คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันชีวิต

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับรางวัล Best of the Best Award Winner 2024 ประเภท “Best Bond Manager – Thailand” จาก นิตยสาร Asia Asset Management

10/04/2024

บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด คว้ารางวัล Best of the Best Award Winner 2024 ประเภทรางวัล “Best Bond Manager – Thailand” จาก นิตยสาร Asia Asset Management โดยมี นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง  (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมคณะผู้บริหาร ขึ้นรับรางวัลจาก นาย Tan Lee Hock ผู้ก่อตั้งนิตยสาร Asia Asset Management สะท้อนถึงความสามารถของทีมผู้จัดการกองทุนของ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ (AIA Income Fund)” ซึ่งถือเป็นกองทุนคุณภาพระดับต้น ๆ สำหรับกองทุนประเภทตราสารหนี้ในประเทศ ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นเครื่องการันตีที่ตอกย้ำถึงศักยภาพของกระบวนการทำงาน และทีมงานการลงทุนของ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) รวมถึงกลุ่มการลงทุนของเอไอเอ (AIA Investments) ที่มีความมุ่งมั่นในการบริหารกองทุนรวมให้ได้ผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นในระยะยาว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือกรมธรรม์ของเอไอเอ ยูนิต ลิงก์ ต่อไป โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ โรงแรม Parkroyal Collection Marina Bay ประเทศสิงคโปร์คำเตือน   -  ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนของแต่ละกองทุน และข้อมูลอื่นๆ ในเว็บไซต์ www.aiaim.co.th อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน  -  การลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงและผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่เปิดเผยไว้ในแหล่งต่างๆ หรือขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ก่อนการตัดสินใจลงทุน  -  ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต  -  ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนคำสงวนสิทธิ์บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด  -  เอกสาร/เอกสารประกอบการนำเสนอ ฉบับนี้ ได้จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ในการลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน  และตอบสนองความต้องการของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง ไม่อาจตีความได้ว่าเป็นคำเสนอ, คำแนะนำ หรือคำชักชวนให้เข้าทำธุรกรรมหรือเป็นการยอมผูกพันตามธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยง, การซื้อขาย หรือกลยุทธ์การลงทุนเกี่ยวกับหลักทรัพย์หรือเครื่องมือทางการเงินอื่นใดซึ่งออกหรือบริหารจัดการโดยบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด (“บลจ.เอไอเอ”) หรือบริษัทในเครือ (“กลุ่มบริษัท เอไอเอ”) ที่อยู่ในเขตอำนาจตามกฎหมายของประเทศซึ่งไม่ได้รับมอบอำนาจให้ทำข้อเสนอดังกล่าวต่อบุคคล ไม่มีส่วนใดๆ ในเอกสาร/เอกสารประกอบการนำเสนอฉบับนี้ จะถูกตีความได้ว่าเป็นคำแนะนำในการลงทุน ภาษีอากร กฎหมาย หรือคำแนะนำอื่น ๆ การอ้างอิงถึงหลักทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงที่ปรากฏในเอกสาร ทำขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ซึ่งปรัชญาในการลงทุนของเราเท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำจากกลุ่มบริษัทเอไอเอ  -  ข้อมูลที่อยู่ในเอกสารฉบับนี้ ไม่ควรใช้เป็นหลักเพื่อการตัดสินใจลงทุน เอกสาร/เอกสารประกอบการนำเสนอ ฉบับนี้ ไม่ใช่เอกสารงานวิจัยและไม่ได้จัดทำขึ้นตามกฎหมายเพื่อส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในการวิจัยเกี่ยวกับการลงทุน ข้อคิดเห็นและการกล่าวถึงหลักทรัพย์รายตัว เป็นไปเพื่อยกตัวอย่างประกอบการอธิบายเท่านั้น และไม่ได้เป็นตัวแทนของความเห็นจากทุกหน่วยงานในกลุ่มบริษัทเอไอเอ นอกจากนี้ บลจ.เอไอเอ ไม่รับรองหรือการรับประกันความน่าเชื่อถือ, ความถูกต้อง และความครบถ้วนของข้อมูลแต่อย่างใด ความคิดเห็น, การคาดคะเน, การประมาณการ และข้อมูลอื่น ๆ ในเอกสาร/เอกสารประกอบการนำเสนอ ฉบับนี้ เป็นของกลุ่มบริษัทเอไอเอ นับแต่วันที่ที่ลงในเอกสาร/เอกสารประกอบการนำเสนอฉบับนี้ และอาจถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กลุ่มบริษัท เอไอเอ อาจมีส่วนได้เสียในหลักทรัพย์หรือตราสารที่กล่าวถึงในเอกสาร/เอกสารประกอบการนำเสนอฉบับนี้ การคาดคะเนใดๆ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตหรือผลการดำเนินงานของประเทศ, ตลาด, หรือบริษัทต่าง ๆ ไม่ได้แสดงถึงหรืออาจแตกต่างจากเหตุการณ์หรือผลที่เกิดขึ้นจริง  -  ผลการดำเนินงานในอดีต และแนวโน้มหรือการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาดใด ๆ ไม่ได้แสดงถึงผลการดำเนินงานในอนาคตของแผนการหรือสินทรัพย์ที่ลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียเงินต้น  -  บลจ.เอไอเอ และกลุ่มบริษัทเอไอเอ ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่และพนักงานของบริษัท จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือสูญหายใด ๆ รวมถึงการสูญเสียผลกำไร ไม่ว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่เกิดขึ้นจากการใช้หรือการอ้างอิง ข้อมูลใด ๆ ที่ปรากฏในเอกสารฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากการประมาทเลินเล่อของของบลจ.เอไอเอหรือไม่ก็ตาม  -  ท่านสามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากที่ปรึกษาการลงทุนก่อนทำการตัดสินใจลงทุน รวมถึงพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบถึงรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับท่าน อาทิ ทักษะด้านการลงทุน เงินทุน รูปแบบการลงทุนทั้งหมด  -  ข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารฉบับนี้ จะต้องไม่ถูกเปิดเผย ใช้ หรือเผยแพร่ ไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน รวมถึงต้องไม่ถูกทำซ้ำ คัดลอก หรือทำให้บุคคลอื่นเข้าถึงข้อมูลได้    -  เอกสาร/เอกสารประกอบการนำเสนอ ฉบับนี้ อาจจะถูกใช้ และ/หรือ รับมอบ ทั้งนี้เป็นไปตามกฎหมายที่ใช้บังคับในเขตอำนาจตามกฎหมายของประเทศของท่าน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

มีประกันสุขภาพอยู่แล้ว ควรมีประกันโรคร้ายแรงหรือไม่

10/04/2024

บทความโดย “วริศา มณีธวัช” ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTMผู้จัดการหน่วย ศุภชนม์ 9B11A บมจ.กรุงไทยแอกซ่า ประกันชีวิตบางคนอาจคิดว่า ก็ประกันสุขภาพคุ้มครองโรคทุกโรค รวมทั้งโรคร้ายอยู่แล้ว (บางแผนคุ้มครองค่ารักษาหลักสิบล้าน) ก็น่าจะเพียงพอ ทำไมถึงต้องมีประกันโรคร้ายแยกออกมา“เพราะโรคร้ายแรง ไม่เหมือนโรคธรรมดาทั่วไป”สำหรับโรคทั่วไป มักใช้เวลารักษาไม่นาน 3-7 วัน หายแล้วกลับไปทำงาน หารายได้ได้เหมือนเดิม หรือต่อให้เป็นการเจ็บป่วยครั้งใหญ่ถึงขั้นผ่าตัด ก็พักฟื้นให้แผลหายดี สามารถกลับไปทำงานต่อได้เหมือนเดิม เป็นการสูญเสียรายได้เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวแต่โรคร้ายแรง ไม่ใช่แบบนั้น เพราะต้องใช้ระยะเวลารักษานานเกิน 6 เดือน หรือบางโรคอาจเป็นปี หรือหลายปี บางโรครักษาไปจนตลอดชีวิตคิดง่าย ๆ หากต้องหยุดทำงานไปเฉย ๆ 1 ปีเต็ม โดยไม่มีรายได้ตัวเองหรือคนในครอบครัว จะได้รับผลกระทบแค่ไหน ในขณะที่ค่าใช้จ่าย ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ค่าเทอมลูกยังอยู่ครบนอกจากนั้น เมื่อเป็นโรคร้ายแรงก็ต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาล ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่ารักษาในโรงพยาบาล และตอนกลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน หลายคนบอกว่าเมื่อมีประกันสุขภาพก็ดูแลค่ารักษาอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่ายังมีค่าใช้จ่ายแฝงจากการเป็นโรคร้ายเช่น ค่าจ้างคนดูแล ค่ารถเข็น ค่าเดินทางไปโรงพยาบาล ค่าอาหารทางการแพทย์เฉพาะโรค เป็นต้น แม้จะกลับมาอยู่ที่บ้านก็ยังมีใช้จ่ายสูงมากเช่นกัน โดยเฉพาะค่าจ้างคนดูแล และอาหารทางการแพทย์ (อาจสูงถึง 40,000 บาทต่อเดือน) เช่น กรณีโรคมะเร็งที่อาจรีโนเวทบ้านใหม่ เพราะคนป่วยเดินขึ้นชั้นสองไม่ไหว ก็เสียค่าใช้จ่ายหลักแสนบาทข้อแตกต่าง คือ ประกันสุขภาพ จะจ่ายสินไหมตามบิลค่ารักษาในโรงพยาบาล ซึ่งค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยโรคร้ายแรงหลายรายการไม่ได้มีบิลการรักษาในโรงพยาบาลให้เบิก แต่ประกันโรคร้าย จ่ายสินไหมให้มาเป็น “เงินก้อน” ตามวงเงินที่ได้ซื้อประกันไว้ สามารถเอามาบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ให้สอดคล้องกับการรักษาจริง ช่วยไม่ให้คุณภาพชีวิตแย่ลงอย่างเฉียบพลัน จนตั้งรับไม่ทันแม้จะมีประกันสุขภาพแล้ว อย่าลืมมองหาแผนประกันโรคร้ายแรงที่เหมาะสมกับความต้องการติดตัวเอาไว้ จะทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความสบายใจมากขึ้นเป็นการวางแผนการจัดการความเสี่ยงอย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หากสุดท้ายเกิดเหตุก็จะไม่เป็นภาระของคนที่เรารักในอนาคตแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1538949

