คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ท่องเที่ยว

“ฮวาเหลียน” สวิตเซอร์แลนด์ไต้หวัน เมืองท่องเที่ยวดังที่โดนแผ่นดินไหวบ่อย

29/04/2024

พาไปรู้จักกับเมือง “ฮวาเหลียน” เมืองใหญ่ที่สุดของไต้หวัน ที่เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวอันงดงาม จนได้รับฉายาว่าเป็น“สวิตเซอร์แลนด์ไต้หวัน” ซึ่งในรอบ 7 ปี เมืองนี้เกิดแผ่นดินไหวถึง 4 ครั้ง โดยล่าสุดคือแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในช่วงเช้าของวันที่ 3 เม.ย. 67 ที่มีขนาดถึง 7.4 แมกนิจูด ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปี ของไต้หวันเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 3 เมษายน 2567 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.4 แมกนิจูด ขึ้นที่เมืองฮวาเหลียน ทางตะวันออกของไต้หวัน (ห่างจากไทเป 160 กม.) ศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีความลึกจากพื้นดิน 20 กิโลเมตร รับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ทั่วเกาะไต้หวัน โดยมีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้นหลายครั้งตั้งแต่ขนาด 5-6.2เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่มีรายงานสภาพบ้านเรือนที่เสียหาย และไฟฟ้าดับเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปีของไต้หวัน นับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ.2542) ที่ไต้หวันเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาด 7.6 คร่าชีวิตผู้คนไป 2,400 คนและทำลายอาคาร 5,000 หลังสภาพตึกสูงในฮวาเหลียนที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวใหญ่ 7.4 ในไต้หวัน เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 67 (ภาพจาก สื่อไต้หวน)สำหรับเมืองฮวาเหลียนที่เป็นศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง โดยแผ่นดินไหวใหญ่ 4 ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นที่เมืองฮวาเหลียนนั้น ได้แก่เมืองฮวาเหลียนนั้น ได้แก่- 6 ก.พ. 2561 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 6.4 แมกนิจูด- 17 ก.ย. 2565 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 6.4 แมกนิจูด- 18 ก.ย. 2565 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 7.3 แมกนิจูดและล่าสุดวันที่ 3 เม.ย. 2567 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 7.4 แมกนิจูด รุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปี ของไต้หวัน ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นสำหรับเมืองฮวาเหลียน หรือ “ฮัวเหลียน”(Hualien) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของไต้หวัน ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะ มีเนื้อที่กว่า 4,600 ตร.กม. มีประชากรราว ๆ 350,000 คนฮวาเหลียนเมืองใหญ่ที่สุดของไต้หวัน (แฟ้มภาพก่อนเกิดแผ่นดินไหว)ฮวาเหลียนเป็นเมืองที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีที่ราบไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน โดยมีภูเขาโอบล้อมถึงสามด้านในแนวเหนือ-ใต้-ตะวันตก ส่วนทางฝั่งตะวันออกเป็นแนวชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกยาวตลอดเหนือจรดใต้ด้วยความที่เมืองนี้อุดมธรรมชาติ โอบล้อมไปด้วยภูเขา มีบรรยากาศชนบท ทำให้ฮวาเหลียนเป็นเมืองท่องเที่ยวอันโดดเด่นของไต้หวัน ได้รับฉายาว่าเป็น“สวิตเซอร์แลนด์ไต้หวัน” ซึ่งสำนักข่าว CNN เคยจัดให้ฮวาเหลียนเป็น 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุดในเอเชียเมืองฮวาเหลียนโดดเด่นทั้งทะเลและภูเขา (แคนยอน)สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฮวาเหลียนนั้นก็มีหลากหลาย นำโดย “อุทยานแห่งชาติทาโรโกะ” (Taroko National Park) อุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวัน มีเนื้อที่ประมาณ 920 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ 3 เมืองคือ ไทจง,หนานโถว และฮวาเหลียน โดยไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่เมืองฮวาเหลียนเป็นหลักอช.ทาโรโกะ ตั้งชื่อตามชนเผ่า Truku หรือ ชนเผ่า “ทาโรโกะ”(Taroko) ชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ คำว่าทาโรโกะเป็นคำเรียกขานในภาษาญี่ปุ่น ขณะที่คนจีนเรียกอุทยานฯแห่งนี้(และชนเผ่าทาโรโกะ) ว่า“ไท่หลู่เก๋อ”อช.ทาโรโกะ มีลักษณะธรรมชาติเฉพาะตัวแบบแคนยอน (หุบเขาลึก) อันโดดเด่นอช.