Everyday knowledge for you
สุขภาพ
29/04/2024
"กรมการแพทย์" เปิดสถิติผู้ป่วยมะเร็งปอด ที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือ พุ่งสูงกว่าภาคอื่น พบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 7 ราย เสียชีวิตสูงถึง 1,800 ราย/ปี ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สะท้อนปัญหาของฝุ่น PM 2.5 ที่สะสมต่อเนื่อง หากไม่มีการจัดการปัญหาฝุ่นพิษ จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของหลายจังหวัดนายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคมะเร็งปอดเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขในภาคเหนือ พบว่ามีอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดสูงกว่าภาคอื่น ซึ่งภาคเหนือพบผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดรายใหม่เฉลี่ยปีละ 2,487 ราย/ปี หรือประมาณวันละ 7 ราย และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเฉลี่ยปีละ 1,800 ราย/ปี หรือประมาณวันละ 5 รายขณะเดียวกัน ร้อยละ 80 ของผู้ป่วยมะเร็งปอด ส่วนใหญ่อยู่ในวัยสูงอายุ มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ซึ่งอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดที่สูงในภาคเหนือ มีปัจจัยเสี่ยงสำคัญหลายประการนายแพทย์วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งลำปาง กล่าวว่า โรคมะเร็งปอดเกิดจากหลายปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน ทั้งพันธุกรรม หรือการได้รับสารก่อมะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคมะเร็งปอดที่สำคัญเกิดจากการสูบบุหรี่ และควันบุหรี่มือสอง นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงอื่น ได้แก่ การสัมผัสก๊าซเรดอน การสัมผัสแร่ใยหิน การสัมผัสรังสี ควันธูป และมลภาวะทางอากาศต่างๆ ซึ่งฝุ่น PM 2.5 จัดอยู่ในส่วนนี้.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/scoop/infographic/2779041
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
‘บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์’ เปิดให้เข้าชมแล้ว โดย ‘เสริมคุณ คุณาวงศ์’ ในอาคารคิวบิค 5 ชั้น จัดแสดงงานศิลปะ จิตรกรรม ประติมากรรม ผลงานระดับมาสเตอร์พีซ จากศิลปิน 180 คน รวมมากกว่า 1,000 ชิ้นอาคารคิวบิค 5 ชั้น ใน บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์ อัดแน่นด้วยงานศิลปะระดับปรมาจารย์ แบ่งเป็น 7 โซน และห้องต่าง ๆ ใน เดอะ เรสซิเดนซ์ จัดแสดงงานจิตรกรรม ประติมากรรม งานประติมากรรมในสวน มาครั้งเดียวไม่เคยพอ...“บางคนมี 100 สะสม 10 แต่ผมมี 100 สะสม 150” เสริมคุณ คุณาวงศ์ เล่าถึงความชื่นชอบงานศิลป์เมื่อแรกใช้เงินส่วนตัวสะสมงานศิลปะเสริมคุณ คุณาวงศ์ นำชมงานศิลปะในห้องต่าง ๆ ไมเว้นกระทั่งโถงบันได ห้องหนังสือ ห้องทำงาน และห้องสะสมผลงานของ อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต อีกทั้งรวมผลงานของ ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี และอีกหลายท่านเสริมคุณ คุณาวงศ์หลังจากเปิด ศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพฯ (ถนนนวลจันทร์) เมื่อปี พ.ศ.2547 วันนี้เปิดใหม่ที่ บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์ ลาดพร้าว 54 ในอาคารคิวบิค 5 ชั้น แบ่งเป็น 7 โซนจัดแสดง“ผมเรียกว่าเป็น Living Museum หรือ บ้านพิพิธภัณฑ์ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต และเป็นบ้านที่ใช้อยู่อาศัยด้วย งานจากศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพฯ เราขนมาที่นี่ ให้เป็นจุดหมายปลายทางของคนชอบงานศิลปะและมีงานส่วนตัวของผม เช่น งานภาพถ่าย งานแกะไม้ ผมเก็บอุปกรณ์และกล้องไว้เป็นของสะสมส่วนตัวด้วย”เปิดบ้านพิพิธภัณฑ์พร้อมเปิดครอบครัว (ภาพ: วันชัย ไกรสรขจิต)เสริมคุณ คุณาวงศ์ เล่าว่า แม้มีใจรักล้วน ๆ ในงานศิลปะ แต่กว่าจะเริ่มเก็บงานชิ้นแรกก็ใช้เวลานาน ต้องทำบริษัทก่อนเพื่อหาเงิน“คนอื่นถ้ามีเงิน 100 เก็บ 10 ของผม 100 เก็บ 150 ปี 2535 เริ่มเก็บประติมากรรมจากชิ้นเล็ก ๆ แล้วไปชิ้นใหญ่ จนในที่สุดเปิด ศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพฯ ในบ้านเราถือว่าเป็นเอกชนรายแรก ๆ”งานของ อ.ปรีชา เถาทอง ในห้อง The Palourคนรักงานศิลปะล้วน ๆ บอกว่า จากประติมากรรมก็เริ่มไต่ระดับขึ้นเป็นหุ่นหลวง เครื่องเบญจรงค์ วัตถุโบราณ เฟอร์นิเจอร์ทั้งของใหม่และแอนทีค เก้าอี้แอนทีคก็สะสมไว้มากกว่า 1,000 ชิ้น“ที่นี่สร้างมากว่า 8 ปี เป็นบ้านที่ใช้อาศัย แล้วปรับปรุงใหม่ รวมพื้นที่ 5,000 ตร.ม. รวมงานศิลปะหลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นศิลปินไทย 180 ท่าน ผลงานกว่า 1,000 ชิ้น”ผลงานของ อ.ชำเรือง วิเชียรเขตต์ผู้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์บ้านคุณาวงศ์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในห้องครุฑ ด้านหลังคือประติมากรรมรูปหล่อครุฑ ผลงานของ อ.ศิลป์ พีระศรี แวดล้อมด้วยเสาไม้แกะสลัก 8 เสา 8 ลวดลาย ผลงานของ อ.ถวัลย์ ดัชนี ผนังซ้ายขวาประดับภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่เกี่ยวกับครุฑ ผลงานของ พัฒน์ดนู เตมีกุล อีกด้านประดับภาพเขียนของ อ.ถวัลย์ ดัชนีดรีม - เหมือนฝัน สิริกรณ์ คุณาวงศ์เปิดบ้านพิพิธภัณฑ์พร้อมเปิดตัวครอบครัว และบุตรสาว เหมือนฝัน สิริกรณ์ คุณาวงศ์ และ วาดฝัน คุณาวงศ์ ที่พานำชมผลงานศิลปะในห้องต่าง ๆทุกห้องล้วนเป็นไฮไลท์ ด้วยรวมผลงานระดับปรมาจารย์ เช่น ห้องพาเลอร์ (The Parlour) คือห้องรับรองแขก โดยรอบประดับงานศิลปะที่หาชมยาก เช่น คอลเลคชั่นยุคแรก ๆ ของ อ.ปรีชา เถาทอง จากปี 2015 จนถึงปัจจุบัน, งานของศิลปินชั้นครู ได้แก่ ชลูด นิ่มเสมอ, อวบ สาณะเสน, สวัสดิ์ ตันติสุข, ชำเรือง วิเชียรเขตห้องทำงานที่รายล้อมด้วยงานศิลปะขึ้นบันไดเวียนไปชั้น 2 เป็น ห้องทำงาน ดรีม - เหมือนฝัน พานำชมเล่าว่า เป็นห้องใช้ทำงานจริง ๆ ตกแต่งสไตล์วิคทอเรียน ขนาดห้องไม่ใหญ่แต่ฟังก์ชั่นใช้ทำงานครบ มีทีวีจอยักษ์แอบอยู่ เฟอร์นิเจอร์ผสมผสานต่างสไตล์ ไม่ได้ชอบฝรั่ง หากความจริงคนตะวันตกชื่นชอบของแต่งบ้านจากตะวันออกมานานแล้ว ผนวกกับประดับงานศิลปะที่ดูเหมือนจะแรง เช่น งานของวสันต์ สิทธิเขตต์ งานประติมากรรมของ อ.ศิลป์ พีระศรี, งานศิลปะคิวบิสซึ่ม, งานคอนเทมโพรารีอาร์ตของ อ.มณเฑียร บุญมา, งานของ อ.เขียน ยิ้มศิริ, ภาพสเก็ตช์ขนาดเล็กของ อ.ถวัลย์ ดัชนี ฯลฯเดินออกจากห้องนี้ไปที่ คชาเลานจ์ เป็นห้องพักผ่อน มีเคาน์เตอร์บาร์ มีมุมดนตรี ใช้เป็นห้องสังสรรค์พักผ่อน ห้องกว้างเพดานสูงกรุกระจกใส ติดภาพศิลปะที่ดูแรง ดูกล้าหาญ สไตล์เซอร์เรียลลิสต์จากหลากหลายศิลปิน รุ่นใหญ่รุ่นเล็ก รวมถึงประติมากรรมช้างหรือ “คชา” อยู่กลางห้องคชาเลานจ์ เพดานกรุกระจกใส (ภาพ: บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์)บนชั้นลอยรวบรวมงานของ ช่วง มูลพินิจ กว่า 10 ชิ้น ขนาบซ้ายขวาด้วยประติมากรรมสแตนเลสเหมือนเสายักษ์กลางห้อง ใช้โลหะกว่า 10,000 ชิ้น ผลงานของ ถนอมจิตร์ ชุ่มวงค์ผลงาน อ.ช่วง มูลพินิจจากนั้นชม เสริมคุณ สตูดิโอ คือห้องทำงานของ “คุณพ่อ” เหมือนฝันเล่า ปัจจุบันคุณพ่อยังนั่งทำงานแกะไม้และถ่ายภาพ ห้องนี้จึงนำผลงานของ เสริมคุณ คุณาวงศ์ มาจัดแสดงไปด้วย ทั้งภาพสเก็ตช์ สมุดโน้ต ภาพลายเส้น งานภาพพิมพ์แกะไม้ งานภาพถ่ายเสริมคุณ สตูดิโอบันทึกการทำงานศิลปะของเสริมคุณ คุณาวงศ์ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 5 ที่ ห้องแกลเลอรี่ มีพื้นที่กว้าง เพดานโปร่ง แสดงงานศิลปะจากศิลปินรุ่นใหม่ ๆ อาทิ ครูปาน - สมนึก คลังนอก, ครูโต – ม.ล.จิราธร จิรประวัติ, พัดยศ พุทธเจริญ, งานประติมากรรมไม้และสื่อผสมของ อินสนธิ์ วงศ์สาม, กมล ทัศนาญชลี, งานศิลปะของ ยุรี เกนสาคู, พิณรี สันพิทักษ์, ก้องกาน, มด CryBaby ฯลฯห้องแกลเลอรี่หลอดสีของ อ.กมล ทัศนาญชลีแค่นี้ก็สำรวจไม่ทั่วแล้ว... แต่ต้องไปต่อที่ เดอะ เรสซิเดนซ์ อาคารพักอาศัย 3 ชั้น อยู่จริงและจัดงานศิลปะให้ชม แบ่งเป็น 11 โซน มีอาทิโถงบทสนทนาของยุคสมัยโถงบทสนทนาของยุคสมัย ห้องโถงเพดานสูง จัดวางงานศิลปะและเฟอร์นิเจอร์ต่างยุคสมัย เช่น เก้าอี้จากยุควิคทอเรียนโกธิค, เก้าอี้มาคิช เบอร์แชร์ จากศตวรรษที่ 19, เก้าอี้มอนเดรียน, งานมาสเตอร์พีซของ อ.ปัญญา วิจินธนสาร, อ.ปรีชา เถาทอง ฯลฯห้องมรดกไทยถัดมาชม ห้องมรดกไทย จัดแสดงงานศิลปะวิจิตรและงานฝีมือแบบไทย ของเก่าเช่น ตู้พระธรรมลายรดน้ำสมัยรัชกาลที่ 4, งานฝีมือช่างทำพัดสมัยรัชกาลที่ 9 โดย หทัย บุนนาค ภาพเขียนและผลงานตาลปัตรอีกหลายชิ้นลวดลายพัดสมัยรัชกาลที่ 9ห้องรุ่งอรุณของศิลปะไทย ห้องสีเหลืองสไตล์โคโลเนียล จัดแสดงผลงานศิลปะของศิลปินชั้นบรมครู เพื่อเชิดชูคุณค่าและเก็บไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาห้องจักรพันธุ์ โปษยกฤตห้องจักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งรัตนโกสินทร์ รวบรวมผลงานทุกประเภทของศิลปินแห่งรัตนโกสินทร์ไว้มากมายเพนท์เฮาส์ศิลปะนามธรรมอ.ประเทือง เอมเจริญยังมี เพนท์เฮาส์ศิลปะนามธรรม บันไดลับศิลปะ โถงพุทธศิลป์ สวนเขียน ยิ้มศิริ และสวนแห่งชีวิต ตกแต่งงานประติมากรรมกลางแจ้งหลายรุ่น แฝงความหมาย สะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิดของมนุษย์ในหลากแง่มุมสวนแห่งชีวิตผู้สร้าง บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์ เสริมว่า ศิลปินเหล่านี้ ท่านได้ทิ้งรอยเท้าและความทรงจำเอาไว้ แล้วเราได้พูดกับท่าน บอกว่า..รอยเท้าของท่านอยู่ตรงนี้และจะอยู่กับเราไปอีกยาวนานเสริมคุณ คุณาวงศ์ติดต่อเข้าชม บ้านพิพิธภัณฑ์คุณาวงศ์ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 9.30 – 18.00 น. บัตรเข้าชมราคา 450 บาท เข้าชมเป็นรอบ จองรอบเข้าเยี่ยมชมล่วงหน้าที่เว็บไซต์ https://www.zipeventapp.com (ไม่มีการจำหน่ายบัตร)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1123757
