Everyday knowledge for you
ประกันชีวิต
07/06/2024
จะให้ความคุ้มครองชีวิตด้วยเงินก้อนใหญ่ เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตตรงตามเงื่อนไชที่ระบุไว้ตามกรมธรรม์แล้ว ยังสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 300,000 บาทต่อปี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ ประกันลดหย่อนภาษีเป็นหนึ่งใน ผู้ช่วยด้านการเงินของคนยุคใหม่ที่ต้องการบริหาร จัดการด้านการเงินให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประเภทของประกันลดหย่อนภาษีการใช้ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีสามารถนำไประกันมาใช้ลดหย่อนภาษีได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเภทของ ประกันลดหย่อนภาษี ซึ่งโดยหลัก ๆ สามารถแบ่งประกันชีวิตลดหย่อนได้เป็น 3 ประเภท • ประกันชีวิตทั่วไป เป็นประกันชีวิตที่มีการคุ้มครองผู้เอาประกัน ซึ่งในระหว่างอายุสัญญาหากผู้เอาประกันเสียชีวิตด้วยสาเหตุตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์กำหนด หรืออยู่จนครบอายุสัญญา จะได้รับเงินก้อนตามเงื่อนไขของประกันชีวิต สำหรับประกันชีวิตที่สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้มีด้วยกัน 4 ประเภท ได้แก่ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life) , ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term) , ชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment) และประกันชีวิตควบการลงทุน (Investment Linked Life Insurance) สำหรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีและเงื่อนไขในการลดหย่อยนภาษี ดังนี้1. ต้องเป็นประกันของบริษัทประกันภัยที่จดทะเบียนในประเทศไทยเท่านั้น2. ต้องเป็นประกันที่มีระยะความความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป3. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ แบบชั่วระยะเวลา หรือแบบสะสมทรัพย์สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท ขณะที่ของคู่สมรสที่ไม่มีรายได้สามารถนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาท 4. ประกันชีวิตควบการลงทุน เป็นประกันที่แบ่งค่างวดออกเป็น 3 ส่วน คือ ค่าเบี้ยประกัน , ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของกรมธรรม์ และการลงทุน แต่จะมีเพียงส่วนที่ 1 และ 2 เท่านั้น สามารถนำมาคำนวณเพื่อใช้ลดหย่อยภาษีได้ โดยสามารถใช้ลดหย่อยภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท 5. ในกรณีที่เป็นประกันชีวิตที่มีการจ่ายเงินคืนทุกปี หรือตามช่วงเวลาตามเงื่อนไขของประกัน ต้องร่วมกันไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสมรายปี6. หากผู้เอาประกันยกเลิกสัญญา หรือเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบอายุ 10 ปี จะถือว่าผิดเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด จะไม่สามารถนำเบี้ยประกันมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ และที่สำคัญต้องจ่ายคืนภาษีย้อนหลังและดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนอีกด้วย • ประกันชีวิตแบบบำนาญ เป็นประกันคุ้มครองรายได้ที่ให้ผู้เอาประกันหลังเกษียณอายุ หรือตามระยะเวลาที่กรมธรรม์กำหนด สำหรับประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ 300,000 บาท เมื่อไม่ใช่สิทธิ์การลดหย่อนรวมกับประกันชีวิตแบบทั่วไป แต่กรณีที่ใช้สิทธิ์ร่วมกับประกันชีวิตทั่วไป (ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท) สามารถใช้ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 15% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท แต่ทั้งนี้ต้องเป็นประกันชีวิตแบบบำนาญของบริษัทประกันภัยที่จดทะเบียนในประเทศไทย มีระยะคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป และมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอและจ่ายผลประโยชน์ในขณะผู้เอาประกันมีอายุ 55 – 85 ปี • ประกันสุขภาพลดหย่อนภาษี เป็นประกันประเภทที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเมื่อผู้เอาประกันเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือตรวจพบโรคร้ายตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ ซึ่งในการนำมาใช้ลดหย่อยภาษีในกรณีเป็นประกันสุขภาพของผู้เอาประกันเองสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 25,000 บาท แต่เมื่อนำไปรวมกับประกันประเภทอื่นต้องไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนกรณีนำประกันสุขภาพของบิดามารดาสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นประกันสุขภาพของบริษัทประกันที่จดทะเบียนในประเทศไทย เป็นประกันชีวิตของบิดามารดาที่ถูกต้องตามกฎหมาย บิดามารดาต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และผู้ทำประกัน บิดา หรือมารดา คนใดคนหนึ่งต้องพำนักอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 180 วันในปีที่จ่ายภาษีเทคนิคเลือกประกันลดหย่อนภาษีแบบไหนคุ้มที่สุดเนื่องจากประกันชีวิตและประกันสุขภาพมีหลายแบบหลายประเภทให้เลือก ซึ่งนอกจากจุดประสงค์ของความคุ้มครองแล้ว ยังต้องพิจารณาในส่วนของเงื่อนไขการลดหย่อนภาษี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้หลายคนสับสนไม่รู้ว่าจะซื้อประกันแบบไหนดี มีเทคนิคดี ๆ มาฝาก • คำนวณภาษีก่อนตัดสินใจเพราะหลายคนเข้าใจว่ายิ่งมีรายได้เยอะก็ต้องซื้อประกันลดหย่อนเยอะไว้ลลดหย่อนภาษี แต่ในความจริงซื้อเยอะอาจกลายเป็นซื้อประกันเกินความจำเป็น เพราะนอกจากการลดหย่อนจะเป็นไปตามเงื่อนไขที่สรรพากรกำหนดแล้ว ในการเสียภาษียังต้องมีการนำรายการลดหย่อนมาใช้คำนวณลดภาษี อย่างส่วนลดค่าใช้จ่ายส่วนตัว 60,000 บาท ส่วนลดค่าเลี้ยงดูบุพการี 30,000 บาท ส่วนลดบุตร 30,000 บาท ส่วนลดจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากการประกอบอาชีพไม่เกิน 500,000 บาท ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษีควรคำนวณภาษีสุทธิของตัวเอง ไม่เช่นนั้นอาจซื้อประกันเกินความจำเป็นได้ • อัพเดตภาษีอย่างสม่ำเสมอเพราะรายได้ของทุกคนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงทำให้ทุกคนที่มีรายได้อาจเสียภาษีเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะฉะนั้นผู้เอาประกันควรคำนวณภาษีอย่างสม่ำเสมอ หากมีการเสียภาษีเพิ่มควรซื้อประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมเพื่อการบริหารจัดด้านภาษีอย่างมีประสิทธิภาพแนะนำประกันลดหย่อนภาษีได้ของ SCBสำหรับคนที่เป็นกังวลเรื่องภาษีและอยากทำ ประกันลดหย่อนภาษี ไว้เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล แนะนำประกันชีวิตและประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีของ SCB ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น • ประกันอีซี่ อีเซฟ 10/5 ประกันสะสมทรัพย์ที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท ระยะเวลาจ่ายเบี้ย 5 ปี ระยะความคุ้มครอง 10 ปี โดยในปีที่ 1 – 5 จะได้รับเงินคืน 4% ของทุนประกัน ขณะที่ปี 6 – 9 จะได้รับเงินคืน 5% โดยสิ้นปีที่ 10 จะได้รับเงินคืน 350% ของทุนประกัน • ประกันทริปเปิ้ล เซเว่น ประกันคุ้มครองชีวิตที่จ่ายเบี้ยเพียง 7 ปี แต่ผู้เอาประกันจะได้รับความคุ้มครองจนถึงอายุ 77 ปี โดยจะได้รับเงินคืน 10% ทุกปี จนถึงอายุ 76 ปี นอกจากนั้นหากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุยังได้รับความคุ้มครองเพิ่มเป็น 2 เท่า เรียกว่าได้ทั้งเงินก้อนใหญ่และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีไปพร้อม ๆ กัน • ประกัน 15/5 Pro Max (แบบมีความคุ้มครองโรคร้ายแรง) ประกันคุ้มครองโรคร้ายที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีและความคุ้มครองทันทีเมื่อตรวจเจอโรคร้ายแรงตามเงื่อนไขตามกรมธรรม์ในปีที่ 4 – 15 แต่ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นโรคร้ายก็ยังได้รับเงินคืนรวม 14 ครั้ง รวมตลอดอายุสัญญาได้เงินคืนรวม 578%ประกันชีวิตและประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริหารการเงินที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูผลิตภัณฑ์อื่นๆที่น่าสนใจจาก SCB ได้ที่ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/salary-man/10-things-to-know-before-buy-insurance-to-reduce-tax.htmlแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://www.siamrath.co.th/n/535041