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

Art Toy คืออะไร ทำไมจากของเล่นสู่ของสะสมยอดนิยมได้

29/04/2024

วันนี้ เราจะมาพูดถึงหนึ่งในของสะสมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากถูกผลิตในจำนวนจำกัด และมักจะไม่ถูกผลิตซ้ำ ราคาของมันบางชิ้นสูงถึงหลักแสน! ซึ่งชื่อของมันก็คือ “Art Toy” นั่นเองถ้าอยากรู้กันแล้วว่า Art Toy คืออะไร มีที่มายังไง และทำไมมันถึงได้รับความนิยมขนาดนั้น ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูพร้อมกันเลย!Art Toy ของเล่นที่เหมือนงานศิลปะก่อนอื่น เราจะอธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า Art Toy คืออะไร Art Toy หรือที่ฝั่งตะวันตกจะเรียกว่า Designer Toy คือของเล่นในรูปแบบศิลปะ ที่ออกแบบโดยศิลปิน มักถูกผลิตในจำนวนจำกัดเนื่องจากศิลปินเป็นผู้ผลิตเอง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ Art Toy บางชิ้นมีราคาสูงถึงหนึ่งแสนบาท นั่นก็เพราะจำนวนที่จำกัด และถูกออกแบบโดยศิลปินนั่นเองArt Toy สามารถสร้างได้จากหลายวัสดุ ไม่ว่าจะเป็น ไม้ เหล็ก เรซิน แต่ที่ได้รับความนิยมที่สุดจะเป็น พลาสติกและไวนิล หรือแม้แต่กาวลาเท็กซ์หรือผ้ากำมะหยี่ก็สามารถนำมาใช้สร้างผลงานได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งในบางครั้งอาจนำตุ๊กตาต่าง ๆ มาใช้ในการตัดเย็บอีกด้วย โดยส่วนใหญ่แล้ว Art Toy มักมีการผสมผสาน Pop Culture หรือค่านิยมของผู้คนเข้าไปด้วยเพื่อให้เข้าถึงผู้ชมได้ง่าย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ Art Toy ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างจากของเล่นทั่วไปอีกต่างหากนั่นเพราะ Art Toy ที่ออกแบบ และ ผลิตขึ้นมาส่วนใหญ่จะไม่มีเนื้อเรื่องมารองรับ ต่างจากฟิกเกอร์หรือโมเดลทั่วไปที่มักจะผลิตมาจากต้นแบบในการ์ตูน เกม หรือจากภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง อีกทั้งดังที่บอกไว้ว่า Art Toy มักจะถูกผลิตในจำนวนจำกัดโดยทั่วไป Art Toy จะถูกผลิต 10–100 ตัวเท่านั้น และจะไม่เกิน 1,000 ตัว เพราะหากมีการผลิตที่มากเกินไป คุณค่าของความ “หายาก” และ “จำกัด” จะถูกลดลงในทันที ซึ่งคุณค่าของสินค้าที่มีจำนวนจำกัดคือหัวใจสำคัญของ Art Toyนอกจากนี้ มูลค่าของ Art Toy มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต หากเป็นผลงานของศิลปินชื่อดังหรือมีความต้องการในตลาดเพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง เรียกได้ว่ามันคือ “สินทรัพย์” ประเภทของสะสมได้เลยทีเดียวเอาล่ะ.. หลังจากรู้จักเจ้า Art Toy กันคร่าว ๆ แล้ว ต่อไปเราจะพูดถึงที่มาของมันประวัติของ Art Toyย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2538 ศิลปินชาวฮ่องกง “เรย์มอนด์ ชอย” (Raymond Choy) ได้สร้างสรรค์ชุดผลงานอันมีชื่อเสียงอย่าง Qee ขึ้น โดยของเล่นสะสมดังกล่าวมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีศีรษะเป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ เช่น หมี แมว กระต่าย และลิง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของ Art Toyและอีกราว 4 ปีต่อมา Art Toy ได้กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากผลงานของ “ไมเคิล หลิว” (Michael Lau) ผู้จัดแสดงชุดผลงาน Gardeners ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ จี.ไอ.โจ แต่ดัดแปลงคาแรกเตอร์ให้สะดุดตาขึ้นด้วยลายสัก การเจาะหูและการถือสเกตบอร์ด ซึ่งการผสมผสาน Pop Calture กับไลฟ์สไตล์แนวสตรีทครั้งนี้จึงทำให้ผู้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้นนอกจากนี้ยังมีบริษัทระดับโลกฝั่งอเมริกา อย่าง Kidrobot ที่เปิดตัว “Dunny Series” และบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น Medicom Toys ที่สร้างสรรค์ Bearbrick หรือเจ้าหมีแบร์บริกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยเป็นส่วนผสมของศิลปะและของเล่นจุดนี้เองที่ทำให้เกิด Art Toy Culture และแรงกระเพื่อมทางการค้า แถมพิพิธภัณฑ์และแกลอรีทั่วโลกก็หันมาให้ความสนใจและจัดแสดง Art Toy อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง กระทั่งมีการนิยามว่า Art Toy คือ การแสดงออกทางศิลปะรูปแบบใหม่ และได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานหลังจากรู้จัก Art Toy และประวัติของมันเรียบร้อยแล้ว เราจะมาเจาะลึกความนิยมของ Art Toy และการสะสมเพื่อเก็งกำไรกัน!เจาะลึกความนิยมและการเก็งกำไรของ Art Toyดังที่เกริ่นเอาไว้ก่อนหน้านี้ ว่า Art Toy ถูกผลิตออกมาจำนวนจำกัด และถูกออกแบบโดยศิลปินทำให้มีราคาที่สูง แต่นอกเหนือจากนั้น ก็ยังมีสาเหตุที่ทำให้เจ้า Art Toy ได้รับความนิยมอยู่อีก ดังนี้Art Toy มีรูปแบบที่แปลกใหม่และไร้ขีดจำกัด นั่นเพราะศิลปินแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ในผลงานของตน อาจเกิดการผสมผสานของเล่นสะสมกับภาพยนตร์หรือการ์ตูนชื่อดัง หรือการจับมือร่วมกันระหว่างแบรนด์สินค้ากับบริษัทผลิตของเล่นสะสม จึงทำให้นักสะสมต่างก็ต้องการครอบครอง Art Toyเทคโนโลยีที่แฝงใน Art Toyโดยบริษัทผู้ผลิต Art Toy ได้ฝังเทคโนโลยีที่น่าสนใจเข้าไปเพื่อให้นักสะสมได้รับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การนำโค้ดลับใส่ในกล่องสุ่ม เมื่อผู้ซื้อสแกนโค้ดจะได้สัมผัสกับคอนเทนต์ออนไลน์สุดพิเศษความลุ้นระทึกในการสุ่ม! อีกหนึ่งความน่าสนใจคือ ผู้เปิดจะไม่สามารถรู้ได้ว่ามีตัวอะไรอยู่ในกล่อง นั่นจึงถือเป็นความตื่นเต้น และเป็นเสน่ห์อีกอย่างของ Art Toy อาจเป็นตัวพิเศษที่มีโอกาสพบเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ หรือตัวธรรมดาก็ได้ ด้วยความเซอร์ไพรส์นี้เองผู้คนจึงชื่นชอบการเสี่ยงดวง และยิ่งอยากท้าทายเก็บตัวละครให้ครบทั้งคอลเลกชันนอกจากนี้ Art Toy ยังสามารถทำกำไรได้ โดยในหลาย ๆ ครั้ง ผู้ซื้อ Art Toy ก็ไม่ใช่แฟนคลับ หรือผู้ที่สนใจในตัวศิลปิน แต่จะมองเห็นว่าตลาดต้องการ Art Toys รูปแบบไหน ซึ่งผู้ซื้อประเภทนี้คือหนึ่งในกลไกสำคัญที่ทำให้ราคา Art Toys ขยับขึ้นไปข้างหน้า และยังช่วยสร้างชื่อให้ศิลปินบางคนอีกด้วยหรือบางครั้ง ต่อให้ไม่ทำอะไร แค่สะสมไว้เฉย ๆ แต่บังเอิญตัวที่เราสะสมเป็นตัวหายาก ราคาก็อาจจะพุ่งโดยไม่รู้ตัวก็ได้! นั่นจึงทำให้หลายคนสนใจที่จะซื้อ Art Toy มาเก็บไว้ และหวังว่ามันจะขึ้นราคาในสักวันกระแสของมันมาแรง จนในประเทศไทยไม่เพียงแต่จะมีผู้ซื้อเพื่อสะสม แต่ยังมีผู้ที่ออกแบบ Art Toy ด้วยตัวเองอีกด้วยArt Toy ในประเทศไทยจากกระแสที่มาแรงจนหยุดไม่อยู่ ทำให้มีคนไทยหลายคนเลือกจะเป็นผู้สร้างด้วยตัวเอง จนทำให้มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วโลก และตัวผลงานก็ได้รับการยอมรับอย่างล้นหลาม จะมีใครกันบ้าง เราไปดูพร้อมกันเลย“นิศา ศรีคำดี” ผู้สร้างสรรค์ Art Toy เด็กหญิงหน้าเปื้อนน้ำตาสำหรับศิลปินไทยคนแรก คือผู้ที่สร้าง Art Toy เด็กหญิงเปื้อนน้ำตา เพื่อสื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่มักจะแสดงด้านสดใสของตนมากกว่าจะร้องไห้อ่อนแอให้ใครเห็น แต่ในความเป็นจริงการร้องไห้ออกมาช่วยระบายความทุกข์ในใจได้ไม่น้อย โดยผลงานชุดดังกล่าวขายหมดเกลี้ยงในพริบตา เนื่องจากดังไกลไปทั่วโลก ทั้งยังเคยจัดนิทรรศการ Cry me a river ที่ผู้คนจำนวนมหาศาลพากันมาชม “Alex Face” ชาวไทยผู้สร้างชื่อเสียงก้องไกลทั่วโลกกับเจ้ามาร์ดีสำหรับบุคคลถัดมา คือชาวไทยผู้สร้างชื่อเสียงก้องไกลทั่วโลกกับเจ้ามาร์ดี กระต่าย 3 ตา หน้าสุดเก๋ แถมยังเคยร่วมออกแบบกับสตูดิโอแนวหน้าอย่าง Mighty Jaxx อีกด้วย “พงศธร ธรรมวัฒนะ” เจ้าของธุรกิจ JP Toys และโปรเจกต์ JPXสำหรับคนถัดมา เขาคือเจ้าของธุรกิจ JP Toys และโปรเจกต์ JPX ที่เริ่มต้นมาจากการสะสมของเล่น ก่อนที่จะต่อยอดจนกลายเป็นธุรกิจ เขาได้เปิดร้านขายของเล่นที่ชื่อ “Play House” ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีเหล่านี้ล้วนเป็นชาวไทยที่ทำผลงานเป็นที่ประจักษ์และทำให้ได้รับการยอมรับจากต่างชาติเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกเหนือจากที่ยกตัวอย่างมา ก็มีคนไทยอีกหลายคนที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยด้วย Art Toy ได้สรุปส่งท้ายก็จบลงไปแล้วกับเรื่องราวของ Art Toy ของสะสมยอดฮิตในปัจจุบัน ซึ่งการที่ Art Toy ได้รับความนิยมขึ้นมา ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่าในปัจจุบันของสะสมเปิดกว้างเป็นอย่างมาก แม้แต่ของเล่นก็สามารถกลายเป็นของสะสม อีกทั้งของเล่นที่หลายคนอาจจะมองว่าไร้สาระ ยังสามารถสร้างรายได้ และสร้างชื่อเสียงให้กับชาวไทยได้อีกด้วยนอกจากนี้ใคร ๆ ก็สามารถสะสมได้ เพราะเจ้า Art Toy มีให้เลือกตั้งแต่หลัก 100 ไปจนถึงราคาสูงที่สุดอย่างหลัก 100,000 เรียกได้ว่าใครที่จะซื้อเพื่อสะสมก็ทำได้ หรือจะเก็งกำไรไว้ขายในอนาคตก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียวสุดท้ายนี้ เราก็อยากจะส่งท้ายไปด้วยคำพูดที่ว่า “ของทุกสิ่งล้วนมีคุณค่า ขอแค่อยู่ถูกที่และถูกเวลา สิ่งนั้นก็จะมีค่าขึ้นมาเอง” เหมือนกับเจ้า Art Toy เหล่านี้นี่เองแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/women/241029/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ไกด์ร่วมโต๊ะอาหารกับนักท่องเที่ยวได้ไหม มารยาทและการวางตัวของมัคคุเทศก์มีอะไรบ้าง