ทาโรโกะเป็นสถานที่ธรรมชาติที่มีภูมิประเทศเป็นขุนเขา โดดเด่นไปด้วยแคนยอน (หุบเขาลึก) ช่องแคบ โตรกผาสูงชัน ซึ่งมีทั้งหุบเขาหินปูนและหินอ่อน ที่เกิดจากการกัดเซาะของสายน้ำ ลม ฝน จนเกิดเป็นทัศนียภาพอันงดงามแปลกตาในระหว่างช่องเขามีแม่น้ำลี่อู๋(Liwu)ไหลผ่าน จากป่าต้นน้ำบนเทือกเขาแห่งทาโรโกะไปออกยังปากอ่าวท้องทะเลแปซิฟิก โดยมีช่องแคบแคนยอนช่วงหน้าผาชิงสุ่ย(Qingshui)ไปถึงยอดเขาหนานหู (Nanhu Peak) ที่สูงถึง 3,742 เมตร ได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพอันงดงามและเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ อช.ทาโรโกะ แห่งนี้แนวช่องแคบระหว่างภูเขาหินที่มีแม่น้ำลี่อู๋ไหลผ่าน ที่ อช.ทาโรโกะนอกจากนี้ อช.ทาโรโกะ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกหลากหลาย อาทิ จุดชมวิวผาชิงสุ่ย, สะพานพระคุณมารดา, หมู่บ้านปุโลวัน, ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อช.ทาโรโกะ ฯ รวมถึง 2 ไฮไลต์ต้องห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนอุทยานแห่งนี้ คือ- “อุโมงค์นกนางแอ่น” หรือ “อุโมงค์ 9 โค้ง”(Tunnel of Nine Turns) ที่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ - ฤดูร้อน จะมีฝูงนกนางแอ่นจำนวนมากบินมาเพื่อสร้างรังตามโพรงหินที่เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของลำธาร และน้ำจากดินที่ผุดขึ้นมาตามโพรงหิน จนเป็นที่มาของชื่ออุโมงค์แห่งนี้เส้นทางเดินชมอุโมงค์นกนางแอ่นบริเวณอุโมงค์นกนางแอ่น มีเส้นทางให้เดินชมสิ่งน่าสนใจที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติดูน่าตื่นตาตื่นใจ อาทิ “หน้าผาโพรงนกนางแอ่น” เป็นบริเวณแนวทำรังของนกนางแอ่นที่เจาะแนวหินสร้างบ้านทำรังไว้จนเป็นรูพรุนดูสวยงามแปลกตา“แนวช่องแคบระหว่างภูเขา” เป็นแนวหน้าผาหินอ่อน(บางช่วงเป็นช่องแคบระหว่างภูเขาห่างกันแค่ประมาณ 10 เมตร) เบื้องล่างมีลำธารจากแม่น้ำลี่อู๋ไหลผ่าน ในวันที่ฟ้าเปิดจะมองเห็นลำธารเป็นสีฟ้าสวยงาม และ “จุดชมวิวสะพานแขวน” ที่ในอดีตชนพื้นเมืองใช้เป็นเส้นทางสัญจรไป-มา ส่วนปัจจุบันกลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตศาลเจ้าฉางชุน-น้ำตกฉางชุนส่วนอีกหนึ่งไฮไลต์ของ อช.ทาโรโกะก็คือ “ศาลเจ้าฉางชุน” (Changchun Shrine หรือ Eteranal Spring Shrine) ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อสักการะดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตกว่า 200 คน จากการทำถนนใน อช.ทาโรโกะศาลเจ้าฉางชุน(ฉางชุนแปลว่าฤดูใบไม้ผลิอันยาวนาน) เป็นอีกหนึ่งภาพงามสัญลักษณ์ของ อช.ทาโรโกะ ตัวศาลเจ้าตั้งโดดเด่นอยู่บริเวณเชิงเขา เบื้องล่างมีสาย“น้ำตกฉางชุน”ไหลเป็นสายฟูฟ่องลงมาสู่สายธารของแม่น้ำลี่อู๋ ซึ่งทาง อช.ทาโรโกะได้สร้างจุดชมวิวไว้ที่ฝั่งตรงข้ามของศาลเจ้าให้นักท่องเที่ยวได้มายลในความงามและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก รวมถึงมีเส้นทางเดินเท้าจะจุดชมวิวสู่ตัวศาลเจ้าฉางชุนอีกด้วยหาดซีซิงถันนอกจากอุทยานแห่งชาติทาโรโกะแล้ว เมืองฮวาเหลียนยังมี สถานที่ท่องเที่ยวเด่น ๆ ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ดังนี้- “หาดซีซิงถัน”(Qixingtan) หรือ“ทะเลสาบเจ็ดดาว” ที่เป็นแนวชายหาดรูปวงพระจันทร์ยาวกว่า 20 กม. เป็นแนวชายหาด “ก้อนกรวด” ขนาดใหญ่ที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามแปลกตา- “วัดชิงซิ่วเยี่ยน”(Qing-Xiu Temple) วัดหรือศาลเจ้าญี่ปุ่นอายุเก่าแก่ร่วม 100 ปี สร้างขึ้นในสมัยญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ภายในวัดมีไฮไลท์คือ พระพุทธรูปหิน 88 องค์ ซึ่งวันนี้วัดแห่งนี้ยังคงเปี่ยมไปด้วยความคลาสสิกและบรรยากาศเปี่ยมศรัทธาให้ผู้สนใจได้ไปสัมผัสในพลังแห่งธรรมกันล่องเรือชมวาฬ-โลมาที่สือทีผิง- “ทะเลสาบหลีหยู่” หรือ “ทะเลสาบปลาคาร์ฟ” (Liyu (Carp) Lake) ที่โดดเด่นไปด้วยวิวทิวทัศน์อันสวยงาม- “กิจกรรมการเที่ยวชมวาฬ-โลมา” (Whale and Dolphin Watching)ที่ “สือทีผิง” ซึ่งจะมีเรือนำเที่ยวพานักท่องเที่ยวออกไปเฝ้ารอชมเจ้าวาฬ-โลมา โดยเปอร์เซ็นต์การได้เห็นวาฬและโลมานั้นอยู่ที่กว่า 90% เลยทีเดียวและนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ส่วนหนึ่งของเมืองฮวาเหลียน เมืองที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นที่ได้รับฉายาว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์ไต้หวัน ซึ่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงมา ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ชาวเมืองฮวาเหลียน และชาวไต้หวันผ่านพ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้โดยเร็วแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000029305/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ เอ ไลฟ์ ส่งแคมเปญ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์คลายร้อน (ไมโครอินชัวรันส์)” มอบกรมธรรม์อุบัติเหตุฟรี ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาทต่อกรมธรรม์