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
07/06/2024
สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม ตอกย้ำการเป็น The Biggest Arena of Lifestyle Experiments ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์สุดตื่นเต้นเร้าใจ พร้อมให้ทุกคนเข้ามาค้นพบ (Experiment), สร้างสรรค์ (Create) และพัฒนา (Cultivate) ได้อย่างไม่รู้จบ จัดแคมเปญ Earth Discovery: Go Astro Boy Go! - Mission To Save The World ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน และยืนหยัดเป็นต้นแบบสร้างองค์ความรู้ในการรักสิ่งแวดล้อม ในปีนี้สยามดิสคัฟเวอรี่ สร้างปรากฎการณ์ใหม่ จัดงาน Siam Discovery x Go Astro Boy Go! ชวนทุกคนมาค้นพบค้นหาประสบการณ์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยร่วมคอลแลบอเรชั่นกับ “Go Astro Boy Go!” เวิลด์คาแรคเตอร์สุดฮอตระดับโลกมาร่วมสร้างความสนุกกับกิจกรรมมากมาย ระหว่างวันที่ 5 - 30 มิถุนายน 2567 ที่ สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม"แอสโทร" (Astro) เป็นตัวละครหุ่นยนต์ฮีโร่ใน "Go Asto Boy Go!" จากประเทศญี่ปุ่น ได้มีโอกาสเดินทางรอบโลก และเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาวะสิ่งแวดล้อมโลกมาโดยตลอด ครั้งนี้จึงเป็นปรากฎการณ์ครั้งสำคัญที่ “Go Astro Boy GO!” จะเป็นตัวแทน เป็นกระบอกเสียงเชิญชวนทุกคนมามาร่วมกอบกู้โลกไปด้วยกันเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก เป็นภาระกิจหลักในโอกาสที่เดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ไฮไลท์พิเศษ พบกับการคอลแลบอเรชั่นกับ Go Astro Boy Go! เวิลด์คาแรคเตอร์สุดฮอตระดับโลกกับ Art Exhibition ผลงานคอลแลบอเรชั่นสุดพิเศษจากศิลปินไทย 10 ท่าน ที่ล้วนแต่มีผลงานอาร์ททอยสุดปังมาร่วมภารกิจกอบกู้โลกกับ Go Astro Boy Go! พบกับคาแรคเตอร์ที่ครีเอทเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็น ผลงาน “คงฤทธิ์” แต่งตัวในชุด Astro ที่เป็นแรงบันดาลในเรื่องความกล้าหาญ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และ “น้องอรทัย” แมวจรจัด แต่งตัวเป็น Astro เพื่อเตือนให้คนระลึกถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกัน ไม่ทอดทิ้งกัน, ผลงาน Meowon ครีเอทอาร์ททอยในชื่อ “Go Astro boy Go Shinobi / Go Astro boy Go iron heart” ได้แรงบันดาลใจมาจากความเชื่อใน Astro ที่มีทักษะพิเศษและความกล้าหาญ สะท้อนถึงความสามารถพิเศษและการอุทิศตนเพื่อช่วยโลก การต่อสู้กับความชั่วร้ายเพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้น, KOROKE กับผลงาน “Yui Astro” ยุ้ยอยากช่วยแอสโตรทำมิชชั่นลดขยะจากอาหาร โดยวิธีง่ายๆ เช่น ทานอาหารให้หมด ไม่ซื้ออาหารเกินความจำเป็น เป็นต้น และ “Yui Astro Kitty” ที่พร้อมช่วยทุกคนให้ทำภารกิจช่วยโลกของเราให้สำเร็จ, PUCK เจ้าของคาแรคเตอร์ WORLD BOY สร้างสรรค์ “Astro x WORLD BOY” ในอีกมิตินึง WORLD BOY เป็นแฟนคลับของ Astro เขาจึงฝึกฝนร่างกาย ความแข็งแกร่งเพื่อที่จะได้ออกไปช่วยโลกเช่นเดียวกับไอดอลของเขา, korn doll ครีเอทงาน “Go Fanboy Go” โดยให้คาแร็คเตอร์ korn doll ขึ้นปก Go Astro boy Go! ยุคคลาสสิคเพื่อแสดงความรักในฐานะ fanboy ของ Astro boy คนหนึ่งนอกจากนี้ยังมีอีกมากมาย ทั้ง GREENIE & ELFIE, HOGKEY, Dylie, BKK BROS., Shew Sheep พร้อมพบกับกิจกรรมไฮไลท์ศิลปินมาร่วมพูดคุย และตัว Art Toy ชิ้นพิเศษที่งานนี้งานเดียวในสยามดิสคัฟเวอรี่ ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน - 30 มิถุนายน 2567เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก สยามดิสคัฟเวอรี่ ให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน ร่วมกันรังสรรค์ (Co-creation) และการสร้างคุณค่าสมประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย (Creating Shared Values) ซึ่งได้อยู่ในกระบวนการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ รวมทั้งการนำเสนอ “ECOTOPIA” ที่สุดของแหล่งรวมสินค้า ECO สำหรับทุกคน ครบครัน หลากหลายเพื่อโลกที่ดีขึ้น เป็นสเปเชียลตี้สโตร์ ที่ให้แรงบันดาลใจกับทุกคนด้วยสินค้าที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบรักษ์โลกกว่า 3,000 รายการ ท่ามกลางการตกแต่ง ที่สร้างสรรค์จากผลิตภัณฑ์รีไซเคิล หรือ ไม่ใช้แล้วมาตกแต่งพื้นที่ ได้แรงบันดาลใจจากดอกไม้และแมลงเพื่อแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และเกื้อกูลกันของธรรมชาติ และยังมีการนำเสนอคอลเลคชั่น Go Astro Boy Go! พร้อมผลิตภัณฑ์รักษ์โลกจากแบรนด์อื่นๆอีกมากมายพร้อมมอบโปรโมชั่น Earth Discovery: Go Astro Boy Go! สมาชิกวันสยามที่มี ONESIAM SUPERAPP ช้อปครบ 7,000 บาทขึ้นไป แลกรับกระเป๋า ASTRO BOY TOTE BAG 1 ใบ พิเศษ!! สำหรับผู้ถือบัตรเครดิต TTB ช้อประหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2567 – 31 กรกฎาคม 2567 แลกรับ Siam Gift Card 300 บาท เมื่อช้อปสินค้า Astro Boy ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ตั้งแต่ 6,000 บาทขึ้นไปสยามดิสคัฟเวอรี่ ขอชวนมา Come Play With Us! กับคาแรคเตอร์ Go Astro Boy Go! ตัวการ์ตูนฮีโร่หุ่นยนต์ตัวแทนจากโลกอนาคตที่จะพาทุกคนกอบกู้โลกไปด้วยกัน และพบกับกิจกรรมสร้างความยั่งยืนอีกมากมาย พร้อมกับแบรนด์ชั้นนำ ในวันที่ 5 มิถุนายน - 30 มิถุนายน 2567 ที่ สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยมแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000048287
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
07/06/2024
หลังการท่องเที่ยวแคมป์ปิ้งกลายเป็นสไตล์สุดฮิตในช่วงไม่กี่ปีมานี้ คอนเทนต์แคมปิ้งก็เชื้อชวนให้ท่องเที่ยวธรรมชาติกันในทุกแพลตฟอร์มเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเปิดเฟซบุ๊ก ไอจี ทวิตเตอร์ ต้องได้เห็นเพื่อนๆ หรือคนรอบตัวกางเต็นท์ ต้มกาแฟ ถ่ายรูปสวยๆกับธรรมชาติ เล่นน้ำ ทำอาหารกลางป่าเขา ดูน่าอิจฉาสุดๆเลยไป แล้วรู้หรือไม่ว่าการท่องเที่ยวแบบนี้จุดเริ่มต้นมาจากไหน จึงกลายมาเป็นวัฒนธรรมการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ วันนี้จะพาทุกคนย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวสไตล์นี้กันวัฒนธรรมแคมป์ปิ้งมาจากไหน?จุดเริ่มต้นการแคมป์ปิ้งนั้นมีหลากหลายมาก ว่ากันว่ามีจุดเริ่มต้นจากการแคมป์ปิ้งของ โทมัส ไฮแรม โฮลดิ้ง ช่างตัดเสื้อชาวอังกฤษ ที่รอนแรมมาตั้งแคมป์อยู่ริมแม่น้ำเทมส์ จนเกิดการทำตามเป็นกิจกรรมในที่สุด เขาได้เขียนคู่มือผู้ไปพักแรมในปี 1908 และก่อตั้ง Association of Cycle Campers ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งและ Caravanning Clubโทมัส ไฮแรม โฮลดิ้ง ผู้บุกเบิกวงการแคมป์ปิ้งกิจกรรมหรือวัฒนธรรมการตั้งแคมป์นั้นได้มีหลากหลายสไตล์ไม่ว่าจะเป็น ฝั่งอเมริกัน ที่เน้นไปทางแนวรถแคมป์ปิ้งหรือรถบ้านที่เรียกว่า RV (Recreational Vehicle) อยู่หลายๆวัน อุปกรณ์พร้อม เหมือนที่เรามักเห็นกันในหนังหรือการ์ตูน ส่วนฝั่งยุโรปที่เน้นไปทางเทรกกิ้ง (Trekking) เดินป่า เดินเขา ด้วยอากาศที่เหมาะกับการเดินทางไกล เราเลยมักจะเห็น ชาวยุโรปส่วนมากเดินทางไกล กางเต็นท์นอนกับธรรมชาติ แบบง่ายๆ ส่วนในฝั่งโซนเอเชียบ้านเราจะออกแนวสบายๆ เน้นทำอาหารสนุกๆ มีดริปกาแฟ นั่งชิลๆเที่ยวกันเป็นกลุ่มในประเทศไทยเองกระแสเริ่มมาแรงมากขึ้นจนเห็นได้ชัดในช่วงย้อนไปไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากรีวิวต่างๆ บรรยากาศสวยๆที่หาไม่ได้ในการเที่ยวปกติและสังคมไทยที่ชอบเที่ยวกันเป็นหมู่คณะ มีพื้นป่า ภูเขา แม่น้ำ ธรรมชาติที่สมบูรณ์ เลยทำให้การเที่ยวสายแคมป์ปิ้งบูมขึ้นมากำเนิด Camper หรือคนที่ตั้งเต็นท์ ตั้งค่ายกันทั่วประเทศ จนมีการตั้งกลุ่ม จัดงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับแคมป์ปิ้งเป็นจำนวนมากในปีที่ผ่านมาจากจุดเริ่มต้นจนมาถึงทุกวันนี้กระแสแคมป์ปิ้งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และพัฒนารูปแบบที่สะดวกสบายมากขึ้น หลายคนที่ได้อ่านคงเริ่มรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะลองดูสักครั้ง หรืออาจจะผ่านประสบการณ์การตั้งแคมป์กันมาบ้างแล้วไม่แน่ตอนนี้หลายคนคงตกหลุมรักการตั้งแคมป์จนถอนตัวไม่ขึ้นเลยก็ได้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447955/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