09/04/2024

หลายคนยังไม่ทราบว่าไกด์ร่วมโต๊ะอาหารกับนักท่องเที่ยวได้ไหม มารยาทและการวางตัวของมัคคุเทศก์ มีอะไรบ้างคำตอบจาก คู่มืออบรมมัคคุเทศก์ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งนอกจากระบุรายละเอียดถึงด้านวิชาชีพที่ต้องมีความรู้ความสามารถในการบรรยายให้ข้อมูลอย่างถูกต้องสถานที่นั้น ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวแล้ว ยังระบุถึงจรรยาบรรณทางวิชาชีพรวมถึง มารยาทและการวางตัวของมัคคุเทศก์ ไว้อย่างละเอียด ดังนี้ มารยาทและการวางตัวของมัคคุเทศก์มารยาทและการวางตัวของมัคคุเทศก์ก็ หมายถึง คุณสมบัติอันตีดีงามที่มัคคุเทศก์ก็ควรประพฤติและปฏิบัติดังนี้1. สิ่งที่มัคคุเทศก์ก็พึงปฏิบัติ ได้แก่  •  รักษากิริยามารยาทที่ดีของคนไทย หรือผสมผสานระหว่างมารยาทไทยกับต่างประเทศ แต่เน้นเอกลักษณ์ของไทย เพื่อให้นักท่องเที่ยวประทับใจ  •  รู้จักการขอโทษ ขอบคุณ พูดจาสุภาพเรียบร้อย อ่อนโยน  •  มีความยิ้มแย้มแจ่มใส รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ดูว่านักท่องเที่ยวพร้อมจะรับฟังหรือยัง ก่อนการอธิบาย  •  ให้ความสนใจ ดูแลเด็ก คนชรา คนพิการอย่างใกล้ชิด พูดกับทั้งกลุ่มไม่อธิบายเฉพาะกับนักท่องเที่ยวบางคนเท่านั้น  •  ควรตามใจให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสถ่ายรูปบ้าง  •  ควรพูดเรื่องตลกบ้าง แต่ถ้าไม่สนุก และไม่แน่ใจก็ไม่ควรพูด  •  ควรมีสันทนาการในช่วงการเดินทาง เช่น ร้องเพลง แต่ไม่ควรร้องมากหรือบ่อยเกินไป ควรให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมด้วย และไม่ปล่อยให้เงียบตลอดเวลา  •  ควรจำชื่อนักท่องเที่ยวแต่ละคนให้ได้ เป็นวิธีสร้างความประทับใจที่ดีที่สุด2. สิ่งที่มัคคุเทศก์ก็ไม่พึงปฏิบัติ  •  ไม่ตะโกน หรือตบมือเรียกนักท่องเที่ยวให้มาหาด้วยอาการไม่สุภาพ  •  ไม่พูดจาดุดัน เมื่อนักท่องเที่ยวมาช้า  •  ไม่ทำตัวเป็นครู และอย่าโกรธเมื่อไม่มีใครซักถาม  •  ไม่เยาะเย้ยคนที่ถามคำถามง่ายๆ  •  ไม่ดื่มหรือรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับนักท่องเที่ยว  •  ไม่ควรถ่ายรูปตัวเองมากเกินไป  •  ไม่แต่งตัวหรูกว่านักท่องเที่ยว หรือมอชอเกินไป  •  ไม่ทำตัวเสมอกับนักท่องเที่ยว และไม่ยกตนข่มท่าน  •  ไม่สนิทสนมกับนักท่องเที่ยวจนเกินสมควร โดย เฉพาะในด้านชู้สาว  •  ไม่เล่าเรื่องส่อเสียดนักท่องเที่ยวในกลุ่มที่มีนักท่องเที่ยวหลายๆ ชาติรวมกัน  •  ไม่วิจารณ์เรื่องการเมือง ศาสนา วัฒนธรรม  •  ไม่สร้างเรื่อง หรือแต่งเรื่องขึ้นเอง เพื่อตอบคำถามนักท่องเที่ยว ถ้าไม่ทราบควรขอโทษ และไปค้นคว้ามาตอบในภายหลังขอขอบคุณข้อมูล :การท่องเที่ยวแห่งแชประเทศไทยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447415/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ทำไม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงไม่ซื้อ ทองคำ ?

06/04/2024

โดย ลงทุนแมน ในช่วงนี้ ราคาทองคำ ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ - ทองคำแท่ง ราคาขายบาทละ 39,700 บาท - ทองรูปพรรณ ราคาขายบาทละ 40,200 บาท - ทองคำตลาดโลก 2,284 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ถึงแม้ทองคำจะมีราคาเท่าไรก็ตาม ก็น่าจะมีนักลงทุนคนหนึ่งที่ไม่อยากซื้อมันอยู่ดี โดยนักลงทุนคนนั้นก็คือ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนชื่อดังของโลก ที่เคยพูดเอาไว้ว่า “ทองคำไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนั่งมองคุณ” ทำไม วอร์เรน บัฟเฟตต์ กลับมีมุมมอง ที่ไม่ชอบลงทุนในทองคำ ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ปกติแล้ว ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจหรือสถานการณ์โลก มีความไม่แน่นอนสูง สินทรัพย์อย่าง ทองคำ มักจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่หลายคนเลือกลงทุน ทองคำถือเป็นอีกหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัย หรือที่เรียกกันว่า Safe Haven ที่เชื่อกันว่าสามารถรักษาความมั่งคั่งได้ โดยที่มูลค่าจะไม่เสื่อมไปตามกาลเวลา ทำให้นักลงทุนมีการแบ่งเงินบางส่วนเลือกไปลงทุน ปัจจุบันวิวัฒนาการการลงทุนในทองคำ ก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ทำให้ทางเลือกของการลงทุนในทองคำ มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น - ทองคำแท่ง - กองทุนรวมทองคำ - กองทุนรวมอีทีเอฟทองคำ (Gold ETFs) - สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์ กลับไม่ชอบการลงทุนในทองคำ โดยเขาเคยพูดถึงทองคำไว้ว่า “ทองคำไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนั่งมองคุณ” ก็ต้องบอกว่า หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่สำคัญ สำหรับการลงทุนของบัฟเฟตต์ คือ การลงทุนในสิ่งที่สามารถสร้างประโยชน์ และตอบสนองต่อความต้องการของผู้คนได้จริง ซึ่งในมุมมองของบัฟเฟตต์นั้น ทองคำไม่ได้สร้างผลตอบแทน ในระหว่างที่ถือครอง ต่างจากหุ้นที่ยังมีธุรกิจ คอยสร้างสินค้าหรือบริการ สามารถสร้างกระแสเงินสด และจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งการลงทุนในกิจการที่ดี สุดท้ายแล้วก็ทำให้มูลค่ากิจการสูงขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้น จากกำไรของกิจการที่มากขึ้น ขณะที่การลงทุนในทองคำ เป็นการเก็งกำไรจากส่วนต่างราคา ซึ่งราคาจะขึ้นสูงได้นั้น เกิดจากการที่มีคนยอมจ่ายในราคาแพงกว่าเท่านั้นเอง อีกทั้งทองคำยังสร้างผลผลิตได้น้อยมาก ส่วนใหญ่มักจะถูกนำไปทำเป็นเครื่องประดับ ไม่ได้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมอะไรมากนัก ซึ่งแนวคิดนี้ก็คล้ายกับการที่บัฟเฟตต์กล่าวไว้ว่า ไม่มีความคิดที่จะซื้อบิตคอยน์ เพราะบิตคอยน์ไม่ได้ผลิตอะไรขึ้นมาได้ เหมือนกิจการ และทั้งหมดนี้ก็คือมุมมองของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่มีต่อทองคำ ที่แม้ทองคำจะมีราคาเท่าไรก็ตาม เขาก็คงไม่อยากซื้อมันอยู่ดี.. ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หากเราลงทุนในดัชนี S&P 500 ผลตอบแทนจะอยู่ที่ 181% ขณะที่ผลตอบแทนของทองคำอยู่ที่ 76%.. แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับลงทุนแมนhttps://www.longtunman.com/50120

