้องเลือกอย่างไรให้เหมาะสม ประกันชดเชยรายได้เป็นตัวเลือกเสริมเพื่อเพิ่มความอุ่นใจเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล และ/หรือ ชดเชยรายได้ที่หายไประหว่างเจ็บป่วยแต่การทำประกันชดเชยรายได้ไม่ควรทำเกินกำลังที่สามารถชำระเบี้ยประกันได้โดยไม่เดือดร้อนสภาพคล่องทางการเงินของผู้เอาประกัน การทำประกันชดเชยรายได้ที่มากอาจทำให้ต้องชำระเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นจนเกินไป เพราะหลักของการทำประกันสุขภาพเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการรักษาและลดความกังวลในเรื่องรายได้ที่ขาดหายไปการทำประกันชดเชยรายได้ เป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายจากภาวะเจ็บป่วยเมื่อต้องเข้าอยู่รักษาในโรงพยาบาล และเพิ่มความสะดวกสบายระหว่างการรักษา ซึ่งจะช่วยให้ผู้เอาประกันรู้สึกอุ่นใจและสบายใจ และยังมีรายได้ชดเชยระหว่างเจ็บป่วยด้วยดังนั้นการเพิ่มสัญญาประกันชดเชยรายได้ในประกันสุขภาพ จึงเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งสำหรับผู้เอาประกันทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวข้างต้น แต่ทั้งนี้ผู้ชำระเบี้ยประกันจะต้องบริหารจัดการเงินของตนเองให้ดี โดยเลือกทำประกันชดเชยรายได้ตามสภาพคล่องทางการเงินของตนเองอย่างเหมาะสมแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1679710

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

MOCA ร่วมกับ โรงแรม Four Seasons เปิดนิทรรศการ "Untamed Melody Part I" โดยไทวิจิต

01/11/2024

MOCA BANGKOK ร่วมกับ Four Seasons Hotel Bangkok เปิดนิทรรศการ "Untamed Melody Part I" ภัณฑารักษ์ ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช นิทรรศการเดี่ยวของ ไทวิจิต พึ่งเกษมสมบูรณ์ ศิลปินระดับแนวหน้าของเมืองไทย การจัดแสดงผลงานศิลปะภาพบุคคล สะท้อนความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม นิทรรศการนี้จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2567 - 5 มกราคม 2568 ที่ Four Seasons Hotel Bangkok ART Space by MOCA BANGKOK ณ โรงแรม Four Seasons Hotel Bangkokนิทรรศการ "Untamed Melody Part I" เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจของ ไทวิจิต พึ่งเกษมสมบูรณ์ ที่ถ่ายทอดการทดลองและเรียนรู้ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากหลากหลายแหล่ง ตั้งแต่ศิลปิน นักออกแบบ สถาปนิก ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไปจนถึงผู้ที่อาจไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ด้วยความสนใจอันเปิดกว้างของศิลปิน นำไปสู่การผสมผสานศิลปะกับชีวิตของผู้คน ผ่านการสำรวจสื่อ วัสดุ และแนวคิดต่าง ๆ เพื่อลบเลือนเส้นที่แบ่งกั้นระหว่างตัวตน ธรรมชาติ และโลก เป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ด้วยแรงผลักดันจากความหลงใหลในพฤติกรรมมนุษย์ที่ซับซ้อนของศิลปิน โดยใช้ผลงานชุดนี้ในการสำรวจว่าการกระทำของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นขับเคลื่อนโดยความคิดสร้างสรรค์หรือการบริโภคนั้นส่งผลกระทบต่อโลกที่เราอาศัยอยู่อย่างไร ผ่านภาพเหมือนและผลงานแนวคิด ที่ได้วิเคราะห์ถึงผลของความปรารถนาที่ไร้การควบคุม และวิธีที่สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกับปัญหาใหญ่ที่โลกต้องเผชิญ"ร้อยพ่อพันแม่" เป็นสำนวนไทยที่ใช้เปรียบเทียบถึงการรวมตัวของผู้คนจากหลากหลายที่มา ซึ่งมีพื้นเพ ความคิด นิสัย และทัศนคติที่แตกต่างกัน ชุดภาพคนในนิทรรศการนี้นำเสนอภาพบุคคลหลากหลายที่สะท้อนถึงบทบาทสำคัญในโลกของเรา ศักยภาพที่น่าทึ่งของสมองมนุษย์สามารถนำไปสู่ทั้งการสร้างสรรค์และการทำลายสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ได้พร้อมกัน มนุษย์ได้วิวัฒนาการและพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกด้านของชีวิต เกินกว่าที่ความต้องการพื้นฐานจะกำหนดไว้ แต่เมื่อความโลภของมนุษย์เริ่มกลายเป็นสิ่งเสพติดที่ไม่อาจควบคุมได้ การทำลายตนเองและโลกก็กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และน่าเศร้า ในขณะที่มนุษยชาติพัฒนา เราก้าวข้ามความจำเป็นพื้นฐานของชีวิต แต่เมื่อความโลภของมนุษย์ไม่ได้ถูกควบคุม ก็จะนำไปสู่การทำลายล้างตัวเราเองและโลกใบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลงานของไทวิจิตแสดงถึงความตึงเครียดนี้ เตือนให้เราตระหนักถึงความสมดุลระหว่างการสร้างสรรค์และการทำลาย และเชิญชวนให้เราคิดทบทวนถึงผลกระทบที่เรามีต่อโลกใบนี้นิทรรศการ "Untamed Melody" ขอเชิญชวนให้ผู้ชมตระหนักถึงบทบาทของตนเองในกระบวนการบริโภคและผลกระทบที่ตามมา โดยเฉพาะการทำลายสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ นิทรรศการนี้ยังเตือนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาที่มนุษย์สร้างขึ้น และกระตุ้นให้ผู้ชมมีส่วนร่วมในการหาทางออกอย่างจริงจังรายละเอียดนิทรรศการ:  • ชื่อนิทรรศการ: Untamed Melody Part I  • วันที่: 29 ตุลาคม 2567 - 5 มกราคม 2568  • สถานที่: Four Seasons Hotel Bangkok ART Space by MOCA BANGKOK  • เวลาเปิดทำการ: วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 10:30 น. – 18:30 น. (ปิดวันจันทร์)แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1449803/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