06/06/2024
กระแสที่กำลังมาแรงในขณะนี้คงหนีไม่พ้น “รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV)” หรือรถยนต์ EV ซึ่งเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มจากปี 2563 ในเดือนมกราคม – ธันวาคม มียอดรวม 1,056 คัน ต่อมาปี 2564 ในเดือน มกราคม – ธันวาคม มียอดรวม 1,935 คัน ในปี 2565 เดือน มกราคม – ธันวาคม มียอดเพิ่มขึ้นรวม 9,729 คัน และทว่าปี 2566 เดือน มกราคม – ธันวาคม กลับมียอดพุ่งสูงขึ้นอย่างมากกว่าปีอื่นๆ รวม 76,314 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 66,585 คัน เติบโตอย่างก้าวกระโดด +684.4% และในปี 2567 เป็นที่น่าจับตามองถึงตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) พบว่ามียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 22,289 คันหากมองหารถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการได้แล้ว อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ประกันรถยนต์ไฟฟ้า” ต้องมีการศึกษาและวางแผนดีๆ ก่อนที่จะซื้อเช่นกัน จากข่าวล่าสุดมีการปรับกฎเกณฑ์ใหม่ของประกันรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2566 สํานักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกคําสั่งนายทะเบียนที่ 47/2566 เรื่อง ให้ใช้แบบ ข้อความและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV) เป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป โดยจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการวันที่ 1 มิถุนายน 2567 นี้ ซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าฉบับนี้เป็นการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เท่านั้น ไม่รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ดัดแปลงมาจากรถยนต์สันดาป เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เอาประกันภัย รวมถึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยเงื่อนไขเกณฑ์รถยนต์ไฟฟ้ามีเรื่องทั้งหมด ดังนี้1. ความคุ้มครองของแบตเตอรี่ความคุ้มครองของแบตเตอรี่ โดยมีการคิดจากค่าเสื่อมของแบตเตอรี่ตามอายุการใช้งาน เริ่มต้นจากในปีแรกจะมีการคุ้มครอง 100% และลดลงเรื่อย ๆ ตามอายอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ลดลงถึง 50 ปี โดยจะเป็นตามเงื่อนไขของอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ การนับอายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เริ่มนับจากวันที่รับมอบรถยนต์จากผู้จำหน่ายรถยนต์ หรือวันที่ตามเอกสารการรับประกันแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายรถยนต์ แล้วแต่วันใดเกิดขึ้นก่อน • อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไม่เกิน 1 ปี มีความคุ้มครอง 100% • อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไม่เกิน 2 ปี มีความคุ้มครอง 90% • อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไม่เกิน 3 ปี มีความคุ้มครอง 80% • อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไม่เกิน 4 ปี มีความคุ้มครอง 70% • อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไม่เกิน 5 ปี มีความคุ้มครอง 60% • อายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเกิน 5 ปี มีความคุ้มครอง 50%ซึ่งบริษัทได้ชดใช้ความเสียหายโดยการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ตามอัตราที่กำหนดในตารางแล้ว กรรมสิทธิ์ของซากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ให้เป็นของผู้เอาประกันภัยและบริษัทตามสัดส่วนเดียวกับอัตราการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแบตเตอรี่ กรณีที่มีการตกลงให้มีการจำหน่ายแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกเปลี่ยน ให้บริษัทดำเนินการจำหน่ายและจัดสรรจำนวนเงินที่ได้จากการจำหน่ายดังกล่าวให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามสัดส่วนข้างต้น2. การระบุผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยปกติจากเดิมแล้วการซื้อประกันชั้น 1 ของรถยนต์ไฟฟ้า EV จะสามารถเลือกกำหนดผู้ขับขี่ได้ หรือไม่ต้องระบุผู้ขับขี่ได้เช่นกัน สำหรับประกันรถยนต์ไฟฟ้าต้องระบุชื่อผู้ขับขี่สามารถระบุได้สูงสุด 5 รายชื่อ และต้องมีใบอนุญาตขับขี่เท่านั้น ถ้าเป็นกรณีที่เป็นนิติบุคคลไม่ต้องระบุผู้ขับขี่ ยกเว้นรถประจำตำแหน่ง3. ความคุ้มครองของสายชาร์จพกพา (Portable EV Charger) • ในความคุ้มครองในส่วนของสายชาร์จพกพา (Portable EV Charger) ที่ติดมากับตัวรถยนต์เท่านั้น ซึ่งประกันจะมีความคุ้มครองในกรณีที่สายชาร์จสูญหายเนื่องจากการโจรกรรม ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ จะไม่คุ้มครอง Wall Charge ที่ติดอยู่ที่บ้าน • การได้รับความคุ้มครองนั้นในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุกับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะคิดเบี้ยประกันเป็นสัดส่วนตั้งแต่ 0.035% – 3.5% จากมูลค่าเครื่องชาร์จ4. การลดเบี้ยประกันภัยประวัติดีการลดเบี้ยประกันภัยประวัติดีสำหรับลักษณะการใช้ส่วนบุคคล ในกรณีผู้เอาประกันภัยมีรถยนต์เอาประกันภัยไว้กับบริษัท ซึ่งเกณฑ์ในการได้ส่วนลดประวัติดี คือ 1. ไม่มีเคลม ในกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด 2. ต่อประกันกับบริษัทประกันเดิม โดยบริษัทจะลดเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย เป็นลำดับขั้น ดังนี้ • ขั้นที่ 1 20% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ใน การประกันภัยปีแรก • ขั้นที่ 2 30% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ใน การประกันภัย 2 ปีติดต่อกัน • ขั้นที่ 3 40% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ใน การประกันภัย 3 ปีติดต่อกัน หรือกว่านั้นนอกจากส่วนลดของประวัติผู้ขับขี่แล้ว อีกทั้งยังมีส่วนลดในส่วนของพฤติกรรมการขับขี่ในการพิจารณาเพิ่มด้วยเสียงสะท้อนจากผู้ใช้รถยนต์ EVจากการสัมภาษณ์ ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า BYD รายแรก เผยว่าตนทำประกันสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเข้าปีที่ 2 แล้ว เมื่อมีประกันก็มีความมั่นใจในการขับรถมากยิ่งขึ้น หากเจออุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็คิดว่าเรื่องค่าใช้จ่ายก็ไม่มากระทบกับตัวเราเอง โดยส่วนตัวในปีแรกเกิดอุบัติเหตุก็มีการเคลมรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทประกันรายแรกมีการบริการที่ดี ศูนย์ซ่อมค่อนข้างเยอะ มีความหลากหลายในพื้นที่แต่ต่อมาเมื่อต้องต่อประกันเป็นปีที่ 2 ถูกปรับเบี้ยประกันแพงขึ้น ทุนประกันก็มีการปรับลงอย่างมากจากเดิม จึงทำให้ต้องมีการเปลี่ยนบริษัทประกันภัยที่มีเบี้ยถูกกว่า และอีกประเด็นหนึ่งถึงแม้บริษัทประกันจะมีศูนย์บริการค่อนข้างเยอะก็จริง แต่บางศูนย์ก็ไม่สามารถรับซ่อมรถ EVได้ เพราะบริษัทประกันบางแห่งก็ยังไม่ได้ทำข้อตกลงกับศูนย์ซ่อม จึงทำให้อยากให้ทุกศูนย์ในประเทศไทยสามารถเคลมได้ และมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า อยากให้ทำความเข้าใจเรื่องประกันภัยเข้าถึงง่ายกว่านี้รายที่ 2 ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า Volvo เผยว่าในมุมของการช่วยเหลือฉุกเฉิน ซึ่งตนได้ซื้อการช่วยเหลือฉุกเฉินแยกออกมาจากประกันรถยนต์ไฟฟ้า EV