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จปี 2566 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์รักษาอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและสุขภาพของไทย

29/04/2024

กรุงเทพฯ 5 เมษายน 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำด้านธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ จัดงาน “A Conversation with CEO” โดยนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ที่สูงเป็นอันดับ 1 ในทุกมาตรวัด(1)และมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่เติบโตขึ้นถึงร้อยละ 21 ทำลายสถิติผลการดำเนินงานที่ผ่านมากว่า 8 ทศวรรษ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงและความแข็งแกร่งของเอไอเอ ประเทศไทย นอกจากนี้ นายนิคฮิลยังได้บอกเล่าทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของเอไอเอ ประเทศไทย ในปี 2567 เพื่อเป้าหมายในการยกระดับการดูแลคนไทยให้ครอบคลุมครบทุกมิติ ทั้งมิติด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ รวมถึงสุขภาพการเงิน สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย เติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา โดยสามารถสร้างสถิติใหม่ด้วยการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 21 เป็น 24,857 ล้านบาท จากความสามารถของพลังตัวแทนและช่องทางพันธมิตร นอกจากนี้ เรายังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและสุขภาพ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด (Market Share)(1) ที่สูงที่สุดในทุกมิติ ได้แก่   •  ร้อยละ 24 เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่(2)(ANP)    •  ร้อยละ 50 ยอดขายสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ   •  ร้อยละ 57 ยอดขายสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง    •  ร้อยละ 59 ยอดขายประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์)    •  ร้อยละ 22 ยอดขายประกันกลุ่ม “ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้เอไอเอ ประเทศไทย เติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2566 มาจากการที่เรามีบุคลากรที่มีคุณภาพซึ่งทำให้เอไอเอแตกต่างจากคู่แข่ง ตลอดจนรูปแบบการทำงานที่เน้น Agility เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ช่องทางการขายที่แข็งแกร่งทั้งช่องทางพลังตัวแทนและช่องทางพันธมิตร โดยเอไอเอเป็นอันดับ 1 ในตลาด(1) ทั้งในแง่จำนวนตัวแทนที่มีมากกว่า 50,000 คนทั่วประเทศ รวมถึงจำนวนตัวแทนที่ได้รับคุณวุฒิ MDRT มากที่สุดนับตั้งแต่เอไอเอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพของพลังตัวแทนเอไอเอ และความสำเร็จของการสร้าง AIA Financial Advisor (AIA FA) ที่เพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 28 สำหรับช่องทางพันธมิตร เอไอเอ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ในการสร้างสรรค์และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น นอกเหนือจากนั้น เอไอเอ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนากระบวนการดำเนินงานเพื่อส่งมอบการบริการที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้า ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในขั้นตอนการพิจารณากรมธรรม์แบบอัตโนมัติ (STP) ในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 87 เพิ่มศักยภาพในการอนุมัติกรมธรรม์ประกันชีวิตรายเดี่ยวได้มากถึง 1,500 กรมธรรม์ต่อวัน และพิจารณาเคลมได้สูงสุดถึง 9,000 เคสต่อวัน การลงทุนอย่างจริงจังในการพัฒนาบริการดิจิทัลและแอปพลิเคชันเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าและตัวแทนผ่านแอป AIA+ และ AIA ONE เป็นอีกปัจจัยหลักที่ทำให้เราก้าวทันยุคดิจิทัลและสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมแบบไร้รอยต่อได้อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายคือการดำเนินธุรกิจอย่างมีวินัยเพื่อมุ่งนำเสนอความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพระยะยาวที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมทั้งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนกลยุทธ์ ABCDEF เป็นกลยุทธ์ที่เอไอเอมุ่งเน้นเพื่อยกระดับการดูแลและการบริการลูกค้า พร้อมกับการรักษาอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย  •  A – Agency Transformation การพัฒนาช่องทางตัวแทนประกันชีวิตให้ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผลักดันการทำงานและการให้บริการลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า พร้อมยกระดับการสรรหาตัวแทนที่มีคุณภาพ และมุ่งพัฒนาตัวแทนใหม่อย่างต่อเนื่อง  •  B – Business Partner Acceleration การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของช่องทางพันธมิตร โดยเอไอเอมุ่งเสริมความแกร่งของช่องทางขายผ่านพันธมิตรที่มีอยู่เดิม พร้อมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า  •  C – Customer Centricity การมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเปลี่ยนบทบาทจากเป็นเพียงผู้จ่ายเคลม (Payor) เป็นพาร์ตเนอร์ (Partner) ที่พร้อมดูแลลูกค้าในทุก ๆ วัน   •  D – Digitalisation Journey การวางเส้นทางไปสู่ยุคดิจิทัลเพื่อตอกย้ำการเป็น Digital Insurer แห่งแรกของประเทศไทย โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัลเพื่อเสริมการบริการให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นผ่าน All-in-one Application สำหรับลูกค้าและตัวแทน  •  E – Employee Wellbeing ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน โดยเอไอเอให้ความสำคัญกับการสร้างความเท่าเทียมในที่ทำงาน และเปิดโอกาสให้พนักงานได้เสนอความคิดเห็น เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน  •  F – Future Healthcare การดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพและยั่งยืนเพื่อคนไทย ด้วยการนำเสนอโซลูชันด้านการดูแลและรักษาสุขภาพที่ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมส่งเสริมให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน ตลอดจนได้รับความคุ้มครองด้านสุขภาพที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล“เอไอเอ มุ่งมั่นเดินตามพันธกิจที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจากการที่ปัจจุบันเรามองเห็นแนวโน้มที่คนจะมีอายุขัยยืนยาวขึ้นเรื่อย ๆ และมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ถึงอายุ 100 ปี เนื่องด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ แต่ในขณะที่อายุสุขภาพกลับไม่ยืนยาวสอดคล้องไปตามอายุขัย ฉะนั้นในช่วงบั้นปลายชีวิตของหลาย ๆ คนอาจตกอยู่ในภาวะที่เงินเก็บไม่เพียงพอสำหรับใช้ในการรักษาตัวเองหากเจ็บป่วย ด้วยเหตุนี้ เอไอเอจึงได้พัฒนาโซลูชันด้านสุขภาพให้สามารถดูแลคนไทยได้ครอบคลุมและคุ้มครองยาวนานขึ้นถึงอายุ 99 ปี(3) รวมทั้งได้ออกแคมเปญ Living to 100 ที่เราตั้งใจผลักดันให้คนไทยเตรียมวางแผนสุขภาพและการเงิน เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น “เอไอเอ ยังคงเดินหน้าดูแลคนไทยในฐานะผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีนวัตกรรมและตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง เพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้แก่คนไทยทุกคน” นายนิคฮิล กล่าวทิ้งท้ายที่มา: (1) ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย ณ เดือนธันวาคม 2566 (2) เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่: เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (FYP) + 10% เบี้ยประกันภัยรับชำระครั้งเดียว (SP) (3) ความคุ้มครองเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ 4 ห้องจัดแสดงใหม่ เทคนิคใหม่ พอเพียง ประหยัด เรียบง่าย