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
เที่ยวญี่ปุ่น! คำตอบของคนไทยส่วนใหญ่ที่ตอบโจทย์ว่าอยากไปเที่ยวไหนมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ เป็นประเทศที่ยอดฮิตที่คนไทยตกหลุมรักแบบติดลมบน เพราะนอกจากเป็นประเทศที่ใช้ระยะเวลาเดินทางก็ไม่ไกลจนเกินไป วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม วัฒนธรรม บ้านเมืองและผู้คนชาวญี่ปุ่นก็เป็นเสน่ห์ที่แสนดึงดูดใจหลายคนอาจเริ่มวางแผนท่องเที่ยวญี่ปุ่นกันเเล้ว แต่จะเที่ยวญี่ปุ่นอย่างไร ให้ทั้งสนุกและคุ้มค่า! แน่นอนว่าเราต้องวางแผนเที่ยวให้ได้ครบทั้งความสนุกและคุ้มค่าในงบประมาณที่กำหนด เรื่องนี้เรามีข้อมูลดี ๆ จาก บัตรเครดิตในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และกรุงศรี บอร์ดดิ้ง การ์ด ที่เผยเคล็ดลับช่วยให้คุณวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นได้แบบสนุกสุดคุ้ม มาดูกันว่าจะวางแผนอย่างไรบ้าง1. เดินทางช่วงไหนไม่ว่าใครก็อยากให้ทริปในฝันเป็นช่วงที่เที่ยวสนุกที่สุด นอกจากจะเช็ควันว่างของตนเองและเพื่อนร่วมทริปแล้ว จึงควรหาข้อมูลก่อนว่า กิจกรรมหรือสถานที่ที่เราอยากไปนั้น เหมาะจะเดินทางช่วงไหน เช่น หากอยากไปชมดอกไม้สวย ๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ อาจหาข้อมูลคาดการณ์ช่วงเวลาที่ดอกไม้ตามฤดูกาล เช่น ทิวลิป, วิสทีเรีย, ดอกกุหลาบ จะบานและชมได้สวยงามในภูมิภาคต่าง ๆ จากเว็บไซต์เช่น JNTO, หรือแหล่งข้อมูลทาง Social Media ต่าง ๆ ฯลฯ รวมถึงจุดที่สามารถชมดอกไม้ได้สวยงาม นอกจากนี้ ยังควรเช็คดูในเว็บหรือแอปพยากรณ์อากาศ เช่น AccuWeather ว่าช่วงที่จะเดินทางอากาศเป็นอย่างไร จะไม่ต้องกังวลใจกับสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจจนเที่ยวไม่สนุก2. แพลนทริปอย่างไร ควรไปเมืองไหนบ้างญี่ปุ่นมีหลายภูมิภาค แต่ละพื้นที่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย หากอยากประหยัดค่าเดินทาง แนะนำให้วางแผนทริป เที่ยวตามภูมิภาคที่ไม่ไกลกันจนเกินไป และศึกษาเส้นทางและตัวเลือกในการเดินทางด้วยวิธีต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพราะบัตรโดยสารรถไฟสำหรับแต่ละภูมิภาค มีราคาถูกกว่า Travel Pass ที่ใช้ได้ทั่วประเทศ หรือหากสถานที่ที่เรามีแผนจะเดินทางนั้นไม่ไกลกันมาก อาจจะซื้อตั๋วรถไฟเป็นเที่ยวๆ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อ Pass หรือบางสถานที่ อาจมีวิธีการเดินทางแบบอื่นเช่น รถบัส หากวางแผนทริปได้ดี เลือก Travel Pass และวิธีการเดินทางได้เหมาะสม ก็จะช่วยประหยัดทั้งค่าเดินทาง และเวลา ทำให้ไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทางอีกด้วย3. จัดสรรงบประมาณอย่างไรหลังกำหนดจุดหมาย และช่วงเวลาที่จะเดินทางได้แล้ว ก็ได้เวลาจัดสรรงบ สำหรับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ อย่างตั๋วเครื่องบิน และโรงแรมนั้น หากวางแผนดี ๆ เราจะสามารถประหยัดได้ เช่น เลือกเดินทางช่วงที่ไม่ตรงกับช่วง High Season ที่มีราคาสูง นอกจากนี้ อาจลองติดตามโปรโมชันของสายการบิน หรือใช้ตัวช่วยอย่าง ‘Google Flights’ หรือเว็บไซต์รวมข้อมูลราคาของสายการบินต่าง ๆ เพื่อเทียบราคา และวางแผนจองล่วงหน้านาน ๆ ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชันกับบัตรเครดิตที่คุณมี ว่ามีส่วนลด เครดิตเงินคืน หรือแลกคะแนนเป็นบัตรโดยสารได้หรือไม่ จะช่วยให้ได้ดีลท่องเที่ยวที่คุ้มค่าได้ง่ายขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในแต่ละวันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ว่าชอบกิน เที่ยว ช้อป แบบไหน สามารถประเมินคร่าว ๆ ว่าน่าจะใช้จ่ายตลอดทริปเท่าไร และวางแผนเก็บออมเงิน เพื่อเตรียมงบท่องเที่ยวไปให้เหมาะสมโดยไม่กระทบกับสุขภาพทางการเงินในระยะยาว4. จดก่อนจ่าย คุมงบท่องเที่ยวไม่ให้บานปลายควรแบ่งส่วนเงินให้ชัดเจนว่าจะใช้เงินกับค่าใช้จ่ายแต่ละก้อนเท่าไร และควบคุมการใช้จ่ายให้อยู่ในงบโดยไม่นำมาปนกัน ที่สำคัญควรจดหรือบันทึกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไว้ตลอดทริป จะได้รู้ว่าแต่ละวันใช้เงินไปเท่าไร หากใครไม่สะดวกจด อาจลองดาวน์โหลดแอปที่ช่วยบันทึกค่าใช้จ่าย คำนวณอัตราแลกเปลี่ยน และคำนวณการหารเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กับเพื่อนร่วมทริปได้ง่ายขึ้น5. ทำประกันการเดินทางเพื่อความอุ่นใจป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น เจ็บป่วยฉุกเฉิน, อุบัติเหตุต่าง ๆ, เที่ยวบินเดินทางล่าช้า, ทรัพย์สินสูญหาย เป็นต้น โดยให้เลือกพิจารณาจากความคุ้มครองและศึกษากรมธรรม์อย่างละเอียดเพื่อเลือกซื้อได้เหมาะสมกับความต้องการ6. ติดตามโปรโมชันจากแหล่งต่างๆเช่น อีเวนต์ท่องเที่ยว, เว็บไซต์หรือเพจท่องเที่ยวต่าง ๆ, แพลตฟอร์มบริการท่องเที่ยว เช่น Agoda, Booking.com, Expedia, Traveloka, Trip.com, klook เป็นต้น รวมถึงโปรโมชันจากบัตรเครดิตที่มักจะมีส่วนลดและสิทธิประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวให้เลือกใช้จ่ายได้อย่างคุ้มค่า7. ควรแลกเงินไปเท่าไร ควรใช้บัตรหรือเงินสดร้านค้าส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น สามารถชำระเงินได้หลายรูปแบบ ทั้งบัตรเครดิต บัตร Travel Card และเงินสด ซึ่งก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เช่น ความสะดวก ใช้งานง่าย ความปลอดภัย สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้เราเลือกใช้ได้ตามความต้องการ เช่น หากเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ อย่างค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าบัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยว หรือค่าช้อปปิ้ง หากเลือกใช้บัตรเครดิตที่เหมาะสมก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ได้ส่วนลด เครดิตเงินคืน ได้คะแนนสะสม และบริหารการใช้จ่ายได้ง่ายเนื่องจากมีกำหนดระยะเวลาในการชำระค่าบัตรเครดิตที่เราทราบล่วงหน้า ส่วนการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็สามารถเลือกได้ว่าจะแลกเงินสดติดตัวไปเท่าที่จำเป็น หรือ อาจเลือกใช้บัตร Travel Card ที่มีจุดเด่นเรื่องความคุ้มค่าเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และความสะดวกในการใช้งาน8. ช้อปอย่างไรให้คุ้มค่าสำหรับนักช้อปตัวยง ควรหาข้อมูลก่อนว่า ย่านไหนเป็นแหล่งช้อปของที่เราต้องการซื้อ หากเป็นร้านที่มีสัญลักษณ์ Tax Free ก็จะสะดวกยิ่งขึ้น หากมียอดใช้จ่ายเกิน 5,000 เยนขึ้นไปตามเงื่อนไข ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่สำคัญอย่าลืมเช็คโปรโมชันว่าชำระเงินแบบใดถึงจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม แต่ถ้าจะให้ดีควรคิดก่อนซื้อ และใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น จะได้ไม่เป็นภาระทางการเงินหลังจบทริปหากอยากเที่ยวญี่ปุ่นแบบสนุกสุดคุ้ม อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชันดี ๆ จาก บัตรเครดิตในเครือ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ที่มอบสิทธิพิเศษจากแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” แบบครบทุกประสบการณ์เรื่องญี่ปุ่น อาทิ • ส่วนลดหรือสิทธิพิเศษเมื่อจองบัตรโดยสารสายการบินที่ร่วมรายการ • สิทธิพิเศษเมื่อเลือกจองโรงแรม สายการบิน และบัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นกับแพลตฟอร์มบริการท่องเที่ยวที่ร่วมรายการ • การใช้คะแนนสะสมแลกซื้อซิมเพื่อใช้งานที่ญี่ปุ่นในราคาพิเศษ • สิทธิพิเศษเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรที่ห้างและร้านค้าพันธมิตรที่ญี่ปุ่น และทุกยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นตามเงื่อนไข ยังสามารถสะสมยอดเพื่อรับเครดิตเงินคืน (ระยะเวลาและเงื่อนไขของแต่ละโปรโมชันขึ้นอยู่กับร้านค้าและประเภทของบัตรที่ร่วมรายการ)นอกจากนี้ เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติม ลูกค้าที่สนใจใช้บัตร Travel Card ยังสามารถเลือกใช้ Krungsri Boarding Card จากธนาคารกรุงศรีฯ ซึ่งเป็นบัตร VISA Prepaid Card Multi-Currency ที่มีกระเป๋าเงิน e-Wallet 16 สกุลเงินต่างประเทศ และ 1 Wallet สกุลเงินบาท ตอบโจทย์ในด้านความคุ้มค่าของเรทเงินและสะดวกสบายในการใช้งานอีกด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ติดตามได้จาก https://kcc.gg/sf0nขอขอบคุณข้อมูล :แคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” โดย บัตรเครดิตในเครือ กรุงศรี คอนซูมเมอร์แหล่งที่มาข่าวต้นแบบ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447551/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวทั่วไป