29/04/2024

กรุงเทพฯ, 4 เมษายน 2567 – เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมมือกับ เอ ไลฟ์ (ALive Powered by AIA) โดยบริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด ส่งความห่วงใยถึงคนไทยทั่วประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เปิดตัวแคมเปญ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์)” โดย เอ ไลฟ์ ขอมอบกรมธรรม์อุบัติเหตุฟรีให้แก่ประชาชนทั่วไป ระยะเวลาคุ้มครองนาน 30 วัน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตสูงถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมรับผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุด 5,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และยังได้อุ่นใจยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะวางแผนเดินทางท่องเที่ยว เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปฉลองกับครอบครัว หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งแคมเปญดังกล่าวยังเป็นการขานรับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่ผลักดันให้คนไทยหันมาตระหนักถึงความจำเป็นของการมีหลักประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด สอดคล้องกับตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ 'Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น'ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่สนใจ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุฟรี และศึกษารายละเอียดความคุ้มครองในกรมธรรม์ ผ่าน LINE Official @AIAThailand ที่ลิงก์ https://bit.ly/freepa_edm (เพิ่ม AIA Thailand เป็นเพื่อน แล้วกดรับสิทธิได้ที่ LINE Rich Menu “รับฟรีประกันอุบัติเหตุ”) ลงทะเบียนรับสิทธิได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 หรือจนกว่าสิทธิจะครบจำนวนหมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการนำเสนอเท่านั้น ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาทำความเข้าใจรายละเอียด ข้อกำหนด และเงื่อนไข ของความคุ้มครอง รวมทั้งข้อยกเว้นไม่คุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเงื่อนไขที่ เอไอเอ เวลเนส ประกาศ ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