29/04/2024

นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ปรับปรุงส่วนจัดแสดงและจัดสร้างห้องนิทรรศการใหม่ จำนวน 4 ห้อง ได้แก่ อุโมงค์เวลา ห้องลือระบิลพระราชพิธี ห้องดวงใจปวงประชา (รัชกาลที่ 8 - 9) และห้องนิทรรศการรัชกาลที่ 10 นำเสนอด้วยเทคนิคทันสมัยสืบเนื่องจากการเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีขึ้นระหว่างวันที่ 4–6 พฤษภาคม พ.ศ.2562 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญและมีความหมายที่สุดของปวงชนชาวไทยนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้และแหล่งรวบรวมข้อมูลเรื่องประวัติศาสตร์ ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่เริ่มสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ นำเสนอผ่านเทคโนโลยีทันสมัยหลากหลายรูปแบบ จึงร่วมเทิดพระเกียรติและบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญดังกล่าวปัทมนิธิ เสนาณรงค์ อธิบายห้องนิทรรศการรัชกาลที่ 10“โดยรวบรวมเนื้อหาพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ของ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดแสดงด้วยหลักการพอเพียง ประหยัด และเรียบง่ายตามพระราชจริยวัตร ผสมผสานกับเทคนิคการนำเสนอที่แปลกใหม่ จากพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานพระราชดำริและพระราชกรณียกิจเพื่อปวงชนชาวไทยอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด” ปัทมนิธิ เสนาณรงค์ หัวหน้าฝ่ายบริหาร นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ กล่าวเพื่อการนี้ ‘นิทรรศน์รัตนโกสินทร์’ ดำเนินการจัดทำและเปิดส่วนจัดแสดงและห้องนิทรรศการใหม่ จำนวน 4 ห้อง ได้แก่1. อุโมงค์เวลาเริ่มทางเข้าอุโมงค์เวลาส่วนจัดแสดงจุดเริ่มต้นก่อนเข้าชมห้องจัดแสดงนิทรรศการ มีลักษณะเป็นโถงทางเดิน ผนังทั้งสองด้านของโถงทางเดินจัดแสดงภาพวาดและภาพถ่ายบอกเล่าประวัติศาสตร์ชาติไทยกับประวัติศาสตร์โลกในช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอุโมงค์เวลาเริ่มตั้งแต่เมื่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสวยราชสมบัติเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ (รัชกาลที่ 1) โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระนครขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2325 จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นใหม่ สร้างวัดพระแก้ว และฟื้นฟูความเจริญทุกด้าน เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้คืนมาดังเดิมเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีคนแรกชื่อ จอร์จ วอชิงตัน ผู้นำทางทหารที่เก่งกล้าสามารถจนประกาศเอกราชจากอังกฤษ และสถาปนาสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นประเทศหนึ่งในทวีปอเมริกาเมื่อปีพ.ศ.2326 หรือหนึ่งปีให้หลังจากการสร้างกรุงเทพฯมีเรื่องราวน่าสนใจในลักษณะดังกล่าวตามลำดับพุทธศักราช โดยมีส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือการนำเสนอ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และเรื่องการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้วยเทคนิค Hollow Display จัดแสดง แบบจำลองรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานให้กระทรวงสาธารณสุข2. ห้องลือระบิลพระราชพิธีเทคนิค Slide Screenจัดแสดงพระราชพิธีสำคัญและหาชมได้ยากตั้งแต่รัชกาลที่ 1 อาทิ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งหลัง รัชกาลที่ 5 พ.ศ.2416, พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 7 พ.ศ.2468, พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี พ.ศ.2475พร้อมเพิ่มเนื้อหาจัดแสดงพระราชพิธีเนื่องใน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว อาทิ พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาความพิเศษของการจัดแสดงภายในห้องนี้คือการใช้ เทคนิค Slide Screen โดยเมื่อเคลื่อนจอซึ่งติดตั้งไว้หน้านิทรรศการภาพนิ่งไปยังจุดที่ได้กำหนดไว้ จะเกิดภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอจริงที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธีนั้นๆ ให้ได้รับชม ราวได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธี3. ห้องดวงใจปวงประชาการจัดแสดงใน "ห้องดวงใจปวงประชา"จัดแสดงพระราชประวัติของ รัชกาลที่ 8 และ รัชกาลที่ 9 แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 3 ส่วนย่อย คือ(1) ต้นโพธิ์แห่งแผ่นดินจัดแสดงพระราชประวัติรัชกาลที่ 9 จำนวน 9 ช่วงเวลา ด้วยเทคนิค Soft touch Interactive ที่เมื่อผู้เข้าชมสัมผัสข้อความในนิทรรศการ จะปรากฏภาพเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพระราชประวัติช่วงนั้นๆห้องดวงใจปวงประชา วีดิทัศน์บนจอโค้ง(2) ใต้พระบรมโพธิสมภารนำเสนอพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยจัดแสดงบนจอโค้ง ใช้ซอฟต์แวร์ Dataton Watchout ควบคุมการแสดงวิดีโอหลายจอ เพื่อสร้างจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่ไร้รอยต่อ พร้อมแถวที่นั่งสำหรับชมราวอยู่ในโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กเล่าเรื่องด้วยภาพพระบรมฉายาลักษณ์และวีดิทัศน์ประวัติราชสกุลมหิดล การอบรมเลี้ยงดูพระราชโอรสพระราชธิดาตั้งแต่วัยเยาว์ พระราชจริยวัตร ความรักความผูกพันสองพี่น้องระหว่าง รัชกาลที่ 8 และ รัชกาลที่ 9 พระราชดำริในการครองพระองค์ การประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกร ฯลฯ พร้อมเสียงดนตรีบรรเลงและเสียงบรรยายประกอบในบางจังหวะห้องดวงใจปวงประชาปกติจอในโรงภาพยนตร์ตั้งเผชิญหน้ากับผู้ชม แต่จอภาพใน “ห้องดวงใจปวงประชา” มีลักษณะโค้งเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว มีภาพปรากฏทั้งด้านขวาและซ้ายมือของผู้ชมโดยเฉพาะช่วงแสดงพระราชกรณียกิจนับร้อยนับพันโครงการ ภาพและวีดิทัศน์ที่ทยอยหลั่งไหลมาจากปลายสุดด้านข้างของจอโค้งด้านหนึ่งไปยังอีกด้านนั้นเหมือนจะหมุนไปรอบห้อง ผู้นั่งชมราวได้รับการโอบกอดจากพระหัตถ์และน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์(3) ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์จัดแสดงบันทึกพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ‘รัชกาลที่ 9’ โดยออกแบบผนังห้องนิทรรศการเป็นเส้นทางจากโรงพยาบาลศิริราชสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อการประกอบพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพฯ การถวายอาลัยและไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปีตามคำประกาศของรัฐบาล จวบถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม 2560ส่วนจัดแสดงย่อยที่ (3) ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์เริ่มจากการเปิดวีดิทัศน์ย้อนเวลากลับไปในช่วงบ่ายของวันพฤหัสฯ ที่ 13 ตุลาคม 2559 เสียงและภาพ “โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย” รายงานประกาศสำนักพระราชวัง เรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคตวีดิทัศน์ฉายต่อด้วยหมายกำหนดการการเคลื่อนพระบรมศพไปประดิษฐาน ณ พระบรมมหาราชวัง ของวันที่ 14 ตุลาคม 2559ภาพบนผนังตลอดความยาวของส่วนจัดแสดงนี้ เขียนเป็นภาพลายเส้นพสกนิกรที่พากันออกมานั่งเฝ้าส่งเสด็จด้วยหัวใจที่แตกสลายตลอดสองฟากฝั่งถนนจากโรงพยาบาลศิริราชถึงพระบรมมหาราชวัง เขียนขึ้นจากภาพถ่ายจริงที่ได้รับการบันทึกไว้มากมายรวมข้อมูลขบวนพระบรมราชอิสริยยศฯบางช่วงบนผนังมีวีดิทัศน์สัมภาษณ์ความรู้สึกของประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศซึ่งเดินทางไปถวายความอาลัย ณ พระบรมมหาราชวัง รวมทั้งจอวีดิทัศน์แสดงสาสน์จากผู้นำประเทศต่างๆ ที่มีต่อข่าวการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 9บริเวณสุดท้ายของส่วนจัดแสดงนี้มีวีดิทัศน์แบบแตะสัมผัส บันทึก “ขบวนพระบรมราชอิสริยยศ” การถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ให้ได้ศึกษา จำนวน 6 ริ้วขบวนเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบพระเมรุมาศ รัชกาลที่ 9รวมทั้งวีดิทัศน์ให้เรียนรู้ ศาสตร์และศิลป์แห่งการออกแบบ “พระเมรุมาศ” ของในรัชกาลที่ 9 จำนวน 10 เรื่อง ผ่านกล่องไม้จำนวน 10 กล่อง แต่ละกล่องมีหัวเรื่องเขียนกำกับไว้อาทิ การออกแบบพระเมรุมาศ ประติมากรรมเทวดา ประติมากรรมบันไดนาค ประติมากรรมพระพิฆเนศ ประติมากรรมพระเมรุมาศ ประติมากรรมคุณทองแดง ประติมากรรมคชสาร ภาพจิตรกรรมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ และฉากบังเพลิงเมื่อนำกล่องไม้ที่มีหัวเรื่องที่ต้องการศึกษาไปวางยังจุดที่กำหนด ก็จะปรากฏเรื่องนั้นบนจอวีดิทัศน์ที่ติดตั้งอยู่บนผนัง4. ห้องนิทรรศการรัชกาลที่ 10การจัดแสดงในส่วน “สืบสาน” หน้าที่แห่งกษัตริย์ของชาติไทยถ่ายทอดเนื้อหา 3 ส่วน ตามพระปฐมบรมราชโองการที่ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศในวันบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 คือ(1) “สืบสาน” หน้าที่แห่งกษัตริย์ของชาติไทยนำเสนอพระราชประวัติผ่านภาพวาด จำนวน 10 เหตุการณ์ อาทิ พระบรมราชสมภพ, ภาพสถาปนาพระราชอิสริยยศขึ้นเป็นสยามมกุฎราชกุมารเมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษา 20 พรรษาบริบูรณ์ พ.ศ.2515, ภาพทรงผนวชเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2521 ณ วัดพระแก้วเทคโนโลยีจาก “ภาพวาด” สู่ “ภาพวีดิทัศน์”ภาพวาดทั้ง 10 เหตุการณ์ วาดโดย ปุณณภพ บุญเกตุ ศิลปินจิตรกรรมซึ่งมีผลงานการวาดพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 จัดแสดงในนิทรรศการสำคัญๆ หลายโอกาสแต่มิใช่เป็นการเดินชมภาพวาดเท่านั้น ทว่าเป็นการนำเสนอในลักษณะจาก “ภาพวาด” สู่ “ภาพวีดิทัศน์” ผู้เข้าชมนิทรรศการฯ เพียงยกแท็บเล็ตที่ติดตั้งไว้ตามจุดต่างๆ หน้าผนังภาพวาด ส่องไปยังภาพวาดที่มี “สัญลักษณ์อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์” ประดับอยู่ใกล้ๆหน้าจอแท็บเล็ตก็จะปรากฏคลิปวีดิโอเหตุการณ์จริงที่เกี่ยวเนื่องกับภาพวาดนั้นๆ ให้ชมดนตรีที่เปิดประกอบในพื้นที่ส่วนจัดแสดงบริเวณนี้เป็นเพลงบรรเลงชื่อ ลาวคำหอม บทเพลงทรงโปรดในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว(2) “รักษา” สุขแห่งประชาราษฎร์ให้คงอยู่นำเสนอพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ ในรูปแบบ Interactive Information และ Model Display ผู้ชมสามารถสัมผัสข้อความในนิทรรศการเพื่อชมคำอธิบายเพิ่มเติมได้ประกอบด้วยพระราชกรณียกิจด้านการเกษตร ศาสนา การต่างประเทศ การศึกษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การแพทย์และการสาธารณสุข ด้านสังคม ศิลปะและวัฒนธรรมเทคโนโลยี Immersive Theatre(3) “ต่อยอด” แผ่นดินไทยให้ยั่งยืนนำเสนอพระราชกรณียกิจผ่าน เทคโนโลยี Immersive Theatre โดยเปรียบ การทรงงานแบบปิดทองหลังพระ ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเสมือน ดวงดาวในม่านหมอกผู้ชมมีส่วนร่วมไปกับนิทรรศการได้โดยการใช้กล้องที่ออกแบบให้มีรูปทรงคล้ายตะเกียงส่องไฟของประภาคาร เมื่อส่องแสงไฟไปยังจอบนผนังห้องที่ออกแบบเหมือนท้องฟ้ายามค่ำที่มีหมอกบดบัง ก็จะปรากฏ ภาพการทรงงาน ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวกระจ่างออกมาท่ามกลางเมฆหมอกเรียนรู้การทรงงานแบบปิดทองหลังพระด้านต่างๆ ของพระองค์เพิ่มเติม ผ่านการหมุนกล้องกวาดแสงไฟไปยังท้องฟ้าส่วนอื่นๆภาพ : โสภน สุเสนส่วนจัดแสดงใหม่ของนิทรรศน์รัตนโกสินทร์นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ : เปิดให้บริการวันอังคาร - วันอาทิตย์ ไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ (ปิดวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 09.00 -17.00 น.  •  เฉพาะวันเสาร์- อาทิตย์ เวลา 12.00 - 13.30 น. มีการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรม นาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ โดยเด็กและเยาวชนจากสถาบันการศึกษาต่างๆ เข้าชมฟรี ณ เวทีการแสดงเพื่อเด็กและเยาวชน  •  ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nitasrattanakosin.com สอบถามเข้าชมนิทรรศการ โทร. 0 2621 0044 สอบถามเวทีการแสดงฯ โทร. 09 5476 5868แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1120229