จึงไม่ค่อยสะดวก จึงต้องการทางด้านประกันมีส่วนควบในส่วนของประกันภัยพร้อมกับมีการช่วยเหลือฉุกเฉินควบคู่ไปพร้อมกัน และขอชี้แนะในส่วนของเบี้ยประกัน หากกรณีไม่เคยมีประวัติในการชน ควรมีการลดค่าเบี้ยประกันต่อปี หรือสมนาคุณให้แก่ลูกค้าด้วยรายที่ 3 ผู้ใช้รถยนต์รถไฟฟ้าไฮบริด HAVAL เผยว่าในส่วนตัวอยากให้เบี้ยประกันยนต์รถไฟฟ้า EV มีราคาคงที่ เพราะตนมีการต่อประกันทุกๆ ปี เบี้ยประกันก็ราคาเพิ่มขึ้น แต่ทุนประกันกลับสวนทางมีการปรับลดลง จึงทำให้มีการเปลี่ยนบริษัทประกันทุกๆ ปี ดังนั้น ขอชี้แนะให้เบี้ยประกันของประกันรถยนต์ EV มีความคงที่จะเป็นผลดีต่อผู้เอาประกันหรือผู้ขับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไรก็ดี การประกันรถยนต์ไฟฟ้ามีส่วนสำคัญเพื่อช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถตั้งรับความเสี่ยงได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด สำหรับใครที่กำลังจะวางแผนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ควรมีการศึกษา "ประกันรถยนต์ไฟฟ้า" ให้ถ้วนถี่ทั้งด้านความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าบริษัทประกันชี้แนะให้ซื้อความคุ้มครองเพิ่มเพื่อคงความคุ้มครอง 100%ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า ปัญหาของรถยนต์ EV ที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือ อัตราค่าซ่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของแบตเตอรี่นั้น เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดการบุบสลายทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อผู้ใช้รถว่า จะสามารถใช้รถคันนี้ต่อไปได้หรือไม่ จึงเป็นที่มาของการต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งลูก ซึ่งแบตเตอรี่นั้นก็มีมูลค่าแพงมาก มีมูลค่าสูงถึง 60 ถึง 70% ของตัวรถ ทำให้มูลค่าความเสียหายของรถ EV นั้นสูงอย่างมหาศาล กรมธรรม์ประกันภัยรถไฟฟ้าฉบับใหม่ที่จะออกมานี้จะออกมาแก้ไขปัญหานี้โดยเฉพาะโดยจะต้องมีการระบุชื่อผู้ขับขี่ และกำหนดความคุ้มครองไว้ตามขั้นบันไดที่ลดลง 10% ในแต่ละปียกตัวอย่าง รถปีแรกทำประกันภัยก็ได้รับความคุ้มครองเต็ม 100% และหลังจากนั้นในแต่ละปีมูลค่าความคุ้มครองก็จะลดลงปีละ 10% ในปีที่ 2 ความคุ้มครองเหลือ 90% คุ้มครองแบตเตอรี่ลดลงไป 10% ในปีที่ 3 ลดลงไป 20% เหลือความคุ้มครอง 80% เป็นต้นโดยกรมธรรม์รูปแบบใหม่นี้ เปิดโอกาสให้ผู้เอาประกันภัย สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ เพื่อที่จะรักษาความคุ้มครองให้เต็ม 100% ดังเดิม โดยจะที่เป็นเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยสลักหลังในแต่ละปี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเทคโนโลยีที่จะพัฒนาขึ้นมาในอนาคตอาจจะพัฒนาเป็น module ได้ หากมีการชำรุดเสียหายก็สามารถเปลี่ยนได้แบบเฉพาะโมดูลได้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ ซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=165333
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
06/06/2024
“พี่ม้ามังกร” ลัดฟ้าไปเกาะติดพรมแดง เทศกาลหนังเมืองคานส์ ร่วมกับคณะของ กระทรวงวัฒนธรรม มีโอกาสชะแว้บไปเสพงานศิลป์ และเช็กอินที่ เมือง Antibes (อานทีบส์) เมืองเก่าที่น่าหลงใหลของประเทศฝรั่งเศสตอนใต้ จึงนำความประทับใจมาบอกเล่าแก่น้องๆครับเริ่มจากที่แรกเข้าชม พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ หรือ Musee Picasso สถานที่เก็บรวบรวมผลงานที่หาชมได้ยากของ ปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ จิตรกรเอกของโลกชาวสเปน ตั้งอยู่ในปราสาท Chateau Grimaldi เป็นปราสาทหินตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเล็กๆ มีห้องจัดแสดง 2 ชั้น นำเสนอผลงานจิตรกรรม ภาพเขียน ภาพพิมพ์ งานแกะสลัก ประติมากรรม และเซรามิก บอกเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตอยู่ในอานทีบส์เป็นระยะเวลาสั้นๆในปี 1946 โดย ปิกัสโซ ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของปราสาทจัดทำเป็นสตูดิโอสร้างสรรค์ผลงานขณะเดินชมนิทรรศการ จะสัมผัสได้ถึงความน่าทึ่งในความสามารถและพรสวรรค์ของศิลปินผู้นี้ ที่ผลิตผลงานได้หลากสไตล์ หลายแนวคิด ที่มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการนำรูปทรงทางด้านเรขาคณิตมาเป็นพื้นฐานของผลงานศิลปะผลงานของ ปิกัสโซ แบ่งออกเป็นหลายยุคหลักๆ คือ ยุค Blue Period นำเสนอออกมาในแนวเศร้าหม่นหมอง ตามสภาวะของชีวิตและจิตใจในช่วงนั้นที่ต้องสูญเสียเพื่อนรัก จึงถ่ายทอดออกมาด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง ไร้ชีวิตชีวา ใช้สีโทนฟ้าและน้ำเงินเป็นหลัก ขณะที่ ยุค Rose Period ถ่ายทอดความรู้สึกถึงความเบ่งบานในใจ เมื่อได้พบรักกับ แฟร์น็องด์ ออลิวีเย ซึ่งเป็นรักแรก จึงสร้างผลงานที่มีความสุข มีชีวิตชีวา เน้นสีแดง ชมพู ส้มส่วน ยุค Cubism Period มีการใช้เทคนิคที่ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ลงในผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวิวัฒนาการความเจริญทางวิทยาศาสตร์ รูปแบบหน้ากากของชนเผ่าดั้งเดิมในแอฟริกา ส่งผลให้งานศิลปะมีการนำเอารูปทรงเรขาคณิตมาประกอบกันเป็นภาพคนหรือสิ่งของต่างๆ และมีการนำหนังสือพิมพ์หรือเศษกระดาษมาตัดแปะกลายเป็นภาพศิลปะด้วยนอกจากผลงานของ ปิกัสโซ แล้ว ยังมีคอลเลกชันศิลปะร่วมสมัยของศิลปินระดับโลก เช่น Nicolas de Stael ที่เคยอาศัยอยู่ในอานทีบส์, Hans Hartung, Anna–Eva Bergman และ Joan Miro รวมทั้งมีประติมากรรมยอดเยี่ยมจาก Joan Miro, Germaine Richier, Bernard Pages และศิลปินคนอื่นๆบนลานระเบียงปราสาท ส่วนด้านนอกอาคารยังสามารถชมวิวทิวทัศน์อันน่าประทับใจของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกด้วยออกจากพิพิธภัณฑ์แล้วก็แวะเดินเล่นที่ Marche Provencal ตลาดในร่มขายสินค้ามากมาย ทั้งดอกไม้ ผลไม้ ผักสด ชีส เครื่องหอม เครื่องเทศ อาหารสด สินค้าหัตถกรรม ส่วนด้านนอกเป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อกันเต็มที่เลยครับ.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/news/local/2790017?gallery_id=6
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
06/06/2024
เรียกความสนใจเป็นอย่างมากกับเอกลักษณ์ของ "ลิงซากิ" สายพันธุ์ลิงที่มีรูปลักษณ์แปลกตา โดยชาวเน็ตแห่แชร์ความน่ารักน่าเอ็นดูจนกลายเป็นไวรัลในโซเชียลเซเลปลิงตัวนี้มีชื่อว่า "ตู้ตู้" เป็นลิงซากิ (Saki monkey) มีลักษณะหน้าตาโดดเด่นคล้ายมนุษย์ จุดเด่นของมันคือตัวผู้จะมีขนสีดำทั้งตัว ยกเว้นบริเวณหน้าที่เป็นขนสีขาว แถมขนบริเวณหัวของมันยังคล้ายทรงผมของคนไปอีก จนชาวเน็ตแชร์ภาพกันเพียบ แม้หน้าตาของมันคล้ายจะทำหน้ามุ่ยอยู่ตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วตู้ตู้เป็นลิงที่อ่อนโยนและใจดีมากภาพจาก Weiboตู้ตู้ จัดเป็นหนึ่งในดาวเด่นของสวนสัตว์ป่าหงซาน (Hongshan Forest Zoo) ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก มีนักท่องเที่ยวมากมายที่แวะมาเยี่ยมเยือนและแชะภาพของมันอยู่เสมอ และมันก็เป็นขวัญใจชาวจีนจนมีข่าวโด่งดังมาตั้งแต่ปี 2566ภาพจาก Weiboนอกจากนี้ชาวเน็ตคนไทยต่างชื่นชอบความเป็นเอกลักษณ์ของลิงสายพันธุ์นี้ และได้แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก อาทิ "ผมดกดำมาก โฆษณาแชมพูต้องเข้าแล้ว" , "ผมสวยมาก" , "ผมน้องสวยกว่าเราอีก" เป็นต้นภาพจาก Weiboสำหรับลิงซากิหน้าขาว พบได้ในประเทศทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ เช่น บราซิล, เฟรนช์เกียนา, กายอานา, ซูรินาม และเวเนซุเอลา มีอายุขัยเฉลี่ย 15 ปี แต่หากอยู่ในความดูแลของมนุษย์สามารถอยู่ในนานถึง 35 ปี ตัวผู้จะมีขนสีดำยกเว้นส่วนหัวเป็นสีขาวหรือสีแดง ส่วนตัวเมียมีสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเทา และมีแถบสีขาวจนถึงแดงจากตาจนถึงมุมปาก มีลำตัวยาวราว 30-42 เซนติเมตร และช่วงหางที่ยาวเท่ากัน ลิงซากิมักอาศัยอยู่เป็นคู่หรือครอบครัวเล็ก ๆ มีสมาชิก 2-5 ตัว โดยลูกอาจอยู่กับพ่อแม่ได้ 1-2 ปีหลังลูกตัวต่อไปเกิดภาพจาก Weiboภาพจาก Weibo 南京市红山森林动物园แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000048295