‘ฉลองสงกรานต์’ ชมงานศิลปะป๊อปอาร์ตสุดอลังการ ‘จักรวาลล็อบสเตอร์’

29/04/2024

ศิลปินป๊อปอาร์ตระดับโลก ‘ฟิลิป โคลแบร์’ นำ ‘จักรวาลล็อบสเตอร์’ มาให้คนไทยชม ‘ฉลองสงกรานต์’ ณ พาร์ค พารากอน ‘สยามพารากอน’สยามพารากอน ชวน ฉลองสงกรานต์ ครั้งยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ด้วยนำ จักรวาลล็อบสเตอร์ ผลงานศิลปินป๊อปอาร์ตระดับโลกชาวอังกฤษ ฟิลิป โคลแบร์ จัดให้ชมอย่างอลังการฟิลิป โคลแบร์ (Philip Colbert) ศิลปินร่วมสมัย สร้างผลงาน The Lobster ล็อบสเตอร์ก้ามโตสีแดงส้มสดใส ซึ่งได้จัดแสดงในหลากหลายรูปแบบทั่วโลก ทั้งภาพวาด ประติมากรรม ไปจนถึงสินค้าแฟชั่น เป็นไอคอนสุดป๊อปที่โด่งดังไปทั่วโลกล็อบสเตอร์ใจกลางเมืองบริเวณน้ำพุไต้หวันสยามพารากอน ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย และ JOOX สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ เนรมิตพาร์คพารากอนด้วยอินสตอลเลชั่นอาร์ตขนาดยักษ์ ต้อนรับซัมเมอร์ ฉลองสงกรานต์ กับงาน  Siam Paragon Ultrasonic Water Festival 2024 Songkran Lobster Wonderland by Philip Colbertลฺ็อบสเตอร์ที่ มารินา เบย์ แซนด์ สิงคโปร์โคลแบร์ (Philip Colbert) นำ จักรวาลล็อบสเตอร์ (The Lobster) ผลงานศิลปะอันโด่งดัง ซึ่งได้จัดแสดงและปรากฏผลงานหลากหลายรูปแบบในทั่วโลก ทั้งภาพวาด ประติมากรรม ไปจนถึงสินค้าแฟชั่น เป็นไอคอนสุดป๊อปที่โด่งดังไปทั่วโลกที่บริเวณหน้าสถานีคิงครอส ลอนดอน“ผมกลายเป็นศิลปิน เมื่อผมกลายเป็นล็อบสเตอร์ล็อบสเตอร์แลนด์ คือโลกแห่งจินตนาการของผม ที่ล็อบสเตอร์ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ”ฟิลิป โคลแบร์โคลแบร์ ศิลปินผู้ถือกำเนิดใหม่ในร่างของ ล็อบสเตอร์ กล่าวถึงการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ล็อบสเตอร์ (Lobster Persona) ขึ้น โดยสื่อสารและแสดงออกทางศิลปะผ่านล็อบสเตอร์ที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์แสดงถึงการตื่นรู้ทางศิลปะ และเป็นสะพานนำไปสู่การสำรวจวัฒนธรรมร่วมสมัย และประวัติศาสตร์ศิลป์ ด้วยผลงานป๊อปอาร์ตที่เปี่ยมไปด้วยสีสันสดใส ผสมผสานวัฒนธรรมร่วมสมัย และงานศิลปะคลาสสิก บวกกับเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เต็มเปี่ยมด้วยจินตนาการล็อบสเตอร์ที่เวนิซ อิตาลีทุกวันนี้ โคลแบร์ กลายเป็นดาวเด่นในวงการศิลปะร่วมสมัย จนได้รับการขนานนามว่า ทายาททางศิลปะของแอนดี้ วอร์ฮอลในวัฒนธรรมตะวันตก ล็อบสเตอร์ เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ เป็นอาหารอันโอชะที่ดูหรูหรามีราคา ขณะเดียวกัน ด้วยรูปร่างที่โดดเด่น สีสันดึงดูดสายตา บวกกับลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของสัตว์ซึ่งมักต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอาหารและดินแดน คาแรกเตอร์ล็อบสเตอร์ของโคลแบร์ จึงสะท้อนถึงด้านมืดของธรรมชาติของมนุษย์ด้วยล็อบสเตอร์ที่แกรนด์ พาเลซ สวิตเซอร์แลนด์โคลแบร์เริ่มจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดป๊อปขนาดใหญ่ ที่มีคาแรกเตอร์ล็อบสเตอร์เป็นครั้งแรกในปี 2017 นับจากนั้น ล็อบสเตอร์ก็กลายเป็นลายเซ็นของเขา เป็นตัวละครที่สะท้อนเรื่องราวอันหลากหลายของวัฒนธรรมป๊อปร่วมสมัย ผ่านการใช้สีสันสดใส มีชีวิตชีวา ดูสนุกสนาน ขณะเดียวกันก็ล้อเลียนและเสียดสีสังคมสมัยใหม่ศิลปินชื่อดังสร้าง จักรวาลล็อบสเตอร์ ผ่านภาพวาด ภาพพิมพ์ ประติมากรรม และจัดแสดงผลงานไปทั่วโลก และได้รับการยกย่องจากนักสะสมและนักวิจารณ์ศิลปะทั่วโลก เป็นหนึ่งในศิลปินร่วมสมัยที่น่าจับตามองมากที่สุดในปัจจุบันประวัติของ ฟิลิป โคลแบร์ ศิลปินหนุ่มชาวอังกฤษ เกิดปี 1980 ที่เมือง Aberdeen ประเทศสก็อตแลนด์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาปรัชญาจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ สร้างชื่อเสียงระดับโลกด้วยคาแรกเตอร์ล็อบสเตอร์สุดแนว และภาพวาดแนวไฮเปอร์ป๊อปประติมากรรมล็อบสเตอร์ผลงานของเขาสำรวจลวดลายของวัฒนธรรมดิจิทัลร่วมสมัย และความสัมพันธ์กับบริบททางประวัติศาสตร์ศิลป์ จนได้รับการยกย่องในระดับสากล โดยได้จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลก ด้วยแนวคิดใหม่ที่สดใสในการผสมผสานจิตรกรรมและทฤษฎีป๊อปอาร์ตThe Lobster ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ที่ถูกครอบงำโดยวัตถุนิยม แสวงหาความสุขจากการบริโภค ได้เดินทางไปจัดแสดงยังประเทศต่าง ๆ มาแล้วทั่วโลก อาทิ The Saatchi Gallery ในลอนดอน The Tate Modern ในลอนดอน The Whitestone Gallery ในไทเป และ The New Art Museum ในคารุอิซาวะ เป็นต้นนอกจากนี้โคลแบร์ยังเป็นที่รู้จักจากผลงานการร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลกมากมาย อาทิ Montblanc, Adidas, Bentley และ Samsungล็อบสเตอร์ ที่พาร์คพารากอนชม The Lobster เวอร์ชั่นใหม่ที่โคลแบร์สร้างสรรค์ขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ในงาน Siam Paragon Ultrasonic Water Festival 2024 “Songkran Lobster Wonderland by Philip Colbert”วันที่ 9-16 เมษายน 2567 ณ พาร์คพารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน สอบถามโทร.02 610 8000, FB: SiamParagonแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1120124