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ที่นั่งสำรอง (Priority seat) บนรถไฟฟ้า คนทั่วไปนั่งได้ไหม

05/04/2024

ทุกวันนี้เราเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนที่หลากหลาย รถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้า MRT ซึ่งก็มีหลากหลายเส้นทาง และอย่างที่ทราบกันว่าในทุกบริการขนส่งมวลชนย่อมมีที่นั่งสำรอง หรือ Priority seat ที่จะเป็นที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษ อย่างพระสงฆ์ เด็ก คนท้อง คนแก่ ผู้บกพร่องทางร่างกายอย่างไรก็ตามก็มีคำถามว่า Priority seat ทุกคนนั่งได้หรือเปล่า โดยทางเพจรถไฟฟ้าบีทีเอสได้ออกมาโพสต์ว่า"ที่นั่งสำรอง​ (Priority seat)... คนปกตินั่งได้ไหม???ที่นั่งสำรองออกแบบมาสำหรับบุคคล​พิเศษ​ ทุกคนสามารถนั่งได้ แต่ต้องพร้อมเสมอที่จะลุกเสียสละ เมื่อมีบุคคล​พิเศษ​ดังกล่าว​จำเป็นต้องใช้ที่นั่ง มีน้ำใจให้แก่กัน​ ถ้อยทีถ้อยอาศัย​​ดีกว่านะครับ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นนะคลิกร่วมสร้างสังคมมีน้ำใจในการเดินทาง โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งแก่ เด็ก คนพิการ คนท้อง ผู้สูงอายุ พระภิกษุ"แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447091/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

"ถูกเหยียดในที่ทำงาน" มนุษย์เงินเดือนต้องรับมืออย่างไร?