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
31/05/2024
เปิดข้อมูลลูกหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน แม้จะปิดชำระหนี้ครบ แต่ข้อมูลถูกบันทึก 3 ปี และแบงก์จะส่งข้อมูลต่อเนื่อง 5 ปี รวม 8 ปีในเครดิตบูโร ยันขอสินเชื่อใหม่ขึ้นกับธนาคารพิจารณา แต่อัตราการอนุมัติสินเชื่อจะยากขึ้นวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีข่าวกระทรวงการคลังต้องการช่วยลูกหนี้ให้เข้าถึงระบบสินเชื่อ โดยการให้ลูกหนี้หลุดพ้นเป็นหนี้เสียและนำประวัติออกจากเครดิตบูโร เนื่องจากมองว่าผู้ที่เป็นหนี้เสียติดประวัติข้อมูลเครดิตบูโร หรือแบล็กลิสต์เป็นระยะเวลารวม 8 ปี ถือว่าค่อนข้างนาน จึงมีแนวคิดในการแก้กฎหมายหรือประกาศดังกล่าวจากประเด็นดังกล่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวมคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับเครดิตบูโรคืออะไร เครดิตบูโรติดกี่ปี และหากติดเครดิตบูโรจะสามารถขอสินเชื่อได้หรือไม่เครดิตบูโร คืออะไรเครดิตบูโร หรือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เป็นบริษัทที่รวบรวมข้อมูลเครดิตจากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก ซึ่งสถาบันการเงินและเจ้าของข้อมูลสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลได้ตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับข้อมูลเครดิตบูโรที่ถูกเก็บรวบรวมไว้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่1. ข้อมูลบ่งชี้ เป็นข้อมูลที่แสดงตัวตนเจ้าของข้อมูล เช่น ชื่อ ที่อยู่ วันเกิด การสมรส อาชีพ เลขบัตรประชาชน หากเป็นนิติบุคคลจะแสดงข้อมูล ชื่อบริษัท สถานที่ตั้ง หรือเลขทะเบียนนิติบุคคล2. ข้อมูลสินเชื่อ คือข้อมูลการยื่นขอสินเชื่อทุกประเภท ทั้งที่ผ่านการอนุมัติและไม่ผ่าน รวมถึงพฤติกรรมการชำระเงิน ทั้งประวัติดี ประวัติชำระล่าช้าการติดเครดิตบูโรเกิดจากอะไรการติดเครดิตบูโรเกิดจากบุคคลมีภาระหนี้ชำระค้างค่าใช้จ่ายบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อกับทางธนาคาร หรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่ได้สมัครไว้ จนล่วงเลยเวลาที่ครบกำหนดเกินกว่า 90 วัน หรือ 3 เดือน เมื่อไม่สามารถชำระเงินคืนตามวันที่กำหนด เป็นผลให้บุคคลดังกล่าวกลายเป็นผู้ติดเครดิตบูโรในที่สุดติดเครดิตบูโรกี่ปีหายคำตอบคือ แม้เจ้าของบัญชีชำระหนี้ครบหมดเรียบร้อย จนยอดหนี้เหลือ 0 บาท ยังต้องรอ 3 ปี ประวัติทางการเงินทั้งหมดถึงถูกลบ และเปลี่ยนจากสถานะติดเครดิตบูโรมาเป็นสถานะปกติ เนื่องจากธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงินซึ่งเป็นสมาชิกบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด จัดส่งข้อมูลประวัติติดค้างชำระทุกเดือน ไม่ว่าจะยอดค้างชำระ หรือการชำระหนี้ตามงวดปกติโดยข้อมูลดังกล่าวจะถูกบันทึกซ้อนกันไปเรื่อย ๆ ทั้งหมดครบ 36 แถว (36 เดือน) เป็นผลให้ข้อมูลติดเครดิตบูโรใหม่เข้ามาแทนที่ข้อมูลเดิมแต่สำหรับใครที่ติดเครดิตบูโรแล้วไม่เคลียร์หนี้ที่ค้างชำระ เพราะคิดว่ารอ 3 ปี ข้อมูลที่ติดเครดิตบูโรจะหายไปกรณีนี้ข้อมูลการค้างชำระไม่ได้หายไปไหน เพราะกรณีผิดนัด หรือค้างชำระหนี้เกินกว่า 90 วัน หรือ 3 เดือน ทางธนาคารหรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงินจะจัดส่งข้อมูลการค้างชำระให้เครดิตบูโรทุกเดือน ต่อเนื่องอีกเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี ดังนั้น ผู้ถือบัตรเครดิตหรือขอสินเชื่อทุกประเภทควรชำระเงินคืนให้ตรงตามเวลา นอกจากแสดงถึงวินัยทางการเงินที่ดี ยังช่วยให้ประวัติทางการเงินดูดีเวลายื่นขอสินเชื่อในอนาคตติดเครดิตบูโร ขอสินเชื่อได้ไหมหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากได้เงินลงทุนสักก้อน เพื่อเปิดร้านชาบู หรือขยายธุรกิจเดิมให้เติบโตยิ่งขึ้น แต่กังวลใจว่าจะขอสินเชื่อไม่ผ่าน เพราะติดเครดิตบูโรซึ่งหากพิจารณาตามข้อมูลข้างต้นพบว่า บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เป็นเพียงหน่วยงานที่รวบรวบประวัติและข้อมูลการชำระสินเชื่อของแต่ละบุคคล ซึ่งสถาบันการเงินสามารถเรียกดูข้อมูลดังกล่าว เพื่อดูประวัติทางการเงิน และประเมินความสามารถในการชำระหนี้ก่อนตัดสินใจพิจารณาอนุมัติสินเชื่อดังนั้น ถึงติดเครดิตบูโรก็ยังคงสามารถยื่นขอสินเชื่อประเภทต่าง ๆ ได้เหมือนเดิม เพียงแต่ถ้ามีประวัติผ่อนชำระล่าช้า หรือค้างชำระหนี้อาจเป็นผลให้ผ่านการพิจารณาได้ยากขึ้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1575537
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
31/05/2024
สมาคมประกันวินาศภัยไทย ชงข้อเสนอคลังขอเพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษี “ประกันสุขภาพ” คู่สมรสและบุตร ให้ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ขณะที่ประชาชนอายุ 45 ปีขึ้นไป เสนอให้สามารถนำเบี้ยหักลดหย่อนได้เพิ่มอีก 10,000-20,000 บาท/ราย รวมถึงเปิดทางลูกค้าซื้อประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีได้ถึง 100,000 บาท ขณะที่ “คปภ.” ให้ศึกษาผลกระทบรายได้รัฐเพิ่มเติม คาดใช้เวลา 1 เดือน คาดได้ข้อสรุปเสนอคลังได้ภายในเดือน ก.ค.นี้นายปิยะพัฒน์ วนอุกฤษฏ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แปซิฟิค ครอส ประกันสุขภาพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ สมาคมประกันวินาศภัยไทย (TGIA) เปิดเผยว่า สมาคมคาดการณ์เบี้ยประกันสุขภาพในอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยในปี 2567 จะมีอัตราการเติบโต 10.5-11.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) หรือมีเบี้ยรับประมาณ 17,300-17,400 ล้านบาทโดยพันธกิจเร่งด่วน (Quick Win) ของสมาคมเกี่ยวกับการประกันสุขภาพจะมีด้วยกัน 3 เรื่องสำคัญคือ 1.เพิ่มสิทธิการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อจูงใจให้คนมาซื้อประกันสุขภาพมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต 2.การควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้มีความเหมาะสม และ 3.การจัดตั้งคณะแพทย์ที่ปรึกษาของสมาคมสำหรับเรื่องเพิ่มสิทธิการลดหย่อนภาษี สมาคมได้แต่งตั้งคณะทำงานด้านภาษี และสรุปเป็นข้อเสนอ 3 แนวทางคือ 1. ให้สิทธิลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพของคู่สมรสและบุตรได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยเสนอแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 47 (1) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร โดยเพิ่มหรือแก้ไขให้รองรับกรณีที่ผู้มีเงินได้ ได้จ่ายไปสำหรับการประกันสุขภาพให้แก่บุตรหรือคู่สมรสด้วย เสมือนเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของกรมธรรม์ประกันภัยลูกกตัญญูที่ลูกซื้อให้กับพ่อแม่โดยประกันสุขภาพจะต้องให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยและบาดเจ็บ การชดเชยทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ และการประกันอุบัติเหตุ เฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก รวมถึงคุ้มครองโรคร้ายแรง2. เสนอให้ประชาชนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป สามารถนำเบี้ยประกันมาหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นอีก 10,000-20,000 บาท/ราย จากเดิม 100,000 บาท เป็น 110,000-120,000 บาท/ราย ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดความเสี่ยงของทางรัฐบาล และกระจายความเสี่ยงให้ทางเอกชนมากขึ้นและ 3. เสนอให้ค่าลดหย่อนภาษี ทั้งประกันชีวิตและค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ที่คิดรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ไม่ต้องกำหนดแยกสำหรับค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ที่ให้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 25,000 บาท หมายความว่าลูกค้าจะซื้อประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีเท่าใดก็ได้ในวงเงินลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตที่ 100,000 บาท ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ลูกค้าวางแผนรองรับความเสี่ยงได้ดีในอนาคตเมื่อเกิดการเจ็บป่วย“สมาคมได้ทำหนังสือส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เรียบร้อยแล้ว โดยทาง คปภ.