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ทำไมต้องหรี่ไฟในเครื่องบิน ตอนเครื่องบินขึ้น-ลง

03/04/2024

หลายครั้งที่การเดินทางโดยเครื่องบินเราต้องปฏิบัติตามกฎต่างๆ ของสายการบิน รวมทั้งระหว่างเดินทางเราก็มักจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเดินทาง อย่างเช่นเวลาเครื่องบินขึ้น หรือเครื่องบินลงจอด ไฟภายในห้องโดยสารจะต้องหรี่ลง และคุณทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไรจะต้องหรี่ไฟในเครื่องบินเหตุผลการหรี่ไฟในห้องโดยสารขณะเครื่องบินขึ้น-ลงหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไฟในห้องโดยสารเครื่องบินต้องหรี่ลงขณะขึ้นและลง นั่นเป็นเพราะเหตุผลสำคัญสองประการ1. มองเห็นทางออกฉุกเฉินได้ง่ายขึ้นเมื่อไฟภายในห้องโดยสารมืดลง ป้ายทางออกฉุกเฉินที่ส่องสว่างจะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ทั้งในสภาวะปกติและกรณีฉุกเฉิน การมองเห็นทางออกอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร2. ปรับสายตาให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมช่วงขึ้นและลงเครื่องเป็นช่วงที่ต้องเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ ดังนั้นการให้ผู้โดยสารคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไฟที่หรี่ลงช่วยให้ดวงตาปรับตัวได้ทั้งกับสิ่งที่อยู่ภายในและภายนอกเครื่องบิน หากไฟสว่างเกินไป จะส่งผลต่อการมองเห็นทัศนียภาพด้านนอก ซึ่งอาจส่งผลต่อการประเมินสถานการณ์ในกรณีฉุกเฉินได้"การปรับดวงตาไว้ล่วงหน้าช่วยป้องกันไม่ให้คุณมืดมิดเมื่อต้องวิ่งหนีออกจากเครื่องบินยามเกิดเหตุฉุกเฉินที่มีควันหรือความมืด" คุณ Patrick Smith นักบินสายบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว และผู้เขียนหนังสือ "Ask the Pilot" กล่าวเสริม"นอกจากนี้ แสงไฟที่หรี่ลงยังช่วยให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินประเมินอันตรายภายนอก ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้หรือเศษวัสดุได้ง่ายขึ้น เพราะหากไฟสว่างจ้า แสงสะท้อนจะบดบังทัศนวิสัยด้านนอก"ความสำคัญของการมองออกไปนอกหน้าต่าง การมองเห็นภายนอกได้ชัดเจนถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในเที่ยวบิน ตัวอย่างเช่น ในเหตุการณ์สายการบินบริติชแอร์เวย์ในปี 2013 ฝาครอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินเปิดออกหลังเครื่องขึ้น และเนื่องจากปัญหามองเห็นได้ผ่านหน้าต่าง ลูกเรือจึงสามารถลงจอดฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วในอีกกรณีหนึ่งผู้โดยสารของ United Airlines บนเที่ยวบินจากนวร์กไปเวนิสมองเห็นเชื้อเพลิงรั่วออกจากปีกผ่านหน้าต่าง ผู้โดยสารจะต้องมองเห็นภายในเครื่องบินได้ชัดเจนด้วย จากข้อมูลของมูลนิธิความปลอดภัยการบิน ในกรณีที่มีควัน ผู้โดยสารอาจสูญเสียความสามารถในการค้นหาเส้นทางได้มากถึง 83 เปอร์เซ็นต์ และอาจไม่สามารถมองเห็นป้ายทางออกได้ในทันที นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งประมวลกฎหมายการบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาและสำนักงานความปลอดภัยการบินของสหภาพยุโรปจึงกำหนดให้เส้นทางทางออกของเครื่องบินควรมีความสว่างพอที่จะมองเห็นได้ในความมืด ในหลายกรณี ระบบไฟส่องสว่างระดับพื้นนั้นอาศัยเทคโนโลยีเรืองแสงในที่มืดที่ทำจากวัสดุโฟโตลูมิเนสเซนท์ เพื่อให้แน่ใจว่าจะยังคงทำงานอยู่หากไฟของเครื่องบินดับ การหรี่ไฟห้องโดยสารขณะเครื่องขึ้นและลงช่วยให้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขอขอบคุณข้อมูล :afarแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447083/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ได้รับรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2567

29/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2567 โดยมี พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) ผู้บริหาร และข้าราชการ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วม ณ หอประชุมคุรุสกา กระทรวงศึกษาธิการโดยเอไอเอ ประเทศไทยได้รับรางวัลในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ ผ่านหลากหลายกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการสุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี (AIA Healthiest Schools) โครงการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โค้ดดิ้ง (AIA Coding school) โครงการเอไอเอ ฟุตบอล คลินิก รวมไปถึงการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ให้โรงเรียน คุณครู บุคลากร รวมถึงเด็กนักเรียนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับพันธกิจของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives'