26/04/2024
คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่จำเป็นต้อทุกอาชีพ ไม่ว่าจะใช้ในการสื่อสาร หรือการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม การเรียนเพื่อเสริมทักษะภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด แต่ด้วยลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ที่มีเรื่องให้ทำมากมาย หลายคนอาจไม่สะดวกกับการเดินทางไปเรียนที่สถาบันสอนภาษา การเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณ นี่คือ 5 เทคนิคที่คุณสามารถนำมาใช้ในการเรียนออนไลน์ได้ แจกโพย 5 เทคนิคเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ได้ผล 1. ติดตามรายละเอียดของหลักสูตร สิ่งสำคัญประการแรกในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ประสบความสำเร็จ คือต้องรับทราบว่าก่อนว่าหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์ที่คุณเลือกจะครอบคลุมหรือเน้นในส่วนใดของการเรียนรู้ เช่น การพูด, การฟัง, การอ่าน, หรือการเขียน รวมถึงศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะเรียน เช่น การสนทนาในชีวิตประจำวัน, เรียนรู้คำศัพท์, หรือเรียนรู้เกี่ยวกับไวยากรณ์ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มเรียน 2. สร้างเป้าหมายและแผนการเรียนรู้: เทคนิคต่อมาในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ประสบความสำเร็จ คือกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการเรียนรู้ เช่น การเพิ่มความรู้คำศัพท์, การปรับปรุงการพูด, หรือการเขียนบทความภาษาอังกฤษ รวมถึงสร้างแผนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับตัวคุณเอง โดยใช้เวลาที่มีอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ 3. ใช้ทรัพยากรการเรียนออนไลน์: อีกหนึ่งเทคนิคต่อมาในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ประสบความสำเร็จ คือใช้วิดีโอ, เกม, และแบบทดสอบที่มีอยู่ในหลักสูตรเพื่อเสริมความเข้าใจของคุณในเนื้อหา และร่วมกิจกรรมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกทักษะภาษาอังกฤษ เช่น การสนทนากับผู้ชาวต่างชาติ, การอ่านหนังสือ, หรือการเขียนบทความ 4. มีการสื่อสารกับครูและเพื่อนคู่เรียน: มาต่อกันที่อีกหนึ่งเทคนิคต่อมาในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ประสบความสำเร็จ คือถามคำถามหรือข้อสงสัยต่อครูหรืออาจารย์ที่ดูแลหลักสูตร และรับคำแนะนำหรือคำชี้แจงเพิ่มเติม รวมถึงเข้าร่วมกลุ่มสนทนาหรือชุมชนการเรียนรู้ออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และเรียนรู้จากผู้อื่น 5. ปฏิบัติฝึกทักษะทุกวัน: เทคนิคสุดท้ายในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวให้ประสบความสำเร็จ คือใช้เวลาที่สะดวกสม่ำเสมอในการฝึกทักษะภาษาอังกฤษ โดยใช้เวลาสั้นๆ แต่ทำให้มั่นใจว่าคุณทำกิจกรรมฝึกภาษาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังควรใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันของคุณโดยการพูดหรือเขียน เช่น การพูดกับเพื่อน, การเขียนบันทึกบุคคล, หรือการรับชมวิดีโอภาษาอังกฤษ การใช้เทคนิคเหล่านี้ในการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับเดลินิวส์ออนไลน์https://www.dailynews.co.th/news/3159555/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
29/04/2024
เอไอเอ ประเทศไทย จัดงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2023 ในคอนเซปต์ “Infinite Inspiration ความสำเร็จสร้างแรงบันดาลใจไม่รู้จบ” เพื่อมอบรางวัลเกียรติยศให้แก่ตัวแทนยอดเยี่ยมของเอไอเอ ประเทศไทย ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศที่มอบให้แก่ผู้บริหารหน่วยและตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอที่มีผลงานเป็นเลิศ “ที่สุดแห่งปี 2566 (Of the Year 2023)” และคุณวุฒิต่าง ๆ จำนวนทั้งสิ้น 4,642 ท่าน โดยในปีนี้มีผู้พิชิตคุณวุฒิ MDRT 2024 มากถึง 3,420 ท่าน ทำให้เอไอเอ สามารถรักษาตำแหน่งอันดับ 1 บริษัทที่มีจำนวน MDRT มากที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กลุ่มบริษัทเอไอเอ เป็นบริษัทที่มีตัวแทนผู้พิชิตคุณวุฒิ MDRT มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกในปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ ความสามารถ และความมุ่งมั่นของพลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ที่ต้องการส่งมอบความคุ้มครองและความมั่นคงทางด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงินให้แก่คนไทยทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives' โดยงานมอบรางวัลได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นความภาคภูมิใจให้แก่พลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชัน ฮอลล์ 6-8 เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ที่ผ่านมาในงาน AIA Annual Agency Awards Presentation 2023 ได้รับเกียรติจาก คุณอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมาย คดีและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ขึ้นกล่าวแสดงความยินดีแก่ตัวแทนและผู้บริหารหน่วยที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากกลุ่มบริษัทเอไอเอ นำโดย ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการอิสระ กลุ่มบริษัทเอไอเอ และประธานที่ปรึกษากรรมการ เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทเอไอเอ คุณหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ คุณตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารรระดับภูมิภาค และคณะผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต ขึ้นกล่าวแสดงความยินดีและร่วมมอบรางวัลให้แก่พลังตัวแทนที่ได้รับรางวัล “ที่สุดแห่งปี 2566 (Of the Year 2023)” สำหรับตัวแทนผู้พิชิตคุณวุฒิซึ่งได้รับตำแหน่ง “ที่สุดแห่งปี 2566” ทั้งสิ้น 8 ท่าน ได้แก่ • Top District Manager Up of the Year - คุณโสภณ นันทาภรณ์ศักดิ์ ผู้จัดการภาค ทริปเปิ้ล เอ • Top Manager Up (Direct Team & IO1) of the Year - คุณปราโมทย์ ถิรมงคลชัย ผู้อำนวยการภาคอาวุโส เพชรเหรียญทอง 229 • Top Unit Manager of the Year - คุณสิทธิชัย กัลยาศิริ ผู้จัดการหน่วย นำทอง 1199 • Top New Unit Manager of the Year - คุณจักรกฤษณ์ เชาวน์เลิศเสรี ผู้จัดการหน่วย เพชรเหรียญทอง 396 เอ • Top Assistant Unit Manager of the Year - คุณปารินทร์ ดีสุขสาม ผู้จัดการหน่วย มันนีพลัส 3 • Top New Assistant Unit Manager of the Year และ Top Leader (Individual) of the Year - คุณพัชรภัคฏ์ ธนะพงศ์เพชร ผู้จัดการหน่วย เพชรเหรียญทอง 396 เวลธ์ • Top Agent of the Year - คุณเพชรรัตน์ รงค์บัญฑิต หน่วย เนอวานา • Top Agent (Cases) of the Year - คุณสุดารัตน์ ปิยขจรโรจน์ หน่วย เพชรเหรียญทอง 229คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบรางวัลให้กับกับสุดยอดพลังตัวแทนทั้ง 4,642 ท่าน ที่สามารถพิชิตรางวัลไปได้ในปีนี้ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่ได้แสดงให้เห็นตลอดปีที่ผ่านมา นำมาซึ่งความสำเร็จที่ได้รับในวันนี้ ทุกท่านเปรียบเสมือนฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ความสำเร็จ ทั้งในด้านการเติบโต และด้านการสร้างตัวแทนใหม่ พร้อมทั้งเป็นพลังขับเคลื่อนให้เอไอเอ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จสูงสุดในปี 2566 และสำหรับในปี 2567 เรายังมีเป้าหมายร่วมกัน คือสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างตัวแทนใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง อีกหนึ่งภารกิจในปีนี้คือการผลักดันให้ตัวแทนทุกท่านมีสถานะ AIA Vitality ตั้งแต่ Silver ขึ้นไป ซึ่งจะเป็นเกณฑ์การพิจารณาในการพิชิตคุณวุฒิ และรางวัลต่าง ๆ ของเราในปีนี้ด้วยเช่นกัน เพราะการสนับสนุนให้ลูกค้ามีสุขภาพที่ดีขึ้นได้นั้น ควรเริ่มต้นจากการมีสุขภาพที่ดีของตัวแทนทุกท่าน เพื่อส่งต่อการดูแลด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจให้คนไทยทั่วประเทศมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามพันธกิจของเอไอเอ ที่สำคัญผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภาพแห่งความสำเร็จในวันนี้ จะส่งต่อแรงบันดาลใจให้พลังตัวแทนออกไปส่งมอบความคุ้มครองแบบเกินร้อยไปยังลูกค้า เพื่อขับเคลื่อนให้เอไอเอ ประเทศไทย ยังคงความเป็นหนึ่ง ยืนหนึ่ง และที่หนึ่ง ตลอดไป”
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