“ป่าช้าวัดดอน” สุสานเก่าสมัย ร.๕ หนึ่งในตำนานชวนขนหัวลุก ที่ปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะสุดชิล

01/11/2024

ในอดีตสุสานแห่งนี้ขาดการจัดการที่ดี เช่น การขุดหลุมศพนั้นตื้นเกินไป เมื่อฝนตกก็ชะล้างเอาสิ่งไม่พึงประสงค์จากศพออกมาด้วย ส่วนบริเวณนอกรั้วก็มีน้ำท่วมขัง ขาดการดูแล ถึงขนาดว่ามีศพไร้ญาตินอนแช่น้ำน่าอนาถ และยังเป็นสถานที่ฝังศพนับหมื่น!ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใดสมัยก่อน “ป่าช้าวัดดอน” หรือ “สุสานแต้จิ๋ว” จะกลายเป็นหนึ่งในตำนานชวนสยองขวัญของคนกรุง“ป่าช้าวัดดอน” หรือ “สุสานแต้จิ๋ว” ตั้งอยู่ในเขตสาทร ซอยเจริญราษฏร์ 3 เป็นสุสานเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ พื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯชั้นใน ประมาณ 150 ไร่ (ในสมัยก่อน) โดยมีต้นแบบมาจากประเทศสิงคโปร์ คือ ระบบ กงซีซัว (ลักษณะเป็นหลุมฮวงซุ้ย)ภาพจำในยุคก่อนนั้นออกไปในทางลบพอสมควร เพราะติดอันดับสถานที่ชวนสยองในเมืองหลวงก็ว่าได้ ด้วยการเคยเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ฝังศพมากกว่าหมื่นศพ ทั้งศพที่ฝังในลักษณะของฮวงซุ้ย ศพที่บรรจุเฉพาะอัฐิ รวมไปถึงศพที่ไม่มีญาติบรรจุรวมกันไว้มีบริเวณที่เรียกว่า หลุมหมื่นศพ เพราะเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่สุด และสุสานแห่งนี้อยู่ในความดูแลของ 3 องค์กร คือ สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และสมาคมไหหลำด่านเกเต้สมัยก่อนสุสานมีรั้วรอบขอบชิดเปิดเฉพาะช่วงเทศกาลเชงเม้ง หรือวันที่ชาวจีนจะไปไหว้บรรพบุรุษ ทำให้บรรยากาศของป่าช้าในวันปกติวังเวงยิ่งกว่าเดิม โดยความสะพรึงกลัวกว่านั้น คือ บริเวณนอกรั้ว เคยเป็นสถานที่เสื่อมโทรม มีน้ำท่วมขังขาดการดูแล ถึงขนาดว่ามีศพไร้ญาตินอนแช่น้ำน่าอนาถ มีสัตว์เลื้อยคลานเดินป้วนเปี้ยนเป็นเจ้าถิ่น และยังเป็นแหล่งที่ชาวบ้านยังนำเอาขยะมาทิ้งทับถมกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษทางกลิ่นและความสกปรกอย่างไรก็ตาม ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ตำนานความเฮี้ยนและความน่ากลัวของป่าช้าวัดดอน ค่อยๆเลือนหายไป เนื่องจากมีการล้างป่าช้าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณเหล่านั้นไปหลายครั้งรวมถึงการขยายตัวของเมือง ซึ่งมีทั้งทางด่วนตัดผ่านและเป็นจุดขึ้นลงทางด่วนเชื่อมต่อกับถนนสาทร ถนนจันทน์ มีบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย คอนโด ตึกสูง ที่โอบล้อมสุสานนำมาสู่การปรับปรุงสภาพป่าช้าบริเวณโดยรอบ จนเป็นที่มาของโครงการ "สวนสวยในป่าช้า" หรือ "สวนสุขภาพสมาคมแต้จิ๋ว" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 นำโดยสำนักงานเขตสาทร เข้ามาพัฒนาพื้นที่ในส่วนสุสานให้พื้นที่สาธารณะมี “ชมรมนักวิ่งสุขภาพสมาคมแต้จิ๋ว” เป็นหัวแรงหลัก ร่วมกับองค์กรอื่นๆ มีการปรับปรุงป่าช้าวัดดอนบางส่วนเพื่อใช้เป็นสวนสาธารณะให้คนได้เข้าไปออกกำลังกาย และที่สำคัญ คือ ไม่มีการนำศพเข้ามาฝังในป่าช้าวัดดอนอีกแล้วป่าช้าวัดดอนในวันนี้ จึงเหลือเพียงตำนานความน่ากลัวที่เลือนหายไป เป็นเพียงเรื่องเล่าในอดีต เพราะกลายเป็นสวนสาธารณะสุดร่มรื่นใจกลางเมือง แม้ว่ายังมีบรรยากาศของสุสานเหลืออยู่ คือ ฮวงซุ้ย จำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้มีความน่ากลัวแบบเดิมเพราะมีเส้นทางวิ่งตัดผ่าน มีต้นไม้ร่มรื่นส่วนรอบๆสวน ก็เต็มไปด้วยชมรมต่างๆของคนในชุมชน เช่น ชมรมของกลุ่มผู้สูงวัย แบดมินตัน ฟิตเนส แอโรบิก หมากรุก เทควันโด ฯลฯ โดยมีสมาคมนักวิ่งแต้จิ๋วเป็นชมรมหลัก มีร้านกาแฟ สนามบาสเก็ตบอล ศาลเจ้าแบบจีน ที่แทบไม่ต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของกรุงเทพฯสวนสุขภาพแต้จิ๋ว เปิดทุกวัน 5.00 - 19.00 น.แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000104792