ได้ตั้งคณะทำงานชุดย่อยขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ และได้สั่งให้ทางสมาคมกลับไปศึกษาผลกระทบที่รัฐบาลจะต้องสูญเสียจากข้อเสนอภาษีตรงนี้ ดังนั้น ระหว่างนี้สมาคมต้องรวบรวมข้อมูล คาดว่าจะใช้เวลาราว 1 เดือน ก่อนส่งกลับให้ คปภ. และคาดว่าภายในเดือน ก.ค. 2567 น่าจะเสนอกระทรวงการคลังได้”ส่วนเรื่องการควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ปัจจุบันนี้สมาคมประกันวินาศภัยไทยและสมาคมประกันชีวิตไทย ได้ร่วมจัดทำร่างแนวปฏิบัติสำหรับการพิจารณากลุ่มโรคการเจ็บป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Disease) ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเคลมประกันสุขภาพในอัตราที่สูง ซึ่งจะนำเสนอให้สำนัก คปภ.พิจารณาและลงความเห็นชอบร่วมกันโดยสมาคมได้ร่วมมือสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อกำหนดมาตรการการใช้ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) รวมทั้งร่วมมือกับภาครัฐ โดยกรมการแพทย์และภาคประกันสุขภาพเอกชนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างใกล้ชิด“ตอนนี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลถือเป็นต้นทุนหลักในการเสนอผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ ดังนั้นหากค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เบี้ยประกันสุขภาพก็จะต้องแพงขึ้นต่อเนื่อง และทำให้ประชาชนเข้าถึงประกันสุขภาพเอกชนได้ยาก สุดท้ายแล้วประชาชนต้องไปต่อคิวตั้งแต่เวลาตี 5 เพื่อแย่งเข้ารักษาในโรงพยาบาลของรัฐบาล ซึ่งไม่อยากให้ประชาชนมีประสบการณ์แบบนั้น จึงต้องผลักดันให้เบี้ยประกันสุขภาพถูกลง โดยการควบคุมค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลให้เหมาะสม โดยเบี้ยประกันสุขภาพเอกชนที่เหมาะสมจะเฉลี่ย 25,000 บาท/ราย”นายปิยะพัฒน์กล่าวอีกว่า ส่วนการจัดตั้งคณะแพทย์ที่ปรึกษาของสมาคมจะมีทั้งหมด 12 ราย เพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริหารจัดการสินไหมทดแทน รวมทั้งเข้าไปมีส่วนในการเข้าไปช่วยรัฐบาลและประชาชน โดยจะเป็นแพทย์ปฏิบัติงานในบริษัทประกันวินาศภัย 8 ราย แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากกระทรวงสาธารณสุข 1 ราย แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากแพทยสภา 1 ราย และคณะทำงานสมาคม 2 ราย โดยมีนายแพทย์เทอดศักดิ์ โรจน์สุรกิตติ เป็นประธานคณะแพทย์ที่ปรึกษาของสมาคมผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปี 2566 ธุรกิจประกันสุขภาพในอุตสาหกรรมประกันภัยของประเทศไทย มีเบี้ยรับรวมทั้งระบบ 125,455 ล้านบาท มาจากบริษัทประกันชีวิต 109,786 ล้านบาท เติบโต 5.93% และบริษัทประกันวินาศภัย 15,669 ล้านบาท ลดลง 0.9% เมื่อเทียบจากปี 2565แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1573690
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
31/05/2024
แหล่งท่องเที่ยวหลาย ๆ แห่ง ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ นอกจากความสวยงาม แปลกตา น่าทึ่ง ของตัวแหล่งท่องเที่ยว สถานที่ที่ไปเยือน บรรยากาศ และเรื่องราวระหว่างทางแล้ว “ป้าย” ตามแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กดึงดูดให้คนไปถ่ายรูปคู่กับป้ายเป็นที่ระลึกกันไม่น้อยยิ่งเป็นป้ายประเภทมีความสวยงาม มีเรื่องราว มีอัตลักษณ์โดดเด่น ก็ยิ่งกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเช็กอินสำคัญเคียงคู่แหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆป้ายสูงสุดแดนสยาม ดอยอินทนนท์และนี่ก็คือ 3 แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในบ้านเราที่มีจุดถ่ายรูปคู่กับป้ายอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูป-เช็กอิน ยามเมื่อมีโอกาสไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆป้ายจุดสูงสุดแดนสยาม ดอยอินทนนท์ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นขุนเขาที่มียอดสูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ทางอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ผู้ดูแลพื้นที่จึงได้จัดสร้างป้าย “สูงสุดแดนสยาม” ไปติดตั้งไว้บริเวณยอดดอยสูงสุด เพื่อให้เป็นจุดถ่ายรูปเช็กอิน เมื่อขึ้นไปเยือนดอยอินทนนท์ป้ายสูงสุดแดนสยาม อีกหนึ่งจุดเช็กอินยอดฮิตของนักท่องเที่ยวป้ายสูงสุดแดนสยามเป็นป้ายไม้ที่มีทั้งภาษาไทย-อังกฤษ ระบุข้อมูลบริเวณนี้ว่า มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,565.3341 เมตร ถือเป็นหนึ่งในบ้ายของฮิตของแหล่งท่องเที่ยวป้ายเรา เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวดอยอินทนนท์ มักจะไม่พลาดการมาถ่ายรูปกับป้ายแห่งนี้จากป้ายสูงสุดแดนสยามจะมีเส้นทางเดินไปยัง “สถูปของพระเจ้าอินทรวิชยานนท์” เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ บุคคลสำคัญที่ทำให้ดอยแห่งนี้เปลี่ยนจากชื่อเดิมคือ “ดอยหลวง” และ “ดอยอ่างกา” มาเป็น “ดอยอินทนนท์”เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาส่วนถ้าเดินต่อไปจะไปออกที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แล้วข้ามถนนไปจะเป็น “เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา” ที่มีบรรยากาศดูคล้าย “ป่าโบราณ” หรือ “ป่าดึกดำบรรพ์” ที่ดูสวยงามแปลกตาด้วย “ต้นไม้ใส่เสื้อผ้า” ซึ่งมีมอสเฟินปกคลุมลำต้นกิ่งก้านอย่างหนาแน่น รวมถึงมี “ข้าวตอกฤาษี” มอสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทยให้ชมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งนี่ถือเป็นเส้นทางเดินป่าอันสวยงามและน่าทึ่งแห่งหนึ่งของเมืองไทยป้ายใต้สุดสยาม เบตงป้ายใต้สุดสยาม เบตงอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศไทย ทางภาครัฐจึงสร้างป้าย “ใต้สุดสยาม” ไว้บริเวณด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย (รัฐเปรัค) ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเบตงไปราว 7 กิโลเมตรป้ายใต้สุดสยามสร้างจากหินอ่อน มีตัวหนังสือและรูปแผนที่ประเทศไทยเป็นสีทอง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปเช็กอินยอดนิยมของผู้ที่ล่องใต้ไปเที่ยวเบตง โดยมีคำกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้มาถ่ายรูปคู่กับป้ายใต้สุดสยาม ถือได้ว่ามาไม่ถึงเบตง”ป้ายใต้สุดสยาม อีกหนึ่งจุดถ่ายรูปยอดนิยมขอิงนักท่องเที่ยวอย่างไรก็ดีบริเวณที่ตั้งป้ายใต้สุดสยามนั้น ไม่ใช่ตำแหน่งที่อยู่ใต้สุดของเมืองไทย แต่จุดที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทยหรือจุดใต้สุดสยามจริง ๆ คือที่จุดสิ้นสุดประเทศไทย หมู่ 1 ต.ธารน้ำทิพย์ อ.