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

วิกฤตโควิด สอนการออมเงิน

01/04/2024

บทความโดย “ศุภชัย จันไพบูลย์” นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 1 เมษายน 2567 ภายหลังจากสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย การเดินทางเริ่มสะดวกขึ้น ทำให้รายได้เริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่พบว่าค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นมา ผลกระทบทางการเงินยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง จากรายได้ลดลง มีการเพิ่มการกู้ยืมเพื่อการบริโภค ส่งผลกระทบต่อเงินเก็บออม อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 2.5% (ณ วันที่ 27 ก.ย. 2566) ส่งผลให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เร่งตัวสูงขึ้น ก่อให้เกิดการชะลอตัวของการบริโภคในระยะสั้น และส่งผลกระทบรายได้ที่เหลือเพื่อการออมเงินด้วย โดยปกติการออมเงินเพื่อกรณีที่ฉุกเฉินควรเก็บเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3-6 เดือน ซึ่งการเก็บอาจอยู่ในรูปแบบของบัญชีธนาคาร กองทุนรวมตลาดเงินที่มีสภาพคล่องสูง เงินสดหรือในรูปแบบอื่น ๆ   เช่น รูปแบบฉุกเฉินกรณีสุขภาพ ให้ซื้อประกันสุขภาพ โดยพิจารณาประกันสุขภาพให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่อครั้งของการรักษาโรค หรือใช้แบบวงเงินเหมาจ่ายก็สะดวกดี เป็นต้น การสร้างกองทุนฉุกเฉินเป็นแนวคิดของการบริหารจัดการในภาพรวมของเงินที่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย 3-6 เดือน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดหลายมิติ ดังนี้ 1. มิติเรื่องของความสบายใจ : ช่วงเวลาที่เราหรือครอบครัวขาดสภาพคล่อง และถ้ามองไม่เห็นในอนาคตว่ารายได้จะมาจากทางไหนอีก ยิ่งจะทำให้เกิดความเครียดมากเพิ่มขึ้นไป คิดแล้วจะวนอยู่วังวนว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร เช่น ในช่วง COVID-19 หากมองเช่นนี้แล้วการเริ่มที่จะหาความสบายใจให้ได้ควรเริ่มสะสมเงินจากรายได้ 2% และเพิ่มขึ้นไปเดือนละ 1% จนไปถึงระดับที่เหมาะสม 2. มิติเรื่องของสภาพคล่อง : การบริหารเงินที่เก็บว่าจะนำไปลงทุนในสินทรัพย์สภาพคล่องสูงหรือการซื้อประกันสุขภาพสำหรับตัวเองและครอบครัว เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาตามบริบทของแต่ละครอบครัวไป เนื่องจากบางครอบครัวมีสวัสดิการที่ทางองค์กรหรือหน่วยงานเป็นคนดูแลให้อยู่แล้ว บางคนอาจไม่มีเลย หลายคนมองว่าสิทธิขั้นพื้นฐานที่มีไม่ว่าจะสิทธิประกันสังคม หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า น่าจะเพียงพอแล้ว แต่อย่าลืมว่าหากต้องการเพิ่มเติมจากส่วนที่เป็นพื้นฐาน ส่วนเกินสิทธิต้องชำระเอง ซึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ คือ การทำประกัน 3. มิติเรื่องของปกป้องพอร์ตลงทุน : เมื่อเริ่มสร้างพอร์ตการลงทุนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ เช่น เป้าหมายเกษียณซึ่งจะบรรลุในอีก 20 ปีข้างหน้า แต่หากว่าในระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ที่ต้องนำเงินออกมา หรือไม่สามารถนำเก็บเงินก้อนใหม่ได้ สิ่งที่กระทบคือเป้าหมายที่วางไว้ก็จะไม่สำเร็จ หรืออาจจะต้องเลื่อนออกไป ดังนั้นการวางแผนเพื่อปกป้องพอร์ตลงทุน จึงควรกันเงินไว้เป็นกองทุนฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเงินที่แยกออกมาต่างหาก จะต้องไม่นำเงินก้อนนี้ไปลงทุนกับพอร์ตเพื่อเป้าหมาย วัตถุประสงค์กองทุนฉุกเฉินเพื่อไว้ใช้จ่ายของครอบครัว แม้ว่าพอร์ตที่ว่างเป้าหมายไว้อาจมีความผันผวน แล้วส่งผลให้ขาดทุนก็อย่านำเงินในกองทุนฉุกเฉินเข้าไปซื้อ ถึงแม้ราคาจะปรับลดลง หลายคนได้มีการวางแผนการเงินมาเป็นอย่างดี ทำให้ตนเองและครอบครัวผ่านสถานการณ์มิคาดฝันในชีวิตมาได้ ถือได้ว่ามีการเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี และที่สำคัญต้องหมั่นตรวจสอบกองทุนฉุกเฉินด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ท้าทายทางความคิดว่า COVID-19 ได้ทำลายความคิดเดิมด้านการเงินหรือไม่ แล้วมีการสร้างแนวความคิดเรื่องการเงินขึ้นมาใหม่หรือเปล่า เพราะสิ่งไม่แน่นอนในช่วงชีวิตยังมีอีกทั้งระดับเล็ก ๆ ที่กระทบแค่คนเดียว เช่น เจ็บป่วยไข้ ตกงาน หรือเป็นผลกระทบระดับกว้าง เช่น สภาพเศรษฐกิจชะลอตัว การเกิดภัยพิบัติ หรือโรคระบาด ดังนั้น คงต้องขึ้นอยู่กับการที่เราต้องย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองอย่างจิงจังว่า การเตรียมรับมือกับสถานการณ์ทางการเงินมีมากน้อยแค่ไหน COVID-19 เองก็อาจเป็นตัว Disrupt ความคิดการเงินก็ได้ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1533470