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

ลงทุนแบบ “ได้” มากกว่า “เสีย” ต้องมีข้อคิดแบบไหน ?

31/10/2024

หลายคนคงอาจเคยได้ยินคำพูดจาก Warren Buffett ว่า “การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวเอง”หรือมีความหมายอีกนัยนึงว่ายิ่งคุณเรียนรู้ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นเท่านั้นแน่นอนว่าการลงทุนเป็นเรื่องที่ท้าทายและมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยง แต่ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว และจะดีกว่าไหมถ้าเราลงทุนแบบ “ได้” มากกว่า “เสีย”วันนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจกันว่า “ได้” มากกว่า “เสีย” เหล่านี้หมายถึงอะไรกันแน่ ?ต้องแยกก่อนว่าความคาดหวังของนักลงทุนในการลงทุนแต่ละครั้งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่- ผลตอบแทน หรือ กำไร- ความรู้และประสบการณ์คงเป็นเรื่องดีหากเราลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนหรือกำไรเป็นบวก แต่ก่อนจะได้สิ่งเหล่านั้นมาอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะวันนี้เราจะพาคุณมาเจาะลึกความคาดหวังที่สองของนักลงทุนก็คือ “ความรู้และประสบการณ์”ครั้งนี้เราอาจไม่ได้มาพูดกันเรื่องทำอย่างไรให้ได้กำไรมากกว่าขาดทุน แต่เราจะมาพูดถึงเรื่องการบริหารการขาดทุนอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปต่อยอดสร้างกำไรได้ในอนาคตการเรียนรู้จากการขาดทุนในจำนวนที่ยอมรับได้ ถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์และความรู้ที่นักลงทุนทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ต่างต้องเคยเผชิญหน้าอย่างนับไม่ถ้วน เพราะในตลาดหุ้นนั้นมีเล่ห์กล ร้อยเหลี่ยมรอคอยให้นักลงทุนเฟ้นหาตลอดเวลาอ่าวแบบนี้ !? ลงทุนแล้วขาดทุนมันจะดีจริง ๆ หรอ ?ต้อบอกแบบนี้ว่าถ้าคุณลงทุนแบบ All-in เพื่อหาประสบการณ์ แบบนี้เรียกว่า “ลงทุนแบบสิ้นคิด”เพราะแม้ว่าคุณจะได้ประสบการณ์มาแล้ว แต่ก็ไม่มีทุนที่จะต่อยอดต่อไปอยู่ดีดังนั้นการขาดทุนในจำนวนที่ยอมรับได้เพื่อประสบการณ์ย่อมเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดียิ่งกว่า แน่นอนว่าการลงทุนอาจทำให้เราต้องเผชิญหน้ากับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่- สภาวะอารมณ์แปรปรวน เช่น เครียด วิตกกังวล ฯ- นอนไม่หลับ- จ้องหน้าจอตลอดทั้งวัน- ไม่กล้าที่จะลงเงินจริง ๆ ดังนั้นเมื่อเราขาดทุนสิ่งแรก ๆ ที่เราต้องมานั่งคิดคือ “ทำไมเราถึงพลาด”และเริ่มที่จะศึกษากลยุทธ์การลงทุนเพิ่มเติม เพราะประสบการณ์ที่ดีที่สุดอาจไม่ได้มาจากหนังสือราคาแพง ๆ คอร์สเรียนราคาสูง แต่อาจเริ่มต้นมาจากตัวเราเองเนี่ยแหละ[10 ข้อคิดช่วยนักลงทุน]1. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีทิศทางในการลงทุน และสามารถวัดความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเป็นการออมเพื่อเกษียณ การซื้อบ้าน หรือการสร้างรายได้เสริม การรู้ว่าคุณกำลังลงทุนเพื่ออะไรจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นและรู้สึกมั่นใจมากขึ้น2. ศึกษาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ความรู้คือพลัง ยิ่งคุณเข้าใจตลาดและเครื่องมือการลงทุนมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเท่านั้น อ่านหนังสือ เข้าร่วมสัมมนา และติดตามข่าวสารการเงินอย่างสม่ำเสมอ3. กระจายความเสี่ยง "อย่าเอาไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว" เป็นคำพูดที่ใช้ได้ดีกับการลงทุน การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลายประเภทจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร4. มองในระยะยาว ตลาดมักมีความผันผวนในระยะสั้น แต่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว การมองการลงทุนในมุมมองระยะยาวจะช่วยให้คุณไม่หวั่นไหวกับความผันผวนชั่วคราว5. ควบคุมอารมณ์ อารมณ์เป็นศัตรูตัวร้ายของนักลงทุน ความโลภและความกลัวสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ พยายามตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและข้อมูล ไม่ใช่อารมณ์6. ตั้งงบประมาณและวางแผนการลงทุน กำหนดว่าคุณสามารถลงทุนได้เท่าไหร่โดยไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายประจำวัน และวางแผนการลงทุนอย่างเป็นระบบ เช่น การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging)7. เรียนรู้จากความผิดพลาด ทุกคนทำผิดพลาดได้ แทนที่จะท้อแท้ ให้มองว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง วิเคราะห์ว่าอะไรผิดพลาดและจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร8. รู้จักความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เข้าใจระดับความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ และลงทุนให้สอดคล้องกับระดับนั้น การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงเกินไปอาจทำให้คุณนอนไม่หลับและตัดสินใจผิดพลาดได้9. ติดตามและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ ทบทวนพอร์ตการลงทุนของคุณเป็นประจำ และปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น แต่อย่าหมกมุ่นกับการตรวจสอบทุกวัน เพราะอาจทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาดจากความผันผวนระยะสั้น10. มีความอดทนและมั่นใจ การลงทุนต้องใช้เวลา อย่าคาดหวังผลตอบแทนมหาศาลในช่วงเวลาสั้นๆ มีความอดทนและมั่นใจในกลยุทธ์การลงทุนของคุณ ตราบใดที่คุณได้ทำการบ้านมาอย่างดีการนำข้อคิดเหล่านี้ไปปฏิบัติจะช่วยให้คุณเป็นนักลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและรู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจลงทุนของคุณ แม้ว่าจะไม่มีการรับประกันในการลงทุนแต่การมีแนวทางที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและลดความเสี่ยงในระยะยาวดังนั้นอย่ามองข้ามการ “ขาดทุน” เสมอไปนะ เพราะมันอาจทำให้เรา “ได้” มากกว่า “เสีย” ในอนาคตก็เป็นได้#Stock2morrow #แนวคิด #การลงทุน #มือใหม่ #ประเทศไทยแหล่งที่มมาข่าวและภาพต้นฉบับ stock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/6117