ตามตำนานยุทธหัตถีและพระราชประวัติ "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ไปกับผลงานจิตรกรรมภายในวิหาร วัดสุวรรณดาราราม ผลงานของพระเสวกตรีพระอนุศาสน์จิตรกร ต้นแบบภาพคุ้นตาในตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทยวัดสุวรรณดาราราม อาจไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ถ้าใครได้เข้ามาแล้วจะรับรู้ได้ถึงความน่าตื่นตาของภาพจิตรกรรมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกภายในวิหาร ผลงานของ พระมหาเสวกตรีพระอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) ที่หลายคนคุ้นตาแต่อาจไม่รู้เลยว่า ภาพวาดตำนานยุทธหัตถีที่เราเห็นในตำราเรียนนั้นอยู่ภายในวัดสุวรรณดาราราม พระนครศรีอยุธยา นี่เองภายในวิหาร วัดสุวรรณดาราราม พระนครศรีอยุธยาวัดสุวรรณดาราราม เดิมชื่อว่า “วัดทอง” สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยพระชนกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หลังสร้างกรุงเทพมหานครเป็นราชธานีแล้วเสร็จทรงรวบรวมช่างฝีมือจากกรุงเก่ามาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดที่ถูกทิ้งร้างเมื่อครั้งเสียกรุงขึ้นมาใหม่ พระราชทานนามว่า วัดสุวรรณดาราราม เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระชนก (ทองดี) และพระชนนี (ดาวเรือง) นับเป็นอารามชั้นเอกของต้นราชวงศ์จักรีที่ได้รับการบูรณะและสร้างเพิ่มเติมจากพระมหากษัตริย์ตลอดมาภาพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา บริเวณเหนือขอบประตูด้านหน้าของพระประธานสำหรับภาพจิตรกรรมภายในวิหารที่กลายมาเป็นต้นแบบของตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยนั้น เป็นผลงานของ พระมหาเสวกตรีพระอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) ผู้มีฝีมือในศิลปะทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นช่างภาพ (ได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการร้านถ่ายรูปฉายานรสิงห์ ร้านถ่ายรูปหลวง) นักออกแบบฉาก เครื่องแต่งกาย รวมไปถึงช่างแต่งหน้าละครหากงานที่เชี่ยวชาญมาก คือ การเป็นช่างเขียนภาพ มีผลงานเป็นที่พอพระราชหฤทัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลให้ว่า “จิตรกร”จิตรกรรมด้านบนแสดงภาพเทพชุมนุม ระหว่างช่องหน้าต่างแสดงภาพพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตามประวัติพระอนุศาสน์จิตรกรที่ปรากฏในหนังสือ “เที่ยวนครวัด นครธม เมื่อพ.ศ.2467” กล่าวถึงผลงานจิตรกรรมภายในวิหารวัดสุวรรณดารารามว่า เป็นงานที่สร้างขึ้นระหว่างปีพ.ศ. 2473- 2474 ขณะอายุ 59 ปี ความว่า“พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้ไปเขียนภาพประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ การกู้อิสรภาพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช งานนี้ต้องใช้ความอุตสาหะในการค้นคว้าหาหลักฐาน เขียนตามความนึกคิดของท่านเองที่ได้เค้ามาจากประวัติศาสตร์เมื่อร่างแบบเขียนตอนใดก็นำไปถวายหารือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เพื่อทรงพิจารณาก่อนนำไปเขียนทุกครั้งดังนั้นงานชิ้นนี้จึงนับได้ว่ามีความสมบูรณ์และใกล้เคียงประวัติศาสตร์มากที่สุด และเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานซองบุหรี่ทองคำลงพระปรมาภิไธยเป็นรางวัล”ภาพเทพชุมนุมแบบดั้งเดิมภายในโบสถ์ วัดสุวรรณดารารามภาพเทพชุมนุมภายในวิหารวัดสุวรรณดารารามมีลักษณะผสมผสานระหว่างบุคคลจริงกับอุดมคตินอกจากเนื้อหาของภาพจิตรกรรมในวิหารที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชาดก มาเป็นพระราชประวัติของพระมหากษัตริย์แล้วเทคนิคในการเขียนภาพก็มีความแตกต่างไปจากขนบเดิม เช่น การใช้สีน้ำมันแทนสีฝุ่น การนำเทคนิคการเขียนภาพแบบตะวันตกที่มีระยะใกล้ไกล ภาพบุคคลมีกล้ามเนื้อแบบกายวิภาคดังจะเห็นได้จากภาพเทพชุมนุมที่อยู่ทางด้านบน ที่มีรูปลักษณ์ผสมผสานระหว่างบุคคลจริงกับอุดมคติได้อย่างลงตัว ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกราวกับกำลังล่องลอยเคลื่อนไหวอยู่บนก้อนเมฆและท้องฟ้าพระสยามเทวาธิราชทูลอัญเชิญพระอิศวรแบ่งภาคลงมาอุบัติลงบนโลกมนุษย์ในขณะที่ภาพพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่อยู่ทางตอนล่างมีการแบ่งเนื้อหารวม 20 ตอน แต่ละตอนมีอักษรเขียนอธิบายเหตุการณ์สั้นๆไว้ที่ใต้ภาพเริ่มตั้งแต่ภาพที่ 1 (มุมด้านซ้ายมือของพระประธาน) พระสยามเทวาธิราชทูลอัญเชิญพระอิศวรแบ่งภาคลงมาอุบัติลงบนโลกมนุษย์ หมายถึงการจุติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไล่เรียงเหตุการณ์ ไปจนเสด็จสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรชนไก่กับมังสามเกียดโดยมีเหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ ภาพสมเด็จพระนเรศวรชนไก่กับมังสามเกียด (พระมหาอุปราชา) ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง พ.ศ.2127 พิธีดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระอจนะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิภายในวัดศรีชุม จ.สุโขทัย ภาพทรงคาบพระแสงดาบปีนค่ายพม่าอันเป็นที่มาของพระแสงดาบคาบค่าย เป็นต้นภาพจิตรกรรมสงครามยุทธหัตถี วาดด้วยสีน้ำมัน ผลงานพระเสวกตรีพระอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) คุณตาของอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชสำหรับภาพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ซึ่งถือได้ว่ามีความสำคัญที่สุด จะอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับพระประธาน ในภาพนี้เราจะได้เห็นเหตุการณ์ขณะเท้าหลังของเจ้าพระยาไชยานุภาพช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยันตอต้นพุทราไว้ทำให้มีหลักมั่นคง มีกำลังแรงเสยพลายพัทกอช้างทรงของพระมหาอุปราชาถนัดทำให้สมเด็จพระนเรศวรได้จังหวะจ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาที่ไหล่ขวาขาดจนสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง ตรงตามตำราที่ได้ร่ำเรียนมาไม่ผิดเพี้ยนภาพทรงคาบพระแสงดาบปีนค่ายพม่าอันเป็นที่มาของพระแสงดาบคาบค่ายพระเสวกตรีพระยาอนุศาสน์จิตรกรใช้เวลา 2 ปีเต็มในการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมที่แสดงให้เห็นพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจสำคัญของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในเทคนิคแบบตะวันตกที่ทำให้เราได้เห็นภาพเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างแจ่มชัด มีลักษณะเหมือนจริง มีระยะใกล้ไกล มีต้นไม้และท้องฟ้าที่ดูเหมือนธรรมชาติ บุคคลมีกล้ามเนื้อเหมือนคนจริงๆ และนำสีน้ำมันมาใช้แทนสีฝุ่นแบบดั้งเดิมกล่าวได้ว่าเป็นงานที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น และยังคงสืบทอดความงดงามอลังการมาจนถึงยุคนี้ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้อิสรภาพของไทย เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 25 เมษายน 2567ภาพ : สุธี - ลักขณา คุณาวิชยานนท์ • อ้างอิง : “เที่ยวนครวัด นครธม เมื่อพ.ศ.2467” โดย พระยาอนุศาสน์จิตรกร , ภริยาและบุตร จัดพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระเสวกตรีพระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม พ.ศ.2493 • “จิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารวัดสุวรรณดาราราม” โดย วาสนา พบลาภ,สารนิพนธ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย ม.ศิลปากร • “แนวคิดการออกแบบจิตรกรรมเทพชุมนุม ฝีมือ พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) ในพระวิหารหลวงวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร” โดย ธนากร เพ็ญพาด ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย ม.ศิลปากรแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1123614
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