เบตง ซึ่งมีการสร้าง หลักเขต 54 A ไว้เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเบตงป้ายอักษร OK BETONGนอกจากนี้ในอำเภอเบตงยังมีจุดถ่ายรูปคู่กับป้ายเด่น ๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปด้วยอีกหลายจุด อย่างเช่น ป้ายเบตงใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน หน้าอุโมงเบตงมงคลฤทธิ์ (ฝั่งสนามกีฬา) ที่มีประติมากรรมพี่ตูนยืนอยู่เคียงข้าง, ป้ายอักษรไทย-อังกฤษตัวโตของสกายวอล์คทะเลหมอกอัยเยอร์เวง, ป้ายอักษรโอเคเบตง (OK BETONG) ที่อยู่ริมทางฝั่ง (จากยะลา) ขาเข้าเมืองเบตงที่นำมาจากชื่อภาพยนตร์ รวมถึงป้ายรถยนต์ “ทะเบียนเบตง” ที่เป็นป้ายรถยนต์ให้ทะเบียนเป็นชื่ออำเภอหนึ่งเดียวในเมืองไทย เป็นต้นป้ายผู้พิชิตภูกระดึงผาหล่มสัก สัญลักษณ์แห่งภูกระดึงภูกระดึง อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเดินป่าขึ้นเขาระดับตำนานดาวค้างฟ้าที่ยังคงได้รับความนิยมนับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันภูกระดึง เป็นภูเขายอดตัดราบรูป (คล้าย) “หัวใจ” หรือ “ใบบอน”มีพื้นที่ราว 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 400-1,200 เมตร โดยมียอดสูงสุด ตั้งอยู่บนความสูง 1,288 เมตรจากระดับน้ำทะเลเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูกระดึงบนยอดภูกระดึง มีการเปิดพื้นที่บางส่วนเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่น ๆ อาทิ ผาหล่มสัก ผานกแอ่น ผาหมากดูก ป่าสน สระอโนดาต น้ำตกต่าง ๆ เช่น น้ำตกโผนพบ เพ็ญพบ ถ้ำสอเหนือ เป็นต้นอย่างไรก็ดีการจะขึ้นสู่ยอดภูกระดึงปัจจุบันต้องเดินเท้าขึ้นเขาอย่างเดียว โดยจากจุดเริ่มต้นที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว บ้านศรีฐาน มีระยะทางประมาณ 5.5 กิโลเมตร เดินขึ้นเขาชันผ่านซำต่าง ๆ สู่ “หลังแป” ที่เป็นจุดเหยียบสัมผัสแรกบนภูกระดึง ซึ่งต้อนรับเราด้วยป้าย “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง”ป้ายครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง ที่หลังแปป้ายผู้พิชิตภูกระดึงป้ายนี้ที่หลังแป แม้ว่าจะเป็นป้ายธรรมดา ๆ ตามมาตรฐานทั่ว ๆ ไปของกรมอุทยานแห่งชาติฯ แต่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งป้ายในตำนานการท่องเที่ยวของบ้านเรา ทั้งยังเป็นป้ายที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คน เพราะกว่าจะดั้นด้นเดินขึ้นเขาจากด้านล่างมาถึงหลังแปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยป้ายครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง ที่มีคุณค่าทางจิตใจของเหล่าผู้พิชิตภูกระดึงและนี่ก็คือตัวอย่างเพียงส่วนน้อยนิดของป้ายแหล่งท่องเที่ยวในบ้านเราที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปคู่ด้วย ซึ่งในบรรดาป้ายชื่อตามสถานที่หรือแหล่งท่องต่าง ๆ ป้ายหลาย ๆ แห่งมีมากกว่าฟังก์ชั่นในการบอกชื่อสถานที่หรือบอกตำแหน่ง แต่มันยังเป็นจุดถ่ายรูปเช็กอินของนักท่องเที่ยว เป็นแลนด์มาร์ก เป็นเอกลักษณ์คู่เมือง บางป้ายก็มีคุณค่าทางจิตใจดังนั้นการจะเปลี่ยนป้ายต่าง ๆ ต้องทำด้วยความรอบคอบ อย่าทำชุ่ย ๆ และไม่ทำสนองความโว้ค หรือทำเพื่อหาเรื่องกินงบประมาณ เพราะสุดท้ายแล้วก็จะถูกสังคมก่นด่าเละเทะ แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีก็ยังมิอาจต้านทานแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000046620
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
30/05/2024
คุยกับกูรูเศรษฐกิจ ชี้ปัจจัยทำไมคนไทยจ่ายภาษีน้อย มองโครงสร้างมีจุดบกพร่อง อาจถึงเวลาต้องปฏิรูประบบ!ผู้อ่านทุกคนคงพอจะทราบกันเบื้องต้นอยู่แล้วว่า โดยทั่วไป 'ภาษี' เป็นสิ่งที่รัฐเรียกเก็บจากประชาชน เพื่อนำไปใช้สำหรับการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ การศึกษา คมนาคม สาธารณสุข การรักษาความสงบภายในชาติ และอื่นๆ จะเห็นได้ว่า 'ภาษี' ดูจะมีข้อดีมากเลยทีเดียวแต่ข้อมูลจากรายงาน ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ซึ่งทำการศึกษาเรื่อง ทัศนคติของประชาชนต่อหน้าที่การยื่นแบบฯ และการจ่ายภาษี ร่วมกับบริษัท ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ จำกัด (SAB) พบว่าการศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,846 คน ทำให้ทราบว่าปี 2565 มีผู้ยื่นแบบฯ 35.7% และผู้อยู่ในเกณฑ์แต่ไม่ยื่นแบบฯ 50.5% โดยกลุ่มยื่นแบบฯ เป็นกลุ่ม Gen Y 60.0% ส่วนกลุ่มอยู่ในเกณฑ์แต่ไม่ยื่นแบบฯ กระจายอยู่ในกลุ่ม Gen X, Gen Y และ Baby Boomer จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง พบว่า ภาพรวมมีความรู้เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในระดับต่ำ ประมาณ 57.9% ไม่รู้เลยถึงรู้ระดับต่ำ อีกทั้งส่วนใหญ่มองว่า ระบบการจัดเก็บภาษีเงินได้ มีความเป็นธรรมในระดับปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ โดย 51.7% มองว่า เป็นธรรมปานกลาง 24.1% มองว่า เป็นธรรมน้อย มีเพียงไม่ถึง 1 ใน 4 ที่เห็นว่าระบบมีความเป็นธรรมถึงมากที่สุดโดยกลุ่มที่เห็นว่าระบบไม่เป็นธรรม ระบุสาเหตุว่า ระบบตรวจสอบยังไม่ครอบคลุม, ผู้มีรายได้สูงบางกลุ่มใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย และเกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษีฯ ต่ำเกินไป ทั้งนี้ 65.9% ของกลุ่มที่อยู่ในเกณฑ์แต่ไม่ยื่น ระบุว่า เต็มใจยื่นแบบฯ หากได้รับสวัสดิการที่มากขึ้นจากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น ดูจะสอดคล้องกับความคิดเห็นของ 'ผศ.ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข' คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ซึ่งเรามีโอกาสได้สนทนาถึงปัญหาของระบบภาษีไทยคนเสียภาษีน้อย เพราะได้รับการยกเว้น :บทเริ่มต้นของการสนทนาเรื่องนี้ ผศ.ดร.สันติ กล่าวว่า ภาษีที่เรากำลังจะพูดถึง คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเก็บจากคนที่ทำงานกินเงินเดือน คนที่ทำฟรีแลนซ์ หรือรับจ๊อบเสริมเป็นหลัก ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล เก็บจากพวกบริษัทหรือห้างร้านที่ทำกำไรได้ ปัจจุบันอัตราเสียภาษีของกลุ่มนี้อยู่ที่ 20% และภาษีอีกกลุ่มหนึ่งที่ถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ ก็คือภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่เราเรียกว่า Vat เป็นภาษีที่เก็บจากสินค้าและบริการ คราวนี้ภาษีที่เรามองว่ามันเหมือนเป็นปัญหา เพราะคนเสียภาษีน้อย คือกลุ่มภาษีประเภทเงินได้บุคคลธรรมดา มีข่าวอ้างอิงกันออกมาว่า เรามีคนอยู่ในวัยทำงานตั้ง 38 ล้านคน ต้องยื่นแบบภาษีประมาณ 10 ล้านคน แต่สุดท้ายเหลือผู้ต้องจ่ายภาษีแค่ประมาณ 3-5 ล้านคน"ผมต้องเรียนว่า จริงๆ แล้วตัวเลขมันก็ประมาณนี้แหละ เพราะแม้ว่าผู้ต้องยื่นแบบจะมีถึงหลัก 10 ล้าน แต่สุดท้ายจะมีปัจจัยที่ทำให้หลายคนได้รับการยกเว้นเสียภาษี เช่น รายได้ต่ำกว่าระดับที่ต้องเสีย นอกจากนั้นยังมีอีก 2-3 ข้อ ที่เป็นเหตุได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมประเทศไทยเหลือคนเสียภาษีน้อย"ผศ.ดร.สันติ กล่าวยกตัวอย่างว่า ผมสมมติว่าคนคนหนึ่งมีรายได้ทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท ถ้านำ 12 (เดือน) ไปหาร ก็เท่ากับว่ามีรายได้ต่อเดือนประมาณ 16,000 บาท ก็เป็นกลุ่มคนเพิ่งเริ่มทำงาน เด็กจบใหม่ ซึ่งพวกเขาต้องยื่นแบบภาษี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เสียภาษี เพราะยังอยู่ในอัตราที่ได้รับการยกเว้น ดังนั้น หากอยากให้พวกเขาเสียภาษี ก็ต้องมีมาตรการยกระดับรายได้ให้สูงขึ้นโดยโครงสร้างแล้ว ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะเสียภาษีแบบขั้นบันไดที่เรียกว่า 'อัตราก้าวหน้า' ซึ่งมีอัตราเสียสูงสุด 35% แต่ส่วนใหญ่แล้วรายได้ของคนไทยจะอยู่ในเรตที่ต้องเสีย 10% เฉลี่ยเสียภาษีต่อคนอยู่ที่ 17% ไม่เกิน 20%ปัญหาของโครงสร้างภาษี :เมื่อเราถามว่า ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้คนไม่อยากเสียภาษี? ผศ.ดร.สันติ ได้ให้คำตอบกับเราว่า คงต้องบอกว่าความคิดคนเรามีหลากหลายต่างกันออกไป แต่โดยธรรมชาติของคนยังไงก็ไม่อยากเสียภาษี เขาอยากจะเลี่ยงกันหมด เพียงแต่ว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเรื่องที่เลี่ยงค่อนข้างยากกว่าภาษีประเภทอื่น เพราะเงินเดือนเข้าระบบคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การหลบเลี่ยง หรือหลีกเลี่ยงของคนกลุ่มนี้มีไม่เยอะหรอก"คราวนี้เราต้องมาดูว่า จะคุยกันเรื่องจำนวนคนเสียภาษี หรือจะดูตัวเงินที่เก็บจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากเอาเรื่องคน ก็อย่างที่บอกไปว่า มีคนเข้าข่ายไม่เสียภาษีจำนวนมาก ทำให้มีคนเสียภาษีน้อย แต่ถ้าถามว่า เงินที่จัดเก็บจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทำไมน้อย หรือปัจจัยใดทำให้น้อย ส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันน้อยนะ เพราะคนที่ยื่นแบบฯ แล้วต้องเสียภาษีจริงๆ เขาเสียกันไม่น้อยหรอก"อย่างไรก็ดี อาจารย์สันติ มองว่า มี 2 ปัจจัยที่ทำให้การเก็บภาษีมีปัญหา!ผศ.ดร.