04/04/2024

ทุกองค์กรย่อมมีปัญหาเกิดขึ้น เพราะการทำงานกับคนที่หลากหลายทั้งด้านอายุ ความคิด ประสบการณ์  และอารมณ์ ย่อมมีเรื่องต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นในมนุษย์เงินเดือน ระหว่างการทำงานอยู่สม่ำเสมอ คือ "การเหยียด" จากข้อความของผู้ใช้ X ชื่อ W โพสระบุว่า 78% ของพนักงานเคยถูกเหยียดอายุระหว่างการทำงาน เหยียดอายุ เกิดได้ทั้ง 1) อายุมากกว่า เหยียดคน อายุน้อยกว่า 2) คนอายุน้อยกว่า เหยียด คนอายุมากกว่า มาจากการเลี้ยงดู และบริบทที่แตกต่างกับ ทำให้หลายๆ คนเติบโตมามีคุณค่าที่อาจจะแตกต่างกันมากขึ้น และตอนนี้กลายเป็นเทรนด์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การเหยียดอายุ (Ageism) เป็นทัศนคติแบบเหมารวมและตัดสินด้วยอคติว่าแต่ละช่วงวัยควรมีคุณลักษณะอย่างไร จนทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติขึ้นในสังคม ซึ่งเป็นไปได้ทั้งในกรณีที่ผู้อาวุโสใช้ “วัยวุฒิ” ข่มและ “กดทับเด็กใหม่” หรือ มองว่าเด็กใหม่ไม่ประสีประสา ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่อาจจะใช้ทัศนคติและการก้าวทันโลกกดทับคนรุ่นเก่า หรือมองว่าคนรุ่นเก่านั้นเป็นภาระของตน ซึ่งพบได้มากที่สุดในที่ทำงาน เนื่องจากมีคนหลายช่วงวัยมารวมตัวกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ชาวเจน Z เข้าสู่ตลาดงาน ยิ่งทำให้ความหลากหลายระหว่างวัยในที่ทำงานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผลวิจัยจาก WHO พบว่าการเหยียดอายุในผู้สูงอายุส่งผลให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตแย่ลง ส่งผลให้เกิดความโดดเดี่ยวทางสังคมและความเหงาเพิ่มยิ่งขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง และเกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดย WHO คาดการณ์ว่าการเหยียดอายุนี้เป็นต้นตอของโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ 6,300,000 คนทั่วโลก   •  การเหยียดที่ทุกคนมักพบเจอ น.ส.นิลุบล สุขวณิชนักจิตวิทยาการปรึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา  กล่าวว่า คำว่า “เหยียด” ในยุคปัจจุบันมักถูกใช้ไปในความหมายว่า เหยียดหยาม ดูถูก ดูหมิ่น ทำให้คนที่โดนเหยียดถูกด้อยค่าลง หรือได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี การเหยียดนั้นตรงกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่หลายคำด้วยกัน  ซึ่งการเหยียดคนอื่นแบบเป็นกลุ่มซึ่งจะตรงกับการเหยียด 2 ประเภท ดังนี้ 1. Stereotype หมายถึง การตัดสินคนอื่นแบบเหมารวมเป็นกลุ่ม ยกตัวอย่างจากงานวิจัยของนักจิตวิทยา Susan Fiske ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Princeton และนักศึกษาปริญญาโท Cydney Dupree ที่พบว่า แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในศูนย์ child care เป็นอาชีพที่คนมักตัดสินว่าเป็นอาชีพที่มีความสามารถสูง มีลักษณะอบอุ่น เป็นห่วงเป็นใย เป็นอาชีพที่คนให้ความสำคัญ มีหน้ามีตาในสังคม ผู้คนรับรู้ถึงความภาคภูมิใจและความชื่นชม เต็มไปด้วยทัศนคติด้านบวก ขณะที่ พนักงานล้างจาน คนเก็บขยะ คนขับรถแท็กซี่ ผู้คนได้เลือกจัดอันดับว่ามีลักษณะนิสัยที่ไม่เป็นมิตร มีทัศนคติด้านลบ ให้ความรู้สึกดูถูกหรือโดนรังเกียจโดยคนส่วนใหญ่ นั่นอาจแปลว่า ผู้คนส่วนมากมักสรุปว่าอาชีพที่ไม่ได้มีรายได้สูง คืออาชีพที่ไม่ได้ใช้ความสามารถมากนัก เป็นต้น 2. Prejudice and discrimination หมายถึง อคติและการเลือกปฏิบัติ โดยคนบางกลุ่มอาจจะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปเพราะถูกตัดสินด้วยอคติ ซึ่งความคิดและอารมณ์ของบุคคลจะส่งผลต่อพฤติกรรม  ตัวอย่างเช่น การปฏิเสธไม่รับคนเข้าทำงานเนื่องจากฝ่ายบุคคลมีมุมมองว่าคนที่เป็น LGBTQ+ เป็นกลุ่มคนที่มีอารมณ์รุนแรงหรือยังมีความเชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความผิดปกติทางจิตใจ หรือบางสถานประกอบการอาจมีอคติต่อคนที่จบการศึกษามาจากบางแห่งว่าความสามารถไม่ถึง หรือ มีนิสัยหยิ่งยโสเข้ากับใครไม่ได้ เป็นต้น   •  เหยียดอายุ รูปร่างหน้าตาส่งผลต่อสุขภาพกาย ใจ พญ.ปรานี ปวีณชนา  จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า Body shaming-BS คือ การที่คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างหน้าตา การแต่งตัว บุคลิกท่าทาง และรูปลักษณ์ที่แสดงออกภายนอกของเรา ไม่ว่าจะเป็นการพูดตรงๆ พูดเปรียบเทียบ หรือพูดล้อเล่น คำพูดเหล่านี้ส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจของคนที่ถูกต่อว่าล้อเลียนอย่างมาก (emotional trauma) เป็นรูปแบบหนึ่งของการกลั่นแกล้งกัน (bullying) ทำให้เหยื่อรู้สึกไม่ภาคภูมิใจในตัวเอง (low-self esteem) นำไปสู่การป่วยเป็นโรคด้านจิตเวชได้ เช่น โรคซึมเศร้า (Depression) โรควิตกกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตา (Body Dysmorphic Disorder-BDD) โรคการกินผิดปกติ (Eating Disorder) ยิ่งถูก BS ตั้งแต่อายุน้อยเท่าไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวัยรุ่นที่ต้องมีพัฒนาสร้างความเป็นตัวตน (self-identity) จะส่งผลเสียอย่างมาก มีการศึกษาวิจัยจากทั่วโลกพบความชุกของเรื่อง BS ร้อยละ 25-35 รายงานที่พบความชุกมากสุด คือ ร้อยละ 45 ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนย่อมอยากได้รับการยอมรับจากคนอื่นในสังคมที่อาศัยอยู่ มาตรฐาน “รูปร่างหน้าตาที่ดี” (beauty standards) ได้รับอิทธิพลจากสื่อที่ยัดเยียดค่านิยมต่าง ๆให้ เช่น “สวย=ขาว หมวย ผอม” “คนอ้วน=น่าเกลียด” ผ่านโซเชียลมีเดียหรือสื่อช่องทางต่างๆ จนคนในสังคมมีความเชื่อแบบเดียวกัน นอกจากจะกดดันตัวเองให้เป็นตามนั้น ยังกดดันคนอื่นอีกด้วย แม้จะมีกลุ่มคนที่พยายามสื่อสารว่าทุกคนมีความงามในแบบฉบับของตนเอง ให้ยอมรับนับถือในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่สุดท้ายยังไม่สามารถสู้กับอิทธิพลที่มาจากสื่อและคนส่วนใหญ่ได้ คนที่ถูก BS ไม่ใช่แค่จะเสียสุขภาพจิต แต่ยังส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น บางคนพยายามที่จะอดข้าวลดน้ำหนักจนขาดสารอาหาร (malnutrition) เข้ารับการผ่าตัดหรือทำหัตถการต่างๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากการดมยาหรือผลไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการผ่าตัดนั้น เพื่อให้สวยในแบบที่สังคมต้องการ   •  ทำไมคนเราถึงเหยียดกัน? จากทฤษฎีอัตลักษณ์ทางสังคม (Social Identity Theory) ได้กล่าวถึงการสร้างความเป็นคนใน (In-group) และความเป็นคนนอก (Out-group) ขึ้นมา โดยมาจากธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาเองอย่างรวดเร็วของคนเราที่มักจะเกิดความรู้สึกเห็นใจ ชอบ และรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันกับคนที่เป็นคนใน ยกตัวอย่างเช่น ในการแข่งขันวอลเล่ย์บอลไทย vs ตุรกี ก็จะมีโอกาสน้อยมากหรือไม่มีโอกาสเลยที่คนไทยจะเลือกเชียร์ทีมตุรกี เป็นต้น ความรู้สึกอคติแบบคนใน-คนนอก มักนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ และเป็นจุดเริ่มต้นของการกลั่นแกล้ง (Bullying), การเหยียดเชื้อชาติ (Racist) เพราะคนเรามีแนวโน้มที่จะแสดงออกในทางบวกกับสิ่งที่เรามองเป็น In-group มากกว่าสิ่งที่เรามองว่าเป็น Out-group นั่นเอง ซึ่งในเรื่องนี้ปัจจัยทางด้านสังคมวัฒนธรรมถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องมากทีเดียว โดยจากการศึกษาของ Fiske พบว่า หากสังคมวัฒนธรรมนั้น ๆ ไม่มีบรรทัดฐานทางสังคมว่า “ชาติเรายิ่งใหญ่ที่สุด” คนในสังคมก็จะไม่มีมุมมองต่อคนชาติอื่นว่าด้อยกว่า ยิ่งใหญ่น้อยกว่า   •  การเหยียดนำไปสู่ปัญหาอะไรบ้าง? กลุ่มคนที่ถูกเหยียดมีปัญหาสุขภาพ ยกตัวอย่างของประเทศแถบที่มีการจัดแบ่งคนเอาไว้เป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มได้รับการยกย่องให้คุณค่าลดหลั่นกันตั้งแต่ยกย่องให้คุณค่าสูงไปจนถึงถูกมองว่าไม่มีคุณค่าเลย กลุ่มคนที่ถูกเหยียดก็จะไม่สามารถเข้าถึงระบบบริการสุขภาพที่ดีได้ เมื่อเกิดความเจ็บป่วยก็อาจจะไม่มีสถานพยาบาลไหนที่รับให้การรักษา ซึ่งอาจนำไปสู่สภาวะเครียดจนเกิดปัญหาสุขภาพจิตตามมาได้ การเหยียดทำให้มีการเลือกปฏิบัติมากขึ้น กลุ่มคนที่ถูกเหยียดมักถูกเลือกปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่น ชาติที่มีการวางสถานะของผู้หญิงไว้ต่ำกว่าผู้ชาย ก็จะมีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้น เช่น ไม่รับผู้หญิงเข้าทำงาน ผู้หญิงไม่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งบริหารได้ ยิ่งมีการเหยียดเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ การเลือกปฏิบัติก็จะยิ่งเกิดขึ้นในหลายมิติมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนอกเหนือไปจากการเลือกปฏิบัติแล้ว ก็อาจนำไปสู่การคุกคามได้มากขึ้นอีกด้วย เช่น ในสถานประกอบการที่มีการเหยียดผู้หญิงก็อาจจะมีการคุกคามทางเพศเกิดขึ้นได้บ่อย เพราะผู้ชายในองค์กรมีความเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องให้เกียรติผู้หญิง ซึ่งจากผลสำรวจในปี 2018 พบว่า ผู้หญิง 59% เคยถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน 7 เรื่องที่ไม่ควรพูดเหยียดคนอื่น 1. เพศ เรื่องเพศ เป็นความละเอียดอ่อนที่ถูกนำมาใช้ในการเหยียดกันมากที่สุด เนื่องจากสมัยก่อนเราใช้การแบ่งแยกกันเพียงเพศหญิงและชาย ผู้คนที่แสดงความแตกต่างจากเพศกำเนิดจึงมักถูกเหยียดหรือบูลลี่ เช่น ไอตุ๊ด, พวกผิดเพศ, ตัวประหลาด, เปลี่ยนทอมเป็นเธอ เป็นต้น ปัจจุบัน เรื่องเพศได้เปิดกว้างมากขึ้น สังคมเริ่มยอมรับความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่มคนเพศทางเลือก (LGBTQ) มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงวัยเด็ก- วัยรุ่น เป็นช่วงวัยที่ได้รับความรุนแรงจากการเหยียดเรื่องเพศมากที่สุด ผู้ใหญ่-ผู้ปกครอง นอกจากต้องเปิดใจยอมรับ ความแตกต่างอย่างเข้าใจเมื่อลูกเป็น LGBTQ แล้ว ยังควรสอนให้ลูกหลานหรือเด็กๆ เคารพในความแตกต่างด้านเพศ 2. รูปร่างหน้าตา สีผิว  รูปร่างหน้าตาและสีผิวของคนเรา เป็นเรื่องของพันธุกรรมตามธรรมชาติค่ะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดที่เรามักจะชื่นชอบคนที่รูปร่างหน้าตาดี แต่การใช้รูปร่างหน้าตาและสีผิวมากำหนดกฎเกณฑ์จนกลายเป็นความลำเอียง, การกีดกันไม่ว่าจะด้านหน้าที่การงานหรือการเข้าถึงบริการด้านต่างๆ, การสร้างสิทธิพิเศษเฉพาะคนหน้าตาดี รวมถึงการแซว การเหยียด คนที่รูปร่างหน้าตา สีผิว ที่ไม่ตรงตามค่านิยมของสังคมนั้น เช่น อ้วน, ดำ, หน้าสิว, ผอมจัง, นมแบน ฯลฯ เป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ ที่ร้ายแรงกว่านั้น การถูกบูลลี่เรื่องรูปร่าง (Body shaming) อาจก่อให้เกิดเป็นโรคทางจิตเวชได้ เช่น โรควิตกกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตา (Body Dysmorphic Disorder) โรคคลั่งผอม (Anorexia Nervosa) เป็นต้น ดังนั้น การเหยียดกันเรื่องรูปร่างหน้าตาจึงไม่ใช่แค่เพียงเรื่องตลกที่หลายคนอาจจะมองว่าไม่เป็นไร เพราะคนที่ถูกบูลลี่นั้นอาจเกิดผลกระทบทางจิตใจมากกว่าที่คิด 3. เชื้อชาติ-ศาสนา ทุกเชื้อชาติ มีลักษณะของรูปร่างหน้าตา และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป ไม่ใช่สิ่งที่ควรนำมาเหยียดหรือเกลียดชังซึ่งกันและกัน รวมถึงการนับถือศาสนาซึ่งเป็นความความเคารพ ความเชื่อส่วนบุคคล  4. รสนิยม ความชอบ รูปแบบการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ รสนิยม ความชอบ เช่น การแต่งหน้า แต่งตัว งานอดิเรก อาหารการกิน ฯลฯ เป็นสิ่งเฉพาะบุคคลที่ไม่มีผิดหรือถูก หากสิ่งนั้นไม่ไปลิดรอนสิทธิ หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ในปัจจุบันเรื่องรสนิยม ความชอบ การใช้ชีวิตได้เปิดกว้างมากขึ้น อย่างเช่นแฟชั่นการแต่งตัวที่ไม่มีกรอบมาจำกัดอีกต่อไป ทุกคนมีสิทธิในร่างกายของตนเองที่จะทำตามความชอบโดยไม่ผิดกฎหมายหรือกาลเทศะ  5. การศึกษา ต้นทุนชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนมีโอกาสได้เรียนสูง ได้เรียนในสิ่งที่ต้องการ แต่กับบางคนโอกาสอาจจะมีไม่มากนัก การนำระดับการศึกษาหรือสถาบันมาใช้เหยียดกันนับเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำค่ะ เพราะคุณภาพชีวิตของคนเราไม่ได้วัดแค่เพียงการศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยในการดำเนินชีวิตที่จะส่งผลให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จ หรืออยู่อย่างมีความสุขได้ในสังคม 6. ฐานะ หลายครั้งที่เรามักได้ยินการพูดเหยียดเรื่องฐานะ เช่น ไอลูกคนจน, ลูกคุณหนู, เด็กสลัม ฯลฯ เราไม่ควรใช้ชนชั้นฐานะและเงินทองมากำหนดลักษณะนิสัยของคนทั้งหมด ความรวยอาจสร้างโอกาสที่ดีในการดำเนินชีวิตได้มากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าคนจนจะมีคุณค่าความเป็นมนุษย์น้อยไปกว่าคนรวยเลย 7. อาชีพ หน้าที่การงาน อาชีพและหน้าที่การงาน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนเรามักนำมาใช้เหยียดกัน ด้วยค่านิยมของการตัดสินว่าคนในระดับสูงหรืออาชีพที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถสูง ได้เงินมาก มักจะดีกว่า ส่วนลูกน้องระดับล่างหรืออาชีพที่ใช้ความสามารถต่ำได้เงินน้อย มักจะถูกดูแคลนอยู่เสมอ แต่แท้จริงแล้วไม่ว่าอาชีพหรือหน้าที่การงานในระดับไหน ต่างก็มีบทบาทหน้าที่สำคัญและมีคุณค่าเท่าเทียมกัน ทำอย่างไรจึงจะลดการเหยียดลงได้? 1. ปลูกฝังให้คนในสังคมมี empathy ฝึกคิดและรู้สึกในมุมของคนที่แตกต่างไปจากตนเอง แม้ตนเองจะไม่เคยอยู่ในจุดนั้นและไม่เคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกันนั้นมาก่อนเลยก็ตาม โดยอาจจะลองจินตนาการดูก็ได้ว่าถ้าเราเป็นเขาเราจะรู้สึกอย่างไรหากถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกคุกคามรังแก 2. จัดกิจกรรมทางสังคมให้คนที่มีความแตกต่างกันได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนมุมมองกัน ตัวอย่างเช่น กิจกรรมห้องสมุดมนุษย์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกิดจากไอเดียของกลุ่มคนที่ต้องการให้ ‘อคติ’ และ ‘ความคิดแบบเหมารวม’ ที่ส่งผลกระทบต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหายไป โดยกิจกรรมนี้เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศเดนมาร์กและดำเนินการมาแล้วเป็นเวลา 21 ปี 3. รณรงค์เกี่ยวกับการตระหนักรู้ในตนเอง สร้างสื่อหรือกระแสที่ชวนให้คนในสังคมฝึกสังเกตความคิดของตนเอง มีสติก่อนที่จะคิด-พูด-ทำอะไรออกไป และคอยสำรวจตรวจสอบว่าความคิดของตนเองมันสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ 4. ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับพฤติกรรมของคนในสังคมให้มีการเหยียดลดลง ปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมมากขึ้น รับมืออย่างไร? เมื่อเราถูกเหยียด 1. ทบทวนหาข้อดีของตัวเอง  สำคัญที่สุดคือความพอใจในตัวเราเอง ไม่มีใครที่จะสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง หากเรารักและยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ (Self-love/self-acceptance) มีสุขภาพที่ดี และรูปร่างหน้าตาของเรา อายุของเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนกับตัวเองหรือคนอื่น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หากยังไม่มั่นใจให้ลองคุยกับคนที่มองโลกตามความเป็นจริงเชื่อถือได้ พร้อมที่จะให้กำลังใจและคำแนะนำที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น เช่น ให้เขาบอกคุณสมบัติข้อดีของเรา เพื่อให้เราเห็นคุณค่าของตัวเอง 2. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับคนที่เป็นพิษ (toxic people) บางคนมีทัศนคติเป็นลบกับทุกเรื่อง และพร้อมที่จะทิ่มแทงให้คนอื่นต้องเจ็บปวด มีความสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ เข้าใกล้ทีไรทำให้เราเสีย self-esteem เราไม่สามารถไปเปลี่ยนเขาได้ สิ่งที่เราทำได้ คือ การเลี่ยง เพื่อไม่ให้ตัวเราเองต้องเจ็บปวดกับพิษที่เขาสาดใส่ ติดต่อกันเท่าที่จำเป็น หากถูกเขา BS จนเราทนไม่ได้ เรามีสิทธิที่จะปกป้องตัวเอง (assertive) ด้วยการบอกว่าเราไม่ชอบและสิ่งที่ต้องการให้เขาทำ  3. เอาใจเขามาใส่ใจเรา หากเราไม่อยากถูกเหยียด เราเองต้องไม่ทำแบบนั้นกับคนอื่นเช่นเดียวกัน หัวข้อที่เราสามารถนำมาคุยกันมีตั้งหลายเรื่อง ไม่จำเป็นต้องคุยกันเรื่องรูปร่างหน้าตา หรืออายุ ก็ได้ 4. เข้าหากลุ่มที่ให้การช่วยเหลือเรื่องการเหยียด ที่ต่างประเทศมีองค์กรที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือคนที่ถูก BS หรือการเหยียด โดยตรง วิธีทำงานกับคนที่ชอบเหยียดคนอื่น  1. รักษาระยะห่าง เรื่องแย่ๆ มันมีมากมายถมเถจนแทบอยากจะทรุด แต่ไม่ว่าคุณจะซวย ถึงขั้นโดนมอบหมายงานให้ทำ กับคนที่ไม่อยากแม้กระทั่งอยู่ใกล้ๆ แค่ไหน ก็ต้องมีการรับมือที่ดี หาทางออกเพื่อประคองความสัมพันธ์ในงานที่ตัวเองรับผิดชอบให้ดี การรักษาระยะห่าง จึงเป็นเรื่องหลักที่ช่วยให้ สมองรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เพราะมีงานวิจัยว่า การรักษาระยะห่างที่ 25 ฟุต (7.6 เมตร) สามารถช่วยให้หลุดพ้นจากอาการเหยียด หรือเกลียดได้ เช่นเดียวกับการหลับตา ไม่ว่าจะใกล้แค่ไหน แต่ช่างปะไร เพราะไม่เห็นอะไรซะอย่าง 2. ทำใจให้เป็นกลาง ปล่อยวางเข้าไว้ คนเหล่านี้ มักจะมีรสนิยมแปลกๆ ที่ชอบเห็นความเดือดร้อน หัวเราะเยาะในขณะที่คนอื่นกำลังตกที่นั่งลำบาก ยิ่งดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไหร่ยิ่งดี วิธีรับมือที่ดีที่สุดไม่ใช่การนิ่งเฉย แต่เป็นการละเลย สิ่งไร้สาระที่อยู่ตรงหน้าให้มากที่สุด พูดคุยให้น้อย ติดต่อกันเฉพาะเหตุจำเป็น ในส่วนของงาน (หลีกเลี่ยงการคุยงานโดยผ่านช่องแชท) เพราะอาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันในเจตนา ที่จะสื่อออกไป และอาจกระทบต่องานได้ นอกนั้นหลังเลิกงานก็มองเป็นอากาศธาตุ ปลิวไปเหมือนกับทานอสดีดนิ้วได้เลยจ้า 3. อย่าวู่วาม มันก็แปลกดีนะที่จะบอกว่า เกลียดใครต้องใช้เวลา ไม่ว่าพฤติกรรมแย่ๆ ที่เราเจอจะเป็นวันนี้ หรืออาทิตย์ก่อนก็ตาม ปล่อยให้มันผ่านไปทำเป็นหูทวนลม สงบจิต สงบใจทำงานที่ได้รับมอบหมายให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด แล้วเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้เป็นหลักฐานอย่างดี หลังจากนั้น ก็รวบรวมพรรคพวกให้เยอะๆ เอาจำนวนเข้าว่า อย่างน้อยจะได้ไม่พลาด หากงูพิษแว้งกัดขึ้นมาจะได้ไหวตัวทัน 4. เปิดใจคุยแบบไร้อคติ หรือจริงๆ แล้ว เขาอาจจะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีคนหนึ่งก็เป็นได้ สังเกตง่ายๆ คนเหล่านี้ชอบที่จะเป็นจุดสนใจ และอยากให้ทุกคนยอมรับ แต่มาพลาดเอาตรงเลือกใช้วิธีผิดๆ ในการเข้าหาคน จนติดเป็นนิสัย แต่กลับกัน ถ้าใครที่เป็นเพื่อนหรือถูกยอมรับโดยคนที่มีนิสัยแปลกๆ เหล่านี้ ก็จะไม่มีท่าที หรือแสดงพฤติกรรมแย่ๆ กับคนคนนั้นอีก แรกๆ ก็อาจจะทำใจลำบากหน่อย คิดซะว่าทำความรู้จักเพื่อนใหม่ก็แล้วกันนะ อาจจะช่วยให้อะไรๆ ในสถานที่ทำงานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความเท่าเทียมอาจจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้ยาก แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรปล่อยให้ในสังคมมีการเหยียดเกิดขึ้นจนเกิดผลกระทบต่าง ๆ ตามมา  อ้างอิง: iSTRONG Mental health, fwd ,โรงพยาบาลมนารมย์, BBC, NZ Business, The Story Exchange แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/labour/1119838