ไปชมวิวอาทิตย์ตกดินท่ามกลางทุ่งดอกหญ้าแบบ 360 องศาที่ ดอยบ่าโจ๊ะโข้ว ที่เที่ยวเชียงใหม่ แสนสวยสะกดตา น่าประทับใจสุดๆ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว เพราะจะมีทะเลหมอกสีขาวมาเติมแต่งให้ทัศนียภาพตรงหน้าดูอลังขึ้นไปอีก หนาวนี้ต้องไม่พลาด ปักหมุดเอาไว้เลย~ดอยบ่าโจ๊ะโข่ว ขุนแปะที่เที่ยวเชียงใหม่ ถ่ายรูปสวยทำความรู้จักกับ ดอยบ่าโจ๊ะโข้วดอยบ่าโจ๊ะโข้ว หรือในภาษากระเหรี่ยงแปลว่า "ภูเขาของกระรอก" เป็นที่เที่ยวลับซึ่งแอบซ่อนอยู่ใน บ้านขุนแปะ ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หลายคนอาจยังไม่คุ้นหูกับสถานที่แห่งนี้มากนัก แต่กลับแฝงไปด้วยธรรมชาติงดงามแบบเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็นอาทิตย์ตกดิน ทุ่งดอกหญ้าสีทอง และทุ่งกะหล่ำปลี เป็นจุดชมวิวสุด Unseen ที่คนรักธรรมชาติและความเงียบสงบจะต้องลุยขึ้นเขาไปสักหน่อยเพื่อให้ถึงที่หมายค่ะไฮไลท์ ดอยบ่าโจ๊ะโข้วเมื่อพูดถึงไฮไลท์ของดอยบ่าโจ๊ะโข้วแล้ว สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ วิวของอาทิตย์อัสดงในยามเย็นที่สาดส่องไปทั่วทั้งเนินเขา รวมถึงทุ่งดอกหญ้าที่ส่องประกายจนกลายเป็นสีทอง เข้ากับแสงสีส้มบนท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี แถมยังสามารถมองเห็นได้กว้างไกลถึง 360 องศา เรียกว่าเป็นการชมวิวสวยแบบไม่มีอะไรมากั้นเลยและในช่วงปลายฝนต้นหนาว-ฤดูหนาว จะเป็นช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การไปเที่ยวดอยบ่าโจ๊ะโข้วเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ชมอาทิตย์ตกดินแล้ว ในยามเช้ายังมีทะเลหมอกสียาวไหลปกคลุมขุนเขาไปทั่วบริเวณ พร้อมกับวิวอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า สวยอลังทั้งยามเช้าและยามเย็น แถมยังมีทุ่งกระหล่ำปลีสีเขียวที่ตัดกับท้องฟ้าสีครามอีกด้วย มีจุดเช็กอินเจ๋งๆ เยอะเกินคาดมากเป็นยังไงกันบ้างคะกับดอยบ่าโจ๊ะโข่ว เป็นสถานที่สุด Unseen ที่มีเสน่ห์สุดๆ ไปเลยใช่มั้ยล่ะคะ แม้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เดินทางไปยากลำบากสักหน่อย แต่ถ้ามีโอกาสได้ไปเยือนแล้วจะต้องตกหลุมรักที่นี่ได้ไม่ยากเลยค่ะข้อมูล ดอยบ่าโจ๊ะโข้ว เชียงใหม่ • ที่อยู่ : ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://goo.gl/maps/ftKUzNw7xSoHmBop8 • เปิดให้เข้าชม : สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งวัน • โทร : - • เว็บไซต์ : -แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ trueidhttps://travel.trueid.net/detail/J3em8pQBbjQ3
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ธุรกิจ
25/04/2024
แนวทางการเติบโตในโลกการทำงานยุคใหม่คงมีวิถีทางคล้ายกันแทบทุกองค์กร เมื่อเริ่มงานในตำแหน่งระดับปฏิบัติการสักระยะ หากผลงานดีจนเป็นที่ประจักษ์ นอกจากฐานเงินเดือนและเงินโบนัสที่ปรับตามเพอฟอร์แมนซ์แล้ว ‘ตำแหน่งงาน’ ก็เป็นอีกหัวโขนสำคัญที่หลายคนพึงปรารถนา และมองว่า เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการเติบโต และความสามารถบนเส้นทางอาชีพให้กับตนเองได้ ไม่ว่าความปรารถนานั้นจะมาจากปณิธานมุ่งหมายส่วนตัว สังคมพร่ำบอก หรือองค์กรให้คุณค่า สิ่งหนึ่งที่ถูกพร่าเลือนจนหลายครั้งก็สร้างผลกระทบให้กับหลายฝ่าย คือในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นหัวหน้าหรือขึ้นสู่ตำแหน่งระดับบริหารได้ หลายครั้งที่การวาง ‘Career path’ ในองค์กร มีแรงจูงใจให้พนักงานเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยเงินเดือนที่สูงขึ้นจากการปรับเพิ่มตำแหน่งงานและความรับผิดชอบใหม่ๆ ทำให้บางครั้ง ‘คนเก่ง’ เหล่านั้น ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานจากเดิมไปโดยสิ้นเชิงแบบไม่ทันตั้งตัว ‘ปีเตอร์ เพทราเลีย’ (Peter Petralia) พาร์ทเนอร์ และที่ปรึกษาทางการตลาด ‘Modern Craft’ บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด ประเทศแคนาดา ให้ความเห็นกับเรื่องนี้ไว้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่องค์กรต้องพึงระลึกไว้เสมอ คือการที่คนคนหนึ่งทำงานในทักษะเฉพาะด้านได้ดี ไม่ได้แปลว่า เขาหรือเธอจะเป็น ‘Manager’ หรือหัวหน้างานที่ดีได้ การปรับย้ายคนทำงานเข้าสู่ส่วนงานที่ต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการ จำเป็นต้องมีคุณลักษณะหรือบุคลิกภาพเฉพาะด้าน การเทรนนิ่งคนเหล่านี้ก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเป็น ‘หัวหน้า’ ไม่ได้ทำงานตามสัญชาตญาณได้เสมอไป [ อย่าทำให้พนักงานล้มเหลว องค์กรต้องมีทางเลือกสำรองให้คนทำงาน ] ‘เพทราเลีย’ ยกตัวอย่างกรณีคนทำงานที่เก่งและมีความสามารถอันน่าทึ่งมากมายที่เขาเคยเจอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปด้วยอายุงานและเวลาอันเหมาะสม คนเหล่านี้ก็มักจะถูกโปรโมต-เลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งงานที่ใหญ่ขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น สิ่งที่เขาค้นพบ คือหลายคนตกอยู่ในภาวะ ‘Underperformance’ ไม่ใช่คนเก่งแบบที่เคยเป็นอีกแล้ว เนื่องจากขนบการทำงานที่เชื่อว่า ต้องมีการเติบโตในเชิงตำแหน่งงานที่สูงขึ้น ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในระดับนโยบายเท่านั้น แต่ยังฝังรากลึกลงไปในความเชื่อของคนรอบข้าง เพื่อนร่วมงานจะยกย่อง-ชื่นชมเมื่อคุณขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร แม้ว่าลึกๆ จะตระหนักดีว่า ตนเองยังไม่พร้อม และไม่ถนัดกับงานเชิง ‘Management’ เอาเสียเลย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรับข้อเสนอไป ‘เพรทาเลีย’ ให้ความเห็นว่า คนทำงานต้องกลับมาตกผลึกกับความต้องการของตนเองก่อนว่า เราอยากเติบโตแบบไหน ถ้างานบริหารไม่ใช่เส้นทางที่ต้องการ ลองดูว่า องค์กรมีพื้นที่อื่นๆ สำหรับความเชี่ยวชาญของคุณอีกหรือไม่ หรือหากต้องการโตในสาย ‘Management’ แต่ยังไม่มีทักษะ องค์กรสามารถโค้ชชิ่งให้พนักงานได้รึเปล่า หากไม่มีทั้งสองทางให้เลือก นั่นอาจหมายความว่า บริษัทกำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พนักงานล้มเหลว การเติบโตจากตำแหน่งปฏิบัติการไปสู่ตำแหน่งงานที่ต้องใช้ทักษะการจัดการ และทักษะอื่นๆ ในการทำงานเป็นทีมเป็นส่วนประกอบที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน เมื่อองค์กรเล็งเห็นว่า พนักงานมีศักยภาพ ควรพูดคุยปรึกษาหารือกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย หากพนักงานยังไม่มีทักษะในการเป็นหัวหน้า องค์กรต้องเป็นคนเสนอสิ่งเหล่านั้นให้เขาได้เรียนรู้เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นวิธีการจัดลำดับความสำคัญ ทักษะการสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูง เทคนิคการจัดการความเครียด วิธีกระตุ้นให้พนักงานมีส่วนร่วม เป็นต้น [ สร้าง Career path ต้องยึดจากความสามารถ ไม่ใช่ตำแหน่งงานเดิม ] อาจฟังดูเป็นเรื่องใหม่สักหน่อย เพราะส่วนใหญ่แล้วการปรับตำแหน่งมักยึดจากหน้าที่เดิมเป็นหลัก ทว่า ผู้เชี่ยวชาญกลับมองต่างออกไป ‘เพรทาเลีย’ เสนอว่า ให้กำหนดหน้าที่จากความถนัดของคนทำงานดูก่อน เพื่อจะได้เห็นว่า เขาหรือเธอมีทักษะใดที่ต้องเติมเต็ม พูดง่ายๆ ก็คือ ชูจุดแข็งของคนทำงานเข้าไว้ เพื่อจะได้เห็น ‘จุดอ่อน’ ที่ไม่มีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และตัวองค์กรเองนี่แหละที่ต้องเข้าไปสนับสนุน-อุดรอยรั่วเหล่านั้น เมื่อเป็นแบบนี้คนทำงานเองก็จะรู้สึกว่า องค์กรมีส่วนในการสนับสนุนการทำงานของพวกเขา ไม่ได้ปล่อยให้เผชิญกับการทำงานในพื้นที่ใหม่ๆ เพียงลำพัง และที่สำคัญที่สุด คือลูกน้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหัวหน้ามือใหม่เหล่านี้ ที่ไม่ต้องรับหน้าที่ ‘เดอะแบก’ จนหนักเกินไป เพราะหัวหน้าเองก็ผ่านการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นมาบ้างแล้ว ทั้งยังมีประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปีช่วยให้การทำงานในทีมกลมกล่อมยิ่งขึ้น [ เก่งแบบกูรู ≠ เก่งในการบริหารทีม ] ด้าน ‘ไรอัน โฮล์มส์’ (Ryan Holmes) ผู้บริหาร ‘Hootsuite’ บริษัทซอฟต์แวร์ด้าน AdTech ก็มีความเห็นไปในทิศทางคล้ายกัน เขาระบุว่า องค์กรส่วนใหญ่ยังคงวางเส้นทางการเติบโตให้พนักงานผ่านบทบาทของการเป็นผู้บริหาร ทั้งค่าตอบแทนและการยอมรับในองค์กรล้วนเชื่อมโยงกับการรับหน้าที่บริหารทีมทั้งสิ้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วชุดทักษะวิชาบริหารเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่ใ่ช่ทุกคนจะมีสิ่งนี้ และไม่ใช่ทุกคนที่ต้องเร่งพัฒนามัน สิ่งที่ขาดหายไป คือ ‘Guru track’ หรือเส้นทางเฉพาะด้านของคนทำงานแบบ ‘Specialist’ สำหรับ ‘โฮล์มส์’ แล้ว พนักงานที่มีความสามารถเฉพาะด้านแบบลงลึก เปรียบเสมือน ‘นักแสดง’ ยอดเยี่ยมที่ไม่ได้มีความกระตือรือร้นในการจัดการผู้คนหากแต่พวกเขาเหล่านี้ คือผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้อันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังสามารถทำงานในขอบเขตหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แม้ไม่ได้เป็นผู้นำโดยตำแหน่ง แต่ความเก่งเฉพาะตัวแบบนี้นี่แหละที่ทำให้ ‘Specialist’ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนร่วมงานผ่านวิธีการทำงานของตนเอง มากกว่าการส่งทอดผ่านคำสั่งอย่างที่คนระดับบริหารทำกัน ฉะนั้น ความก้าวหน้าบนเส้นทาง ‘Guru track’ จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน พวกเขาเหล่านี้ ‘เลื่อนขั้น’ ในองค์กรผ่านวิธีการเฉพาะตัวรูปแบบอื่นๆ แทน อาจจะเป็นการได้รับมอบหมายให้ดูแลเมกะโปรเจกต์ ได้ทำงานกับฝ่ายอื่นๆ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา ให้คำปรึกษากับคนทำงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้เป็นอย่างดี และอาจได้รับเลือกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นๆ หากใครต้องการปรึกษาเรื่องนี้ ต้องเป็นคนคนนี้เท่านั้นที่ให้คำแนะนำได้แหลมคมที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ‘Win-win’ ทั้งสองฝ่าย พนักงานที่ทำได้ดีอยู่แล้วก็ลึกซึ้งกับเนื้องานมากขึ้น ได้รับคำตอบเรื่องเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจนซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานความถนัดแบบที่ไม่ได้ ‘ถูกบีบ’ ให้เติบโตตามขนบ ส่วนองค์กรเองก็เพิ่มโอกาสในการรักษาคนมีความสามารถไว้ได้ หัวใจสำคัญของเรื่องนี้ คือการเปิดโอกาสให้คนทำงานได้มีส่วนร่วมกับเส้นทางของตัวเอง ให้เขาได้เป็น ‘Owner’ ไม่ใช่ถูกมอบหมาย ‘ให้ทำ’ แต่เกิดขึ้นเพราะเขา ‘อยากทำ’ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับเวิร์คพอยท์ทูเดย์ https://workpointtoday.com/not-everyone-can-be-a-leader/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