สันติ ระบุถึงปัญหาแรกว่า เป็นผลสืบเนื่องจากโครงสร้างของการเก็บภาษีนิติบุคคล ซึ่งอยู่ที่ 20% จากในอดีตที่เคยเก็บ 35% แต่สมัยหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขาบอกว่า ประเทศในอาเซียนเก็บภาษีนิติบุคคลต่ำกว่าประเทศไทย ทำให้ไม่มีธุรกิจไหนอยากมาตั้งในไทย ตราบใดที่เราไม่ลดภาษีนิติบุคคลลง เขาจึงเสนอนโยบาย และออกกฎหมายให้ภาษีนิติบุคคลเหลือ 20%ประเด็นเลยอยู่ตรงที่ว่า ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงเหลือ 20% แต่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ลด ทำให้คนที่ทำงานแล้วมีรายได้เพิ่มขึ้น ต้องเสียภาษีในอัตราที่ก้าวกระโดดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อเขาอยู่ในระดับที่ต้องเสียภาษี 25% เขาก็จะเริ่มมองว่า ทำไมต้องมาเสียภาษีมากขนาดนี้ จึงเลือกไปจดทะเบียนตั้งบริษัท แล้วโอนรายได้ของตัวเองเข้าไป จะได้ไม่เสียภาษีเกิน 20%"เมื่อเป็นรูปแบบบริษัท ก็ไปหาค่าใช้จ่ายเอามาหัก ไปหาใบเสร็จนู่นนี่นั่นเยอะแยะไปหมด ในทางปฏิบัติมันคือการเลี่ยงภาษี เพราะเอารายได้ของตัวเองไปไว้ในนามบริษัท แล้วก็บอกว่าตัวเองมีรายได้นิดเดียว เพื่อเลี่ยงการเสียภาษี"กูรูด้านเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างว่า สมมติคุณมีรายได้เดือนละ 100,000 บาท เท่ากับปีหนึ่งมีรายได้ 1,200,000 บาท ถ้าเสียภาษีรายได้แบบบุคคลธรรมดา คุณก็จะโดนเยอะ เอาไปใส่ในนามบริษัทก็เสียภาษีน้อยกว่า เพราะฉะนั้น เมื่อโครงสร้างภาษีเป็นเช่นนี้ เราเลยเห็นคนที่เขารับจ้างทำจ๊อบเสริม เลือกจะไปยื่นเป็นนิติบุคคลแทน จุดนี้ทำให้จำนวนคนที่ต้องเสียภาษีน้อยลงไปอีกนิติบุคคลเสียภาษีจากกำไร :จุดที่ 2 ที่อาจารย์สันติมองว่าเป็นปัญหา เป็นสิ่งสืบเนื่องจากปัญหาแรก เพราะถ้าเป็นนิติบุคคล จะเสียภาษีจาก 'กำไร' แปลว่า สามารถหารายจ่ายมาหักได้ เช่น คนในบริษัทไปกินเลี้ยงสังสรรค์กัน ก็ไปขอใบเสร็จมายื่นตอนเสียภาษีว่า นี่เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายของบริษัท ทำให้กำไรที่ได้ดูน้อยลง ตัดรายจ่ายที่ต้องเสียภาษีไปอีกแต่ถ้าคุณเป็นบุคคลธรรมดา เขาจะให้คุณหักแค่ค่าลดหย่อน 60,000 บาท ซึ่งค่าลดหย่อนพวกนี้ไม่ได้ปรับมาเป็นเวลานานมากแล้ว ค่าลดหย่อนที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60,000 บาท ถามว่า ปีหนึ่งเราใช้จ่ายแค่ 60,000 บาท ตกเดือนละ 5,000 บาทหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เพราะความเป็นจริงในแต่ละวัน เรามีค่าใช้จ่ายกันมากมาย ทั้งค่าอาหารและค่าเดินทาง ผมถึงพยายามบอกว่า ถึงเวลาที่ต้องปรับแล้ว"เปรียบเทียบง่ายๆ ค่าใช้จ่ายของคนก็เหมือนต้นทุนของบริษัท ซึ่งระบบให้บริษัทหักต้นทุนทั้งหมดได้ แล้วใช้แค่กำไรในการคิดเพื่อเสียภาษี แต่เมื่อเป็นบุคคลธรรมดา ระบบจำกัดให้ลดหย่อนแค่ 60,000 บาท ในขณะที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขั้น แต่ระบบยังให้ลดหย่อนเท่าเดิม แบบนี้ใครอยากจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา""ดังนั้น สำหรับผมไม่ใช่คนไม่รู้ว่าต้องเสียภาษี เพราะอย่างไรตามกฎหมายเขาก็ต้องเสียกันอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกของพวกเขามองว่าแบกรับไม่ไหว และรู้สึกไม่เป็นธรรม เพราะในขณะที่ตนเองต้องเสียเต็มที่ แต่มีคนไม่ได้เสียภาษีอีกเยอะ เพราะมีช่องทางหลบเลี่ยงหรือยกเว้น" อาจารย์สันติ แสดงความคิดเห็นกับเราปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยา :หลายคนอาจจะเคยเห็นข้อความประมาณว่า ไม่อยากจ่ายภาษีเพราะรัฐสวัสดิการไม่ดี หรือไม่อยากจ่ายเพราะไทยยังมีการทุจริตให้เห็นอยู่มาก คำพูดลักษณะนี้ กูรูด้านเศรษฐศาสตร์จากนิด้า ยอมรับว่า เรื่องดังกล่าวมีผลทางจิตวิทยาผศ.ดร.สันติ ระบุว่า อย่างไรก็ตาม ในทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เราจะแยกฝั่งรายได้และรายจ่ายออกจากกัน ฝั่งรายได้ของรัฐที่ไปเก็บภาษี มันเป็นหน้าที่ของคนที่ต้องจ่าย ไม่ว่ารัฐจะเอาเงินไปใช้จ่ายอย่างไร สุดท้ายคนก็ต้องเสียภาษี จะมาอ้างว่ารัฐใช้จ่ายไม่ได้เรื่อง ใช้จ่ายไม่ถูกใจ แล้วจะไม่เสียภาษีแบบนี้ก็ไม่ได้ประเด็นหรือปัจจัยข้างต้นมันเลยมีผลแค่ทางจิตวิทยา เพราะตามกฎหมายยังต้องจ่ายภาษีอยู่ดี เพียงแต่ว่าอีกมุมหนึ่งในทางจิตวิทยา ถ้ารัฐทำอะไรที่สมเหตุสมผล มีประสิทธิภาพ คนก็จะรู้สึกว่า ยอมจ่ายภาษีก็ได้ ไม่ต้องไปเลี่ยงหรือหลบ"การจะดูเรื่องประสิทธิภาพ ว่ารัฐมอบสวัสดิการให้เราได้มากแค่ไหน มันเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์ยาก เพราะต้องบอกว่า แม้สวัสดิการบางอย่างที่คุณไม่ได้ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่เขาได้รับ เช่น สวัสดิการผู้สูงอายุ ที่แม้วันนี้คนวัยทำงานจะไม่ได้ แต่ในอนาคตก็อาจจะได้รับ"เศรษฐกิจดีขึ้น รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น :ภาพรวมของโครงสร้างทั้งหมดตอนนี้ ทำให้อาจารย์สันติมองว่า ถ้าจะว่ากันจริงๆ เราขาดดุลงบประมาณ แปลว่า เราเก็บภาษีได้น้อยกว่ารายจ่าย ซึ่งเราขาดดุลงบประมาณมาเป็นสิบปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1997 ที่มีวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นต้นมา ผมก็ยังไม่รู้ว่าเราเกินดุลไปกี่ปี ซึ่งทุกวันนี้เรายังต้องทำขาดดุลงบประมาณ ถ้าไปดูแผนการคลังระยะกลางของกระทรวงการคลัง เขาวางแผนไว้แล้วว่า จะต้องขาดดุลไปอีกอย่างน้อย 5 ปี "งบประมาณปี 2568 ที่เข้าสภา เพิ่งผ่านความเห็นชอบของ ครม. เราขาดดุลอีก 6-7 แสนล้าน แล้วถ้าเราต้องเป็นแบบนี้ไปอีก 5 ปี คิดง่ายๆ ว่าตัวเลขที่ต้องขาดดุลสูงถึงประมาณ 3 ล้านล้านบาท หากถามว่า สามารถลดการขาดดุลได้ไหม ก็ต้องดูว่าจะลดรายจ่ายได้หรือเปล่า การที่จะไปบอกกระทรวงต่างๆ ว่า อย่าใช้จ่ายเยอะ มันก็ทำไม่ได้ เพราะเขาต้องใช้งบ"เมื่อลดรายจ่ายไม่ได้ ก็ต้องหารายได้เพิ่ม ซึ่งวิธีก็คือต้องทำให้เศรษฐกิจโตได้อย่างน้อย 10% ถึงจะพูดได้ว่า สามารถเก็บภาษีได้มากกว่าเดิม เพราะการที่จะเก็บภาษีจากนิติบุคคล และ VAT ได้ดีขึ้นก็มาจากเศรษฐกิจโตขึ้น ส่วนภาษีรายได้บุคคลธรรมดา จะเก็บได้มากขึ้นก็ต่อเมื่อพวกเขามีเงินเดือนสูงขึ้นกูรูเศรษฐศาสตร์เลกเชอร์ข้อมูลให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า ภาษีหลักของประเทศมี 3 ตัว คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยโครงสร้างแล้ว 56-58% เป็นภาษี VAT ภาษีเงินได้นิติบุคคลอันดับสอง ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอันดับ 3 ที่เหลือเป็นภาษีอื่นๆ ซึ่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถ้าจะพูดกันจริงๆ มันมีสัดส่วนเพียง 10% ของรายได้รัฐในกรณีของ VAT จริงๆ มันก็สามารถปรับขึ้นจาก 7% ได้ เพราะตอนที่เปลี่ยนจากภาษีการค้ามาใช้ภาษี VAT รัฐประกาศเก็บที่ 10% ไม่ใช่ 7% แต่ช่วงนั้นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เลยเปลี่ยนมาใช้ 7% เป็นการชั่วคราว แต่ปัจจุบันยังไม่มีการปรับกลับจนกลายเป็นถาวร แต่ครั้นตอนนี้จะให้เปลี่ยนไปเป็น 10% นักการเมืองไม่ทำหรอก เพราะเขารู้ว่ายังไงคนก็ไม่ชอบ คนต้องออกมาโวยวาย เพราะคนจะมองว่าเป็นการเพิ่มภาระให้ เลยไม่ใช่นโยบายที่นักการเมืองอยากทำ"ปัญหาภาษีมันยังมีอีกมากมาย ถึงเวลาที่กระทรวงการคลังต้องมานั่งคิดว่า จะปฏิรูประบบภาษีของเรายังไง ในมุมมองของผม การดำเนินงานระยะสั้น คือ ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ ต้องมีการปรับโครงสร้างให้สมดุล เช่น เรื่องลดหย่อนภาษี แต่มันก็แล้วแต่กระทรวงการคลัง ส่วนการดำเนินงานระยะยาว มองว่าอาจจะต้องปรับ VAT""การเก็บภาษีได้มากหรือน้อย มันแปรตามสภาพเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจดี บริษัทก็มีกำไร รัฐจะเก็บภาษีนิติบุคคลเพิ่มได้อัตโนมัติ อีกทั้งถ้าเศรษฐกิจดี คนมีงานทำ ได้ปรับรายได้ มีโบนัส เขาก็จะเสียภาษีเพิ่ม ต่อให้จำนวนคนเสียภาษีไม่เพิ่ม แต่รัฐยังไงก็ได้เงินเพิ่ม ดังนั้น ยังไงมันก็อยู่ที่สภาพเศรษฐกิจ"แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2789396
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
27/05/2024
29/04/2024
23/12/2024
19/06/2024
29/05/2024