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

กลุ่มบริษัทเอไอเอ ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่สาม ด้วยมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 สำหรับไตรมาสที่สามของปี 2567 มูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตขึ้นในทุกภาคส่วนธุรกิจ

31/10/2024

ฮ่องกง, 31 ตุลาคม 2567 - กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“บริษัท”) มีความยินดีที่จะประกาศผลประกอบการของกลุ่มบริษัทซึ่งมีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 โดยรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (CER) สำหรับไตรมาสที่สาม สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2567อัตราการเติบโตรายงานตามอัตราแลกเปลี่ยนคงที่:  •  มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 คิดเป็นมูลค่า 1,161 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการเติบโตของทุกภาคส่วนธุรกิจ  •  เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 อยู่ที่ 2,212 ล้านเหรียญสหรัฐ  •  ได้รับการอนุมัติให้เตรียมดำเนินการเปิดธุรกิจสาขาใหม่ในมณฑลอานฮุยและมณฑลซานตงนายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “เอไอเอได้แสดงถึงผลงานที่แข็งแกร่งอีกครั้ง โดยมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 คิดเป็น 1,161 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีการเติบโตจากทุกภาคส่วนธุรกิจในไตรมาสที่สามของปี 2567 เราประสบความสำเร็จในการสร้างสถิติสำหรับมูลค่าธุรกิจใหม่ในสามไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและความหลากหลายทางธุรกิจของเราการมุ่งเน้นในการดำเนินกลยุทธ์ของเราอย่างต่อเนื่องได้ช่วยเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของเอไอเอ หนุนให้เกิดการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นตัวเลขสองหลักทั้งจากช่องทางตัวแทนและช่องทางพันธมิตร อีกทั้งการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของธุรกิจใหม่ ๆ นั้นได้สร้างกำไรและช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้และสร้างกระแสเงินสด ซึ่งทั้งหมดนี้ตอกย้ำความมั่นใจของเราในการที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินในจีนแผ่นดินใหญ่ เรากำลังก้าวหน้าอย่างมากในการขยายธุรกิจและเติบโตในพื้นที่ใหม่ ๆ ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เราได้รับการอนุมัติให้เตรียมดำเนินการเปิดธุรกิจสาขาใหม่ในมณฑลอานฮุยและมณฑลซานตงเอไอเอดำเนินธุรกิจในภูมิภาคที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลกสำหรับประกันชีวิตและสุขภาพ ผมยังคงมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่วางไว้ของเราอย่างต่อเนื่องนั้น จะสร้างมูลค่าที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาวให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราทุกท่านต่อไป”สรุปผลการดำเนินงานของไตรมาสที่สามเอไอเอ มีมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เป็นจำนวน 1,161 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสที่สามของปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมาจากการเติบโตใน 15 ตลาด จาก 18 ตลาดที่เอไอเอดำเนินธุรกิจอยู่ พรีเมียร์ เอเจนซี่ สามารถสร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ได้ถึงร้อยละ 15 โดยได้รับการสนับสนุนจากกิจกรรมและผลผลิตของตัวแทนที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับการรับสมัครตัวแทนใหม่ยังคงแข็งแกร่งโดยเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลัก อีกทั้งจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานให้กับกลุ่มบริษัทยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สามของปี 2566 มูลค่าธุรกิจใหม่ที่มาจากพันธมิตร เติบโตถึงร้อยละ 16 โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตที่ยอดเยี่ยมจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ เอไอเอ ประเทศจีน มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ร้อยละ 9 โดยเพิ่มขึ้นจากทั้งช่องทางตัวแทนและแบงก์แอสชัวรันส์ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จแม้ว่าเราจะนำผลิตภัณฑ์บางอย่างออกก่อนกำหนดก่อนการปรับราคาทั่วทั้งอุตสาหกรรมในระหว่างไตรมาสและการเปรียบเทียบที่แข็งแกร่งมากในไตรมาสที่สามของปี 2566 ตามที่ได้รายงานไปก่อนหน้า เรายังคงเติบโตด้วยพรีเมียร์ เอเจนซี่ ที่มีความเป็นมืออาชีพและแตกต่าง ตลอดจนแรงหนุนจากการสรรหาตัวแทนใหม่ที่เข้มข้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสสาม สัดส่วนของจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานมีมากขึ้น และผลผลิตที่ได้จากตัวแทนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตถึงร้อยละ 10 เอไอเอ ประเทศจีน ยังคงสร้างความก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่องด้วยการขยายตัวทางภูมิศาสตร์ การส่งมอบมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เติบโตอย่างยอดเยี่ยม สอดคล้องกับที่เรามุ่งพัฒนาคุณภาพของการเปิดรับตัวแทนใหม่และจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงาน และเมื่อเร็ว ๆ นี้ เราเพิ่งได้รับอนุมัติเพื่อเตรียมดำเนินการเปิดธุรกิจสาขาใหม่ในมณฑลอานฮุยและมณฑลซานตงเพื่อความชัดเจน การเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่อยู่บนพื้นฐานอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ โดยไม่มีการคำนวณการเปรียบเทียบในปี 2566 ใหม่ และใช้สมมติฐานทางเศรษฐกิจในปี 2567 เกณฑ์ "like-for-like" หรือเปรียบเทียบบนพื้นฐานเดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวจะเพิ่มอัตราการเติบโตที่รายงานไว้สำหรับเอไอเอ ประเทศจีน อย่างมีนัยสำคัญเอไอเอ ฮ่องกง มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่สูงขึ้นร้อยละ 24 ซึ่งมาจากกลุ่มลูกค้าภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 และกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ความสำเร็จนี้มาจากช่องทางพรีเมียร์ เอเจนซี่ของเรา แม้ว่ามูลค่าธุรกิจใหม่ผ่านที่ปรึกษาทางการเงินอิสระรายย่อย (IFA) และช่องทางนายหน้าลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรง แต่ช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ของเรามีการเติบโตที่ดีเยี่ยม การสรรหาตัวแทนที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องช่วยให้เราสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจรของเราจากลูกค้าทั้งในประเทศและนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ในไตรมาสที่สาม ช่องทางตัวแทนของเราสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ได้สูงที่สุดจากนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่หลังจากที่ได้กลับช่องทางตัวแทนของเราส่งมอบมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) รายไตรมาสสูงสุดจากลูกค้า MCV นับตั้งแต่กลับมาเดินทางได้ตามปกติอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2566เอไอเอ ประเทศไทย รายงานการเติบโตเป็นบวกในมูลค่าธุรกิจใหม่สำหรับไตรมาสที่สามของปี 2567 โดยเรายังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดและยังรักษาสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมได้เป็นอย่างดีแม้ว่าความต้องการในตลาดจะชะลอตัวจากการปรับราคาสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ สำหรับประเทศสิงคโปร์ ผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ระยะยาวแบบยูนิต ลิงค์ โดย AIA Regional Funds Platform ซึ่งให้การเข้าถึงผู้จัดการกองทุนชั้นนำระดับโลกแต่เพียงผู้เดียว ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตด้วยตัวเลขสองหลักของมูลค่าธุรกิจใหม่ ด้านเอไอเอ มาเลเซีย ที่ให้ความสำคัญกับทั้งความคุ้มครองแบบดั้งเดิมและผลิตภัณฑ์ยูนิต ลิงค์ ช่วยให้มูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตเป็นเลขสองหลัก ในขณะที่อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยรวมแล้วธุรกิจในอาเซียนของเรามีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่ร้อยละ 8สำหรับในกลุ่มตลาดอื่น ๆ สามารถสร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเพิ่มขึ้นใน 9 ตลาดจาก 11 ตลาดของเรา โดยเราได้เห็นการเติบโตอย่างดีจากธุรกิจในอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และไต้หวัน (จีน) และธุรกิจในเวียดนามที่มีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งมากเมื่อเทียบเป็นรายปีจากฐานที่ต่ำ Tata AIA Life ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของเราในอินเดีย กลับมาเติบโตเป็นบวกในมูลค่าธุรกิจใหม่ตามที่ได้รายงานไว้ก่อนหน้านี้ และยังคงรักษาอันดับหนึ่งของอุตสาหกรรมในด้านความคุ้มครองสำหรับรายย่อย คิดตามยอดจำนวนเงินเอาประกันภัยโดยรวมแล้ว เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) สำหรับกลุ่มบริษัทเติบโตขึ้นร้อยละ 14 เป็น 2,212 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่สามของปี 2567 อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB Margin) เพิ่มขึ้น 0.8 จุดเมื่อเทียบเป็นรายปี และยังคงแข็งแกร่งที่ร้อยละ 52.2 อัตรากำไรที่รายงานตามมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันภัยธุรกิจใหม่ (PVNBP) ยังคงมีเสถียรภาพเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เป็น 10,301 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่สามรายงานพอร์ตโฟลิโอการลงทุนสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นของเอไอเอช่วยสร้างความแตกต่างที่สำคัญและความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยได้รับการสนับสนุนจากการบริหารพอร์ตโฟลิโอที่ยังมีผลอยู่และใช้แนวทางการลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยความรับผิดชอบอันดับความน่าเชื่อถือโดยเฉลี่ยของพอร์ตโฟลิโอตราสารหนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ที่ผู้ถือกรมธรรม์และผู้ถือหุ้นถือครองนั้นยังคงทรงตัวที่ระดับ A เมื่อเทียบกับอันดับความน่าเชื่อถือ"ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 พอร์ตโฟลิโอหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทภาคเอกชน มีการกระจายความเสี่ยงอย่างดี โดยมีผู้ออกหุ้นกู้มากกว่า 1,700 ราย และมีขนาดการถือครองเฉลี่ย 43 ล้านเหรียญสหรัฐณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ร้อยละ 2 ของพอร์ตโฟลิโอตราสารหนี้ทั้งหมดได้รับการจัดอันดับต่ำกว่าระดับการลงทุน หรือไม่ได้รับการจัดอันดับ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับมูลค่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 หุ้นกู้ประมาณ 72 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 0.04 ของพอร์ตโฟลิโอตราสารหนี้ทั้งหมดของเรา ถูกปรับระดับลงให้ต่ำกว่าระดับการลงทุนในไตรมาสที่สามของปี 2567 ภาพรวมภูมิภาคเอเชียมีความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันของเอไอเอเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการออมส่วนบุคคลที่สูงขึ้น ประชากรมีอายุมากขึ้นแต่มีอัตราการเข้าถึงประกันภัยต่ำ รวมถึงสวัสดิการการคุ้มครองที่จำกัดในภูมิภาค ข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอันมากมายของเราทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากความต้องการนี้เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว แม้จะมีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคในระยะใกล้ก็ตาม เรามั่นใจว่าการดำเนินการตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เอไอเอสามารถคว้าโอกาสระยะยาวมหาศาลในตลาดประกันชีวิตและสุขภาพในเอเชีย เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่ทำกำไรได้ ซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงการสร้างเงินกองทุนส่วนเกิน และมูลค่าผู้ถือหุ้นที่มากขึ้นความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเอไอเอได้รับเบี้ยประกันภัยส่วนใหญ่ในสกุลเงินท้องถิ่น และเราบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สินในประเทศของเราอย่างใกล้ชิดเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เมื่อรายงานตัวเลขรวมของกลุ่มบริษัท จะมีผลกระทบในการแปลงสกุลเงินเนื่องจากเรารายงานเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เราได้ให้อัตราการเติบโตและข้อคิดเห็นบนอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น เนื่องจากจะทำให้เห็นภาพผลการดำเนินงานพื้นฐานของธุรกิจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