ฮ่องกงจัดนิทรรศการ "A Path to Glory – Jin Yong’s Centennial Memorial" รำลึก 100 ปี กิมย้ง พร้อมผสานเทคโนโลยี AR เชื่อมต่อโลกจริงเข้ากับโลกเสมือน โชว์เส้นทางสู่ความรุ่งโรจน์แห่งยุทธภพมังกรหยก“ที่ไหนมีคนจีน ที่นั่นย่อมมีโลกแห่ง “อู่เสีย” (Wuxia) ของกิมย้ง” นับเป็นประโยคกล่าวที่สรรเสริญความยิ่งใหญ่ของกิมย้งได้เป็นอย่างดี และในปี 2567 นี้ ถือเป็นปีที่นักเขียนชื่อดังระดับตำนานในวงการนิยายจีน “กิมย้ง (ดร.หลุยส์ ชา)” มีอายุครบ 100 ปี โดยตลอดชีวิตที่ผ่านมา กิมย้งได้จรดปลายปากการังสรรค์นิยายจีนกำลังภายในรวมทั้งหมด 15 เรื่อง และให้กำเนิดตัวละครมามากกว่า 1,400 ตัวผลงานอันโดดเด่นของเขามียอดจำหน่ายมากกว่า 100 ล้านเล่มทั่วโลก และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ กว่า 14 ภาษา ด้วยความลึกซึ้งในแง่ของคุณค่าด้านมนุษยนิยม สังคม และศิลปะ นิยายของเขาจึงไม่เพียงดึงดูดใจนักอ่านเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลสั่นสะเทือนวงการวรรณกรรมทั่วโลกอีกด้วย ด้วยเหตุผลเช่นนี้เอง ผลงานของกิมย้งจึงขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในงานวรรณกรรมคลาสสิกของทั้งจีนและประเทศต่างๆ ทั่วโลกนิทรรศการ "A Path to Glory - Jin Yong's Centennial Memorial” ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนอีเวนต์ศิลปะและวัฒนธรรมขนาดใหญ่ของฮ่องกง (Hong Kong Mega Arts and Cultural Events Fund), การท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board) และ กรมสันทนาการเเละวัฒนธรรม (Lisure and Cultural Services Department)ฮ่องกงคือบ้านเกิดของ “อู่เสีย” (Wuxia)” ผลงานการประพันธ์ของกิมย้งและเป็นแหล่งที่ผสานรวมวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก โดยนิทรรศการยาวหกเดือนนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ "ผู้ที่มีจิตใจกล้าหาญ" ทุกคนได้หวนคำนึงถึงศิลปะการต่อสู้แบบคลาสสิกและร่วมรำลึกถึงผลงานอันเป็นอมตะเนื่องในโอกาสครบรอบหนึ่งร้อยปีของกิมย้งโดยอีเวนต์ดังกล่าวประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์ และ การนิทรรศการศิลปะสาธารณะ เพื่อนำเสนออีเวนต์ทั่วฮ่องกงในแนวคิดเชิงวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับกิมย้ง ผ่านการผสมผสานของสื่อหลายรูปแบบ ทั้ง นักแสดงท้องถิ่น, ประสบการณ์ศิลปะดิจิทัลเสมือนจริง, รูปปั้น, ภาพวาด, งานออกแบบตัวอักษร (Calligraphy), งานออกแบบ, ภาพยนตร์, สื่อบันเทิงทางโทรทัศน์ และดนตรีนิทรรศการ "A Path to Glory - Jin Yong's Centennial Memorial • The World of Wuxia" จะจัดขึ้นที่ Edinburgh Place ในย่านเซ็นทรัล ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม ถึง 2 กรกฎาคม 2567 ผู้สนใจสามารถเข้าชมงานได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย โดยมีการจัดแสดงหุ่นรูปปั้นตัวละครของกิมย้ง 10 ตัว จากฝีมือการสร้างสรรค์ของประติมากร Ren Zhe ซึ่งตัวละครทั้งสิบที่จะนำมาจัดแสดง ประกอบไปด้วย เซียวเหล่งนึ่ง, เอี๊ยก้วย, ก๊วยเจ๋ง, เจงกิสข่าน, ราชครูจักรทอง, จิวแป๊ะทง, อ้วนง้วนอั้งเลียก, แม่ชีมิกจ้อ, Hu Fei, และ Fan Yaoนอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงกระโจมแบบมองโกเลียที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่อง มังกรหยก หยกก๊าหว่า (The Eagle-shooting Heroes) ซึ่งจะเปิดให้ผู้เข้าชมได้เข้าไปดื่มด่ำประสบการณ์แบบอิมเมอร์ซีฟ รับฟังเรื่องราวผ่านเครื่องบรรยายหลายภาษาและเทคโนโลยี AR ที่ผสานโลกแห่งความจริงเข้ากับโลกเสมือนจริงสถานที่แห่งนี้จะนำฉากและเครื่องแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวละครในนิยายมาบอกเล่าใหม่ให้เห็นภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่จะปลุกความทรงจำที่ทุกคนมีร่วมกันเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ถ่ายภาพเก็บความทรงจำ เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ทางศิลปะและวัฒนธรรมแบบอินเทอร์แอคทีฟขณะที่นิทรรศการ "A Path to Glory – Jin Yong's Centennial Memorial, Sculpted by Ren Zhe" จะเปิดตัวที่พิพิธภัณฑ์ Hong Kong Heritage Museum ในเมืองซาถิ่นในวันที่ 15 มีนาคม 2567 และจะเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมฟรีตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคมถึง 7 ตุลาคม 2567 นี้โดยภายในงานจะมีการจัดแสดงหุ่นรูปปั้นตัวละครจากผลงาน 5 เรื่องของกิมย้ง 22 ตัว ซึ่งรังสรรค์โดยประติมากร Ren Zhe ประกอบไปด้วย Xiaolongnu จากลูกมังกรหยก วีรบุรุษจ้าวอินทรี (The Giant Eagle and its Companion) Guo Jing, Huang Rong, Ouyang Feng, Wang Chongyang, Hong Qigong, Yi Deng และ Huang Yaoshi จาก มังกรหยก หยกก๊าหว่า (The Eagle-shooting Heroes) Dongfang Bubai, Ren Woxing, Linghu Chong, Ren Yingying and Feng Qingyang จากกระบี่เย้ยยุทธจักร (The Smiling) Proud Wanderer Zhang Wuji และ The Four Guardian Kings – Golden-haired Lion King, Purple Robe Dragon King, White-browed Eagle King และ Green-winged Bat King จากดาบมังกรหยก (The Heaven Sword and the Dragon Sabre) และ Xiao Feng, Xu Zhu and Duan Yu จากแปดเทพอสูรมังกรฟ้า (The Demi-Gods and the Semi-Devils)ตารางอีเวนต์ในนิทรรศการ "A Path to Glory – Jin Yong's Centennial Memorial" • นิทรรศการ "A Path to Glory - Jin Yong's Centennial Memorial • The World of Wuxia" • วันที่: 15 มีนาคม – 2 กรกฏาคม 2567 (ปิดให้บริการทุกวันจันทร์ ยกเว้นตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์) • สถานที่: Edinburg Place ย่านเซ็นทรัล • เวลา: 10.00 – 22.00 นาฬิกา • เข้าชมฟรี • นิทรรศการ "A Path to Glory – Jin Yong's Centennial Memorial, Sculpted by Ren Zhe" • วันที่: 16 มีนาคม – 7 ตุลาคม 2567 (ปิดให้บริการทุกวันอังคาร ยกเว้นตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์) • สถานที่: Hong Kong Heritage Museum ย่านซ่าถิ่น • เวลา: 10.00 – 18.00 น. (วันจันทร์/พุธ/ศุกร์) และ 10.00 – 19.00 น. (วันเสาร์/อาทิตย์/วันหยุดนักขัตฤกษ์) • เข้าชมฟรีแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์https://www.posttoday.com/smart-life/707702
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
25/04/2024
จากประเด็นดราม่าร้อนแรงที่เป็นกระแสดังไปทั่วทุกหย่อมหญ้า กรณีของช่องยูทูบท่องเที่ยวชื่อดังและ 2 ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลี “คัลแลน พี่จอง” ที่ถูกจุดประเด็นขึ้นมา เพราะในทริปเที่ยวคลิปชุมพร Day 3 ที่มีผู้หญิงคนหนึ่ง “อ้างว่า” ตนเองประกอบวิชาชีพมัคคุเทศก์ (ไกด์) แต่กลับประพฤติตนไม่เหมาะสมกับลูกทัวร์ ไม่เคารพความเป็นส่วนตัวของลูกทัวร์ และไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับอาชีพที่ตนเองแอบอ้าง จนกลายเป็นเรื่องดราม่าใหญ่โตถึงขนาดที่ผู้ใหญ่ในหน่วยงานระดับกรมการท่องเที่ยว ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องออกมาทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ประเด็นดราม่ามันคลี่คลายการเคลื่อนไหวของผู้ใหญ่ระดับกรมการท่องเที่ยว ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทำให้เห็นเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ มันไม่ใช่แค่ประเด็นผิวเผินอย่างที่คนบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันแรก ๆ ว่าดราม่านี้เกิดขึ้นเพราะแฟนคลับผู้หญิงของหนุ่ม ๆ ไม่พอใจที่มัคคุเทศก์สาว (ที่ค่อนข้างหน้าตาดี) ทำตัวใกล้ชิดกับผู้ชายมีชื่อเสียงที่ตนเองติดตามอยู่ หรือสุมดราม่าเพราะอิจฉาที่ผู้หญิงคนในคลิปได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับคัลแลนพี่จอง และแสดงออกต่อกล้องที่ตามถ่ายอยู่จนเกินงาม ทว่าเรื่องมันใหญ่กว่านั้นหลายเท่า และถ้าได้ติดตามข่าวล่าสุด จะพบว่ามันบานปลายถึงขนาดที่กรมการท่องเที่ยว เตรียมเอาผิดกับบริษัททัวร์-ไกด์เถื่อน ที่เกี่ยวข้องกับดราม่าดังกล่าวเพราะเมื่อหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมธุรกิจทัวร์และมัคคุเทศก์อย่างกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้สืบสาวราวเรื่องจากกระแสดราม่าที่เกิดขึ้นแล้ว พบว่ามีความผิดเกิดขึ้นจริง คือ บริษัททัวร์ที่นำเที่ยวในรายการดังกล่าว ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวหมดอายุตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. 