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

“Hong Kong Art Toy Story” นิทรรศการอาร์ตทอยระดับโลก เล่นใหญ่ที่เซ็นทรัลเวิลด์

29/04/2024

เซ็นทรัลเวิลด์จัดงานนิทรรศการอาร์ตทอยระดับโลกแห่งปี “Hong Kong Art Toy Story 2024” ในวันที่ 4-7 เม.ย. 67 ที่โซน Dazzle ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาดครั้งนี้ พบกันอีกทีปีหน้าหลังจากปีที่ผ่านมาได้เสียงตอบรับอย่างดีจากแฟนอาร์ตทอยทั้งชาวไทยและต่างชาติ ปีนี้ “Hong Kong Art Toy Story” นำผลงานออริจินัลมาสร้างเซอร์ไพร์ส และความประทับใจครั้งใหม่ให้แฟนอาร์ตทอยไทยอีกครั้งในงาน “Hong Kong Art Toy Story 2024” ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2567 ที่โซน Dazzle ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์Hong Kong Art Toy Story 2024 เป็นนิทรรศการอาร์ตทอยระดับโลกแห่งปี ที่จัดขึ้นโดยสมาคมผู้ประกอบการนวัตกรรม (IEA) ร่วมกับ Create Hong Kong (CreateHK) ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ภายใต้โครงการ “ส่งเสริมงานอาร์ตทอยของดีไซเนอร์ฮ่องกง” โดยได้คัดเลือก 20 ศิลปินอาร์ตทอย มากฝีมือจากฮ่องกง ที่มีคาแร็กเตอร์โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กว่า 300 ชิ้นมาจัดแสดงภายในงาน ซึ่งเหล่านักสะสมและคนรักอาร์ตทอยทั่วประเทศไทยไม่ควรพลาดสำหรับศิลปินอาร์ตทอยจากฮ่องกงทั้ง 20 คนที่ได้รับการคัดเลือกให้จัดแสดงผลงานในครั้งนี้ เป็นศิลปินชื่อดังที่เคยมาจัดแสดงผลงานแล้ว 3 คน ร่วมกับ 17 ศิลปินรุ่นใหม่ที่เป็นดาวเด่นของวงการ ได้แก่ Rainbo, Ryan Lee, Winson Ma, Aaron Lau, Anna Chan, Cheng Ki KI, Felix Ip , Gilbert Yam, Gino Lai, Joseph Tang, Keith Li, Leo Pak, LeonLollipop, Leung Kwok Kin, Lock Lai, Mickey Mic, Ricky Chan, Sunny Tam, Tomm Wong and Tony Leung.นอกจากผลงาน Art Toy ที่ชวนตื่นตาตื่นใจแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมน่าสนใจต่าง ๆ อาทิ กิจกรรมพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกับศิลปินฮ่องกงอย่างใกล้ชิด สาธิตการวาดภาพ สนุกกับการแบทเทิลเอามันระหว่าง ‘ศิลปิน’ VS ‘แฟนคลับ’ เพื่อมอบประสบการณ์สนุกสนานให้นักสะสมและคนรักอาร์ตทอยทั่วไทย ภายใน Hong Kong Pavilion ตลอด 4 วันเต็ม ๆแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000029334

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X