เปิดเทคนิคเลือกบัตรเครดิตให้ตรงใจ-คุ้มค่า

29/10/2024

บทความโดย "ธีรพัฒน์ มีอำพล" นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย“บัตรเครดิต” ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน นอกจากจะใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการได้แทนเงินสดแล้ว ยังให้สิทธิประโยชน์และเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้จ่ายให้กับผู้ถือบัตร หรือบัตรบางใบยังมอบสิทธิประโยชน์พิเศษอื่น ๆ เช่น บริการเลขาส่วนตัว บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ที่จอดรถ การใช้บริการรถรับส่งสนามบิน สิทธิในการเข้าใช้ห้องพักรับรองที่สนามบิน  ความคุ้มครองด้านการเดินทางเมื่อไปต่างประเทศ เป็นต้นด้วยเหตุนี้ก่อนทำบัตรเครดิตควรให้ความสำคัญกับการเลือก “บัตรเครดิต”  เพราะหากรู้จักใช้และเข้าใจบัตร จะทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ตรงจุด ช่วยให้การหยิบใช้บัตรเครดิตในแต่ละครั้งมีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น1. บัตรเครดิตกลุ่มได้เครดิตเงินคืนบัตรเครดิตเงินคืน (Cashback) จะให้เงินคืนกับผู้ถือบัตรทุกครั้งเมื่อมีการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่ตรงกับเงื่อนไขของบัตรเครดิต โดยจะคืนเงินเข้ามาในบัญชีเครดิต ซึ่งจำนวนเงินคืนก็จะแตกต่างไปตามเงื่อนไขของบัตรแต่ละใบ จะมีทั้งแบบที่ได้เครดิตเงินคืนทุกยอดการใช้จ่าย หรือได้เครดิตเงินคืน เมื่อรูดใช้จ่ายในหมวดค่าใช้จ่ายที่กำหนด ทำให้สามารถประหยัดเงินได้บางส่วนจากการใช้จ่ายตามปกติบัตรเครดิตเงินคืนแต่ละใบจะมีร้านค้าที่เข้าร่วมรายการแตกต่างกันไป เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้จ่ายในหมวดรายการนั้น ๆ เป็นประจำ เช่น รับเงินคืน 5% เมื่อซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ต รับเงินคืน 3% เมื่อใช้จ่ายที่สถานีบริการน้ำมัน เป็นต้น บัตรเครดิตเงินคืนถือเป็นบัตรเครดิตที่ไม่ซับซ้อน และเข้าใจได้ง่ายที่สุด เพราะใช้จ่ายแล้วได้เงินคืนทันทีซึ่งผู้ที่สนใจบัตรเครดิตในกลุ่มนี้ แนะนำให้ลองสังเกตว่ามีการใช้จ่ายในกลุ่มไหนมากเป็นพิเศษ แล้วเลือกบัตรเครดิตที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากที่สุด เพราะแต่ละบัตรเครดิตแต่ละใบ มีเปอร์เซ็นต์เงินคืนในแต่ละหมวดไม่เท่ากัน การเลือกบัตรที่ตรงกับไลฟ์สไตล์จะทำให้ได้เครดิตเงินคืนที่คุ้มค่าที่สุด2. บัตรเครดิตกลุ่มสะสมคะแนนบัตรเครดิตสะสมคะแนน (Rewards Credit Card) เป็นบัตรที่เน้นการสะสมคะแนนจากยอดการใช้จ่าย แล้วจึงนำคะแนนที่ได้ไปแลกเป็นของรางวัลพิเศษ ส่วนลดของสินค้าและบริการต่าง ๆ หรือจะแลกเป็นเครดิตเงินคืนก็ได้เช่นกัน ซึ่งเงื่อนไขในการสะสมคะแนนขึ้นอยู่กับบัตรเครดิตใบนั้น ๆ บางบัตรอยู่ที่ 25 บาท ต่อ 1 คะแนน หรือบางบัตรอาจจะ 20 บาท ต่อ 1 คะแนน การคิดคำนวณความคุ้มค่า หรือผลตอบแทน หากได้รับ 1 คะแนน จากการใช้จ่ายผ่านบัตร 25 บาท และนำคะแนนไปแลกเป็นส่วนลด โดยปกติอัตราการแลกคะแนนโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 1,000 คะแนน เท่ากับ 100 บาท  หรือหากคิดเป็นจำนวนเงิน คือ 100 บาท ต่อทุกการใช้จ่าย 25,000 บาท ดังนั้นจะคิดเป็นผลตอบแทน 0.4%หากคิดเป็นผลตอบแทนออกมาแล้วจะเห็นว่าไม่คุ้มค่าเท่ากับบัตรเครดิตประเภทเงินคืน แต่บัตรกลุ่มนี้มักมีจุดเด่นเพิ่มเติม เช่น หากเราใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตในบางรายการตามเงื่อนไขที่บัตรกำหนด