2566 ซึ่งตามกฎหมาย เมื่อใบอนุญาตหมดอายุ ก็ต้องทำการต่อใบอนุญาตให้ถูกต้องก่อนถึงจะดำเนินธุรกิจต่อได้ มิเช่นนั้น สถานะก็มิได้ต่างอะไรกับบริษัททัวร์เถื่อน และที่สำคัญก็คือ ผู้หญิงที่อ้างตัวว่าทำหน้าที่มัคคุเทศก์ตามที่ปรากฏในข่าวนั้น ก็ไม่มีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ด้วย นี่จึงเป็นอีกประเด็นใหญ่ที่เอฟเฟกต์สะเทือนไปทั้งวงการไกด์นำเที่ยวที่จำนวนหนึ่งกำลัง “ทำผิดกฎหมาย”ดราม่าดังกล่าวจะไม่เกิดเลย หากผู้หญิงคนที่แอบอ้างตัวว่าตนเองเป็นไกด์หรือมัคคุเทศก์ในทริปเที่ยวของช่องยูทูบตามดราม่านั้น มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะมาแอบอ้างตัวว่าเป็นไกด์ได้ง่าย ๆ แบบนี้ เพราะมัคคุเทศก์เป็นอาชีพที่ถูกระบุเรื่องข้อปฏิบัติและข้อห้ามในเวลาปฏิบัติงานเอาไว้อย่างชัดเจน ตามกฎหมายที่เรียกว่า พระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ดังนั้น มัคคุเทศก์ทุกคนที่มีใบอนุญาตถูกต้อง จะต้องรู้เรื่องนี้ว่ามันเป็นความผิดร้ายแรงแค่ไหน และคงไม่มีใครจะกล้าเอาหน้าที่การงานของตนเองไปแลก ด้วยรู้ว่ามันผิดกฎหมาย เพียงเพื่อจะสนองความต้องการตนเองที่อยากใกล้ชิดลูกทัวร์คนดัง ที่ตนชื่นชอบเป็นการส่วนตัวหากเป็นมัคคุเทศก์ตัวจริง ต่อให้ชื่นชอบลูกทัวร์คนดังเป็นการส่วนตัว แต่เรื่องส่วนตัวจะต้องถูกแยกออกอย่างเด็ดขาดกับเรื่องงาน ว่าในขณะนี้ตนเองกำลังปฏิบัตหน้าที่อยู่ และกำลังสวมหัวโขนในฐานะไกด์นำเที่ยว ที่ไม่สามารถแสดงถึง “ความไม่เป็นมืออาชีพ” ออกไปได้ แต่เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของผู้หญิงคนดังกล่าวจากในคลิป จะพบว่าเธอทำเรื่องผิดจรรยาบรรณ ผิดมารยาท ผิดข้อปฏิบัติของคนที่ต้องผ่านการอบรมและการสอบ ถึงจะได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพนี้ได้ “อย่างถูกกฎหมาย” โดยสิ้นเชิง เป็นตัวของตัวเองมากจนเหมือนไม่รู้มาก่อนเลยว่าอะไรที่ทำได้และอะไรที่ทำไม่ได้ ซึ่งผิดวิสัยคนเป็นมัคคุเทศก์ ที่ต้องรู้ว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่คุ้มที่จะแลกกับหน้าที่การงานของตัวเองไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเป็น “มัคคุเทศก์”ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกันก่อน ว่าอาชีพไกด์หรือมัคคุเทศก์นี้ทำงานเกี่ยวกับอะไร มัคคุเทศก์ ไม่ใช่แค่คนที่เดินนำหน้ากลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวหลงทางเวลาที่เดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ แต่คือผู้ที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวหรือสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่ข้อมูลเหล่านั้นมักเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิต ฯลฯดังนั้น ผู้ที่ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในระดับที่เชี่ยวชาญ มีความสามารถในการสื่อสารและถ่ายทอดข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งต้องระมัดระวังเรื่องความถูกต้องเป็นอย่างมาก เพราะการให้ข้อมูลดังกล่าวจะเปรียบเสมือนการเผยแพร่วัฒนธรรมอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ยังต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการกลุ่มลูกทัวร์ การให้บริการด้วยใจรัก การเอื้อเฟื้อ ความกระตือรือร้น ความอดทน การเป็นผู้นำ การเป็นแบบอย่างที่ดี และที่สำคัญ คือการรักษามารยาทต่อลูกทัวร์ของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นการให้เกียรติทั้งลูกค้าและอาชีพของตนเองอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเป็นมัคคุเทศก์ได้ อาชีพมัคคุเทศก์หรือไกด์นำเที่ยวนี้ ไม่ใช่นึกว่าอยากเป็นก็เดินมาเป็นได้เลย หรืออยากจะอ้างตัวว่าเป็นไกด์ก็เป็นได้เลยทันที แบบคุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้เหมือนพนักงานบริษัททั่วไป เพราะมันไม่ใช่แค่ความเสี่ยงเรื่องไม่มืออาชีพ เรื่องความน่าเชื่อถือ แบบปัญหาดราม่าเรื่องพฤติกรรมและมารยาทที่พึงปฏิบัติต่อลูกทัวร์แบบที่เป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่เท่านั้น แต่ความผิดร้ายแรงที่สุดที่อาจเกิดขึ้นคือ เข้าข่าย “กระทำผิดกฎหมาย” ซึ่งอาจมีทั้งโทษทางปกครองและโทษทางอาญา เลวร้ายถึงขั้นถูกเพิกถอนใบอนุญาตนำเที่ยวและใบอนุญาตประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ หรือรับโทษจำโทษปรับตามความผิดได้เลยทีเดียวตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 มีบทบัญญัติในการควบคุมมัคคุเทศก์ ในเรื่องของคุณสมบัติและเงื่อนไขในการประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ ประเภทของมัคคุเทศก์ การขอใบอนุญาตประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ หน้าที่ของมัคคุเทศก์โดยละเอียด รวมถึงมีการกำหนดบทลงโทษ ทั้งทางปกครองและทางอาญา เมื่อมัคคุเทศก์กระทำความผิดเริ่มตั้งแต่การแบ่งประเภทของมัคคุเทศก์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ มัคคุเทศก์ทั่วไป (มี 2 ประเภทย่อย) และมัคคุเทศก์เฉพาะ (มี 8 ประเภทย่อย) ที่จะเป็นตัวกำหนดว่าสามารถนำเที่ยวให้นักท่องเที่ยวประเภทไหนได้บ้าง นำเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวประเภทไหนได้บ้าง และนำเที่ยวในพื้นที่ไหนได้บ้าง ซึ่งมัคคุเทศก์แต่ละประเภทก็จะต้อง “มีใบอนุญาตการเป็นมัคคุเทศก์” ที่แตกต่างกันออกไป โดยใบอนุญาตดังกล่าวได้มาจากการยื่นคำขอเข้ารับการอบรมและทดสอบความรู้ความสามารถ เมื่อใบอนุญาตใกล้หมดอายุ (5 ปี) ก็ต้องยื่นคำขอต่อใบอนุญาตภายใน 120 วันก่อนวันที่ใบอนุญาตสิ้นอายุ ต้องอบรมใหม่สอบใหม่ส่วนเรื่องหน้าที่ของมัคคุเทศก์ ตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ได้ “กำหนด” หน้าที่ของมัคคุเทศก์เอาไว้หลายข้อทีเดียวว่า “ต้องทำ” อะไรบ้าง และ “ห้ามทำ” อะไรบ้าง ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ที่กฎหมายกำหนดไว้ เรื่องของการทำหน้าที่ ความประพฤติ การแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อยตามกาลเทศะ การห้อยบัตรประจำตัวมัคคุเทศก์ตลอดเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องมีใบสั่งงาน ฯลฯ หากไม่ปฏิบัติตามที่กำหนดก็จะมีบทลงโทษ โทษทางปกครอง เป็นไปได้ตั้งแต่การพักใช้ใบอนุญาต ร้ายแรงถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต ส่วนโทษทางอาญา จะได้รับโทษตามความผิด ดังต่อไปนี้1. ผู้ใดทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ หรือทำหน้าที่มัคคุเทศก์ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ2. มัคคุเทศก์ผู้ใดฝ่าฝืนประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ในเขตพื้นที่ที่คณะกรรมการประกาศกำหนดเขตพื้นที่ในท้องถิ่นหรือชุมชน ตามมาตรา 12(4) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท3. มัคคุเทศก์ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด หรือไม่ติดใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่มัคคุเทศก์ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท4. มัคคุเทศก์ผู้ใดฝ่าฝืนจ่ายเงินหรือให้ประโยชน์อื่นใดแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวหรือบุคคลอื่นใด หรือยอมตนเข้ารับผิดชอบในค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนเพื่อให้ตนได้มาซึ่งการนำนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ5. มัคคุเทศก์ผู้ใดยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งไม่มีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์แทนตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเป็นการตอกย้ำว่าปัญหาดราม่าที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่ว่าแฟนคลับอิจฉาผู้หญิงที่ (อ้างว่า) เป็นไกด์ แต่มันเป็นเรื่องของข้อปฏิบัติทางวิชาชีพ และมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์พระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 มาตรา 50 กำหนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติและเงื่อนไขในการประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ไว้ดังต่อไปนี้1. มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์2. มีสัญชาติไทย3. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าในสาขามัคคุเทศก์หรือสาขาการท่องเที่ยวที่มีวิชาเกี่ยวกับมัคคุเทศก์ หรือสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงในสาขามัคุเทศก์หรือสาขาการท่องเที่ยวที่มีวิชาเกี่ยวกับมัคคุเทศก์ไม่น้อยกว่าที่คณะกรรมการกำหนด หรือได้รับวุฒิบัตรว่าได้ผ่านการฝึกอบรมวิชามัคคุเทศก์ตามหลักสูตรและสถานฝึกอบรมที่คณะกรรมการกำหนด4. ผ่านการทดสอบความรู้ความสามารถในการเป็นมัคคุเทศก์ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนดและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้1. เป็นโรคพิษสุราเรื้อรังหรือติดยาเสพติดให้โทษ หรือเป็นโรคติดต่อที่คณะกรรมการกำหนด2. เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ หรือใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว3. เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามมาตรา 46(1) (3) หรือ (4) หรือใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ตามมาตรา 63(1) (2) (3) หรือ (4) และยังไม่พ้นกำหนด 5 ปี นับถึงวันยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์4. เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามมาตรา 46(5) หรือใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ตามมาตรา 63(5)5. เคยถูกเพิกถอนทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยวมาแล้วยังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติโดยทั่วไปที่คนจะเป็นมัคคุเทศก์ควรมี คือ สามารถฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาไทยได้เป็นอย่างดี และรักในอาชีพบริการ เนื่องจากการเป็นมัคคุเทศก์มีลักษณะการทำงานที่จะต้องศึกษาข้อมูลเรื่องการท่องเที่ยวและข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเชี่ยวชาญ การกำหนดเส้นทาง การบริหารจัดการเวลา การติดต่อประสานงานส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวไปตามโปรแกรมเที่ยวที่กำหนดไว้อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างต้องทำอย่างมีจรรยาบรรณ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่ดีตลอดการเดินทาง นอกจากนี้ มัคคุเทศก์ยังมีบทบาทในการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งเปรียบเสมือนทูตวัฒนธรรมที่จะเผยแพร่สิ่งที่น่าสนใจในประเทศให้ประจักษ์แก่สายตาของนักท่องเที่ยว จึงต้องทำออกมาได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย เพราะมัคคุเทศก์จะต้องคอยดูแล ช่วยเหลือทุกปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวระหว่างการเดินทาง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ มัคคุเทศก์จะต้องใช้ความรู้และทักษะเฉพาะด้านที่ได้รับการฝึกอบรมมาทั้งหมดให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะมาทำอาชีพได้เพียงแค่กล่าวอ้างสำหรับคุณสมบัติทั่ว ๆ ไปของคนที่จะมาเป็นมัคคุเทศก์ได้ ก็อย่างเช่น • มีความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์ของสถานที่ท่องเที่ยวนั้น ๆ และวัฒนธรรมในพื้นที่ที่ตนกำลังนำเที่ยว • ทักษะการสื่อสาร มัคคุเทศก์คืออีกอาชีพหนึ่งที่เป็นนักพูด นักสื่อสารข้อมูลการท่องเที่ยว รวมทั้งต้องใช้ในการประสานงานเรื่องต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนและเข้าใจ รวมถึงการสื่อสารในภาษาต่างประเทศ เพราะลูกทัวร์ไม่ได้มีเฉพาะคนไทยเท่านั้น • ทักษะด้านการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ การทำทัวร์ต้องมีการวางแผนโปรแกรมเที่ยว ทัวร์ 1 วันต้องบริหารเวลาในการเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสม การบริหารทรัพยากรที่มี และที่สำคัญ ต้องบริหารจัดการคนเป็น เพราะมัคคุเทศก์ต้องเจอนักท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ • ช่างสังเกต มีไหวพริบ มีความยืดหยุ่น และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะการจัดทัวร์มีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วม รวมถึงต้องประสานงานหลายส่วน เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็ต้องปรับเปลี่ยนโปรแกรมเที่ยวได้ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ตามปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงให้คำแนะนำและช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น • มีใจรักการเดินทาง ออกแบบโปรแกรมเที่ยวได้อย่างน่าสนใจ การนำทางที่ง่าย สะดวก ถูกต้อง ไม่ซับซ้อน และรักษาความปลอดภัยให้แก่ลูกทัวร์ • มีความอดทนต่อแรงกดดันได้ดี การทำทัวร์อาจเกิดปัญหาที่ไม่คาดฝันได้เสมอ ต้องทำงานร่วมกับคนร้อยพ่อพันแม่ และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก เพื่อตอบสนองกความต้องการให้กับทุกคนในทัวร์ได้อย่างไร้ปัญหา • ทักษะความเป็นผู้นำ สามารถเป็นตัวอย่างที่ดี สร้างความประทับใจให้กับลูกทัวร์ได้ ดูแลลูกทัวร์ดี • มีความเสียสละ มีใจรักงานบริการ • ซื่อตรง ซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา ยึดมั่นในจรรยาบรรณของวิชาชีพ • มีทัศนคติเชิงบวก บุคลิกภาพดี มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีความมั่นใจในตนเอง • ใฝ่รู้ ขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ เพราะการนำเที่ยวมักมีข้อมูลใหม่ที่ต้องอัปเดตอยู่เสมอทำไมจะเป็นมัคคุเทศก์ ต้องสอบใบอนุญาต!เพื่อให้การประกอบอาชีพไกด์หรือมัคคุเทศก์เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพนี้จึงต้องเข้ารับการสอบมัคคุเทศก์หรือสอบใบอนุญาตมัคคุเทศก์ เพื่อให้ได้รับใบอนุญาตมัคคุเทศก์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงต้องย้ำอีกครั้งว่าการจะเป็นไกด์นั้นไม่ใช่ใครจะเป็นได้ดังนั้น มัคคุเทศก์เป็นอาชีพหนึ่งที่ต้อง “มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ” ซึ่งการจะได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพมาก็ต้องผ่านการสอบด้วย เพราะมัคคุเทศก์เป็นมากกว่าแค่ผู้นำเที่ยว แต่ยังเป็นทูตวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราว แนะนำ บอกเล่า นำพานักท่องเที่ยวให้คล้อยตามไปกับชีวิตและจิตวิญญาณแห่งสถานที่นั้น ๆ รวมถึงดูแลองค์ประกอบทุกอย่างตลอดการเดินทางให้ราบรื่น ทั้งความรู้ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความบันเทิงเพราะการเป็นมัคคุเทศก์หรือไกด์นำเที่ยวนั้นจะต้องมีคุณสมบัติต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถทำหน้าที่ “ทูตวัฒนธรรม” แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว แนะนำสิ่งที่น่าสนใจ และสามารถดูแลลูกทัวร์ให้เกิดความประทับใจได้ ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องมีความรู้และมีทักษะเฉพาะด้านในการทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องผ่านการทดสอบความรู้ความสามารถในการเป็นมัคคุเทศก์ แล้วจึงจะได้รับ “ใบอนุญาตการเป็นมัคคุเทศก์” ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่มัคคุเทศก์ได้จริงการสอบใบอนุญาตมัคคุเทศก์ จะประกอบไปด้วย 2 หมวดหลัก ๆ ได้แก่ • หมวดความรู้ทั่วไปสำหรับอาชีพมัคคุเทศก์ สัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 70 ของข้อสอบทั้งหมด โดยจะมีทั้งส่วนที่เป็นความรู้เชิงวิชาการและความรู้ด้านทักษะอาชีพ • หมวดวัดความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ สัดส่วนประมาณร้อยละ 30 ของข้อสอบทั้งหมด โดยผู้สอบจะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 จึงจะถือว่าผ่านการทดสอบทัวร์เถื่อน ไกด์เถื่อน คืออะไรด้วยความที่ “มัคคุเทศก์” เป็นอาชีพหนึ่งที่มีกฎหมายบังคับเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน การกระทำที่ขัดต่อตัวบทกฎหมายจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เข้าข่าย “ทัวร์เถื่อน” หรือ “ไกด์เถื่อน”ตามพระราชบัญญัติธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะเป็นมัคคุเทศก์ ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์จากนายทะเบียน ทั้งนี้ ผู้ใดทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์โดยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นมัคคุเทศก์ (ไกด์เถื่อน) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ใดประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามมาตรา 15 หรือประกอบธุรกิจนำเที่ยวในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 45 วรรคสอง (ทัวร์เถื่อน) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับอย่างไรก็ตาม คุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ที่สำคัญประการหนึ่งคือ ผู้นั้นต้องมีสัญชาติไทย โดยตามกฎหมายเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มัคคุเทศก์ถือเป็นอาชีพหนึ่งที่ “ห้าม” คนต่างด้าวทำโดยเด็ดขาด เหตุผลก็คือ อาชีพมัคคุเทศก์มีหน้าที่สำคัญในการนำเสนอสิ่งที่ดีงามทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ โบราณคดี ศาสนา ตลอดจนศิลปะ และวัฒนธรรมแห่งชาติของคนไทย จึงถูกสงวนไว้ให้เป็นอาชีพของคนไทยเท่านั้นรวมถึงการที่คนต่างด้าวไม่ได้จบการศึกษาในสาขามัคคุเทศก์หรือสาขาการท่องเที่ยว รวมถึงไม่ได้ผ่านการทดสอบความรู้ความสามารถในการเป็นมัคคุเทศก์ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด จึงอาจเกิดปัญหาให้ข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ผิดพลาดหรือไม่ถูกต้อง และอีกเหตุผลก็คือ ความเสี่ยงที่จะก่ออาชญากรรมต่อนักท่องเที่ยว เพราะมัคคุเทศก์ต่างด้าวไม่มีใบอนุญาต ไม่มีข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ เมื่อเกิดปัญหาอาชญากรรม ก็จะไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ หากฝ่าฝืน ก็จะเข้าข่ายเป็นไกด์เถื่อนด้วยเช่นกันแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447519/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
12/06/2024
30/04/2024
15/10/2024
21/02/2025
29/04/2024