จะทำให้เราได้รับคะแนนพิเศษ 2-5 เท่า ก็จะทำให้ได้คะแนนสะสมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วดังนั้น หากใช้จ่ายในรายการที่กำหนดและเลือกใช้บัตรที่ได้รับคะแนนสะสมพิเศษเพิ่มเติม 4 เท่า จะทำให้ได้รับคะแนนสะสมจำนวนมาก จากนั้นนำคะแนนสะสมมาแลกในช่วงที่มีโปรโมชั่นร่วมกับทางร้านอาหารหรือห้างสรรพสินค้า เช่น การใช้คะแนนเท่ายอดซื้อ แลกรับส่วนลด 15% จะทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจาก 0.4% เป็น 2.4% ซึ่งให้ผลตอบแทนที่มากกว่าบัตรเครดิตประเภทเงินคืนบัตรเครดิตในกลุ่มนี้ เหมาะสำหรับคนที่ชอบซื้อของในห้างสรรพสินค้าหรือทานข้าวในร้านอาหาร ซึ่งมักจะมีการจัดโปรโมชั่นร่วมกับห้างสรรพสินค้า หรือร้านอาหารอยู่บ่อย ๆ สามารถนำคะแนนสะสมไปแลกเป็นส่วนลด โดยในบางครั้งมีโปรโมชั่นให้ส่วนลดถึง 15-20% เมื่อใช้คะแนนสะสมเท่ายอดซื้อ ซึ่งจะทำให้มีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น3. บัตรเครดิตกลุ่มสะสมไมล์บัตรในกลุ่มนี้จะเป็นบัตรที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น เป็นบัตรเครดิตที่เน้นสะสมคะแนนจากการใช้จ่าย และเมื่อมีคะแนนมากพอ จะทำการโอนคะแนนจากบัตรเครดิตไปแลกเป็นไมล์สายการบิน จากนั้นจึงนำไมล์สายการบินไปแลกตั๋วเครื่องบิน การใช้งานบัตรเครดิตกลุ่มสะสมไมล์จึงมีความซับซ้อนกว่าปกติ เพราะต้องเข้าใจวิธีการใช้ไมล์แลกตั๋วเครื่องบิน ของแต่ละสายการบิน และเส้นทางการบินที่คุ้มค่าในการแลกไมล์การเลือกบัตรเครดิตในกลุ่มนี้ ต้องเลือกบัตรที่คุ้มค่า พิจารณาจากความยากง่ายในการได้ไมล์สะสม ต้องใช้จ่ายผ่านบัตรกี่บาทถึงจะได้รับ 1 ไมล์สะสม เช่น ใบแรก 15 บาท/คะแนน 1.2 คะแนน/ไมล์สะสม หรือเท่ากับ 18 บาท/ไมล์สะสม ใบที่สอง 25 บาท/คะแนน 2 คะแนน/ไมล์สะสม หรือเท่ากับ 50 บาท/ไมล์สะสม ดังนั้นควรเลือกใช้ใบแรก เพราะมีอัตราการแลกไมล์ที่ต่ำกว่าบัตรเครดิตในกลุ่มสะสมไมล์แต่ละบัตรจะมีสายการบินพันธมิตรแตกต่างกัน บางบัตรอาจจะมีตัวเลือกในการโอนคะแนนไปได้หลากหลายสายการบิน ซึ่งแต่ละสายการบินก็มีเส้นทางการบิน อัตราการแลกไมล์ในแต่ละเส้นทาง ค่าธรรมเนียมในการแลกตั๋วเครื่องบินที่แตกต่างกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาประกอบบัตรเครดิตแบบสะสมไมล์ เหมาะกับผู้ที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว ชอบเดินทางด้วยเครื่องบินบ่อย ๆ ความคุ้มค่าในการแลกไมล์ คือ การแลกตั๋วเครื่องบินในชั้น Business Class หรือ First Class ซึ่งปกติมีราคาแพง ทำให้คิดผลตอบแทนออกมาแล้วคุ้มค่ามากที่สุด เพราะการแลกตั๋วเครื่องบินชั้น Business Class ไป-กลับ 1 ที่นั่ง ในเส้นทาง กรุงเทพฯ-โตเกียว จะต้องมียอดใช้จ่ายประมาณ 1,250,000 บาท ดังนั้นหากเรามียอดใช้จ่ายผ่านบัตรไม่มาก กว่าจะได้คะแนนพอที่จะแลกไมล์ครบในเส้นทางที่ต้องการอาจจะใช้เวลานานหลายปี  ซึ่งบัตรเครดิตแบบเงินคืน หรือแบบสะสมคะแนนอาจจะเหมาะสมมากกว่าตัวอย่าง การใช้บัตรเครดิตสะสมไมล์ตั๋วเครื่องบินไปกลับ Business Class สายการบิน EVA Air เส้นทาง กรุงเทพฯ-โตเกียว ใช้ไมล์จำนวน 50,000 ไมล์ หากคิดตามมูลค่า 55,000 บาท และหักค่าธรรมเนียมในการแลกตั๋วเครื่องบินประมาณ 7,000 บาท ดังนั้น 50,000 ไมล์ จะมีมูลค่าเทียบเท่า 48,000 บาทหากใช้บัตรใบที่มีอัตรา 12.5 บาท/คะแนน  2 คะแนน/ไมล์สะสม หรือเท่ากับ 25 บาท/ไมล์สะสม ดังนั้น 50,000 ไมล์ เท่ากับต้องใช้จ่าย 1,250,000 บาท เพื่อแลกตั๋วเครื่องบินที่มีมูลค่า 48,000 บาท เท่ากับผลตอบแทนที่ 3.84% ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนของบัตรเครดิตแบบเงินคืนหรือแบบสะสมคะแนนเมื่อเลือกแล้วว่าบัตรเครดิตกลุ่มไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้จ่าย ก็จะได้เลือกบัตรเครดิตมาใช้ได้อย่างเหมาะสมอย่าลืมเช็กค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตมักมีการคิดค่าธรรมเนียม 2 ประเภท คือ ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งค่าธรรมเนียมก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของบัตรและผู้ออกบัตร หากไม่อยากเสียค่าธรรมเนียมก็ให้เลือกเปิดบัตรเครดิตประเภทที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมแรกเข้า บัตรเครดิตบางใบสามารถขอยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีเมื่อผู้ถือบัตรมีการใช้จ่ายครบตามเงื่อนไขที่กำหนด ลองเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมรายปีที่ต้องเสียกับสิทธิประโยชน์ของบัตรที่ได้รับว่าอยู่ในอัตราที่รับได้ คุ้มกว่าค่าธรรมเนียมที่เสียไปหรือไม่โดยทั่วไปค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่ให้สิทธิประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มเติมมักจะสูงกว่าค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตทั่วไป แต่อาจจะคุ้มค่าหากเราได้ใช้สิทธิประโยชน์นั้น ๆ เช่น บริการรถรับส่งสนามบิน สิทธิในการเข้าใช้ห้องพักรับรองที่สนามบิน เป็นต้นดูข้อจำกัดการใช้บัตรบัตรเครดิตของบางธนาคารจะมีข้อยกเว้น ไม่ได้รับคะแนนสะสมหรือเครดิตเงินคืน เมื่อใช้จ่ายในประเทศที่กำหนด โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรป รวมถึงข้อยกเว้นของแต่ละบัตรเครดิตในบางหมวดสินค้าจะไม่ได้รับคะแนนสะสมเช่น ค่าประกัน ค่าสาธารณูปโภค หน่วยงานราชการ เป็นต้น นอกจากนี้บัตรเครดิตบางใบ ยังมีข้อจำกัดการให้คะแนนสูงสุด จำกัดยอดเงินคืนในแต่ละหมวดการใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้เราเสียผลประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดายโดยสรุปแล้ว แต่ละคนมีไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ดังนั้น ไม่มีบัตรเครดิตใบไหนดีที่สุด เลือกให้เหมาะกับตัวเอง ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ทุกด้านของเราให้มากที่สุด การเลือกบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ จะทำให้เราได้รับสิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิตที่ตรงจุด และคุ้มค่าสำหรับทุกการใช้จ่ายการมีบัตรเครดิตหลายใบ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด หากมีวินัยทางการเงิน หลังจากใช้บัตรเครดิตแล้ว ควรชำระให้ตรงเวลาและเต็มจำนวน เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดอกเบี้ย เพราะหากชำระเพียงบางส่วนหรือชำระไม่ตรงตามกำหนดเวลา นอกจากจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงแล้ว ผู้ออกบัตรจะคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่รูดใช้จ่าย หากใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวังและขาดการวางแผนการจัดการที่ดี อาจจะทำให้ยอดหนี้ถูกสะสมเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ และมีปัญหาทางการเงินตามมาในอนาคตแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1668674

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X