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ขับรถชนเสาไฟฟ้าทำไงดี ประกันช่วยรับผิดชอบไหม

29/04/2024

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกวัน บางคนอาจแค่เฉี่ยวประตูรั้วบ้านก่อนไปทำงาน มีขูดกระถางต้นไม้บ้างเพราะยังตื่นไม่เต็มที่ แต่ถ้าวันไหนไม่เป็นใช่วันของคุณก็อาจจะเผลอชนเสาไฟฟ้าข้างทางไปเลย งานนี้เสียทั้งรถและของหลวง แล้วแบบนี้ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ช่วยเราได้ไหม จะโดนค่าปรับ หรือบทลงโทษอะไรบ้าง หาคำตอบได้ในบทความนี้ขับรถชนเสาไฟฟ้าประกันชั้นไหนรับเคลมการขับรถชนเสาไฟฟ้าถือเป็นอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี แม้ว่าจะเป็นสิ่งของที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานภาครัฐก็ตาม แต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่การชนกับยานพาหนะนั่นหมายความว่า มีเพียงประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้นที่ครอบคลุมความรับผิดชอบในกรณีดังกล่าว หากเป็นประกันชั้นอื่น ๆ อย่างประกันชั้น 2+, 3+ หรือ 3 ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียค่าปรับทั้งหมดด้วยตัวเองขับรถชนเสาไฟฟ้าโดนปรับเท่าไหร่สำหรับการชนเสาไฟฟ้าจะมีค่าปรับเริ่มต้นที่ 10,000 - 100,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นเสาไฟฟ้าแรงต่ำค่าปรับอยู่ระหว่าง 10,000 - 30,000 บาท และเสาไฟฟ้าแรงกลางค่าปรับอยู่ที่ 30,000 - 100,000 บาท โดยมีการคิดค่าแรงในการรื้อถอนและติดตั้งเข้าไปด้วย มากไปกว่านั้นหากคุณแจ็กพอตชนเสาไฟฟ้าอาจทำให้หม้อแปลงไฟฟ้า และชุมสายสื่อสารเสียหาย ก็อาจจะโดนเรียกเก็บค่าเสียหายเพิ่มอีก เบ็ดเสร็จอาจต้องจ่ายค่าปรับเกิน 100,000 บาทได้เลยทีเดียวส่วนค่าปรับของหลวงประเภทอื่นมีค่าปรับคร่าว ๆ ดังนี้  •  แบริเออร์กั้นทาง 800 - 15,000 บาท  •  แผงกั้นจราจร 1,000 - 5,000 บาท  •  กรวยจราจร 200 - 800 บาท  •  เสาล้มลุก 800 - 3,500 บาท  •  ต้นไม้ เริ่มต้น 2,000 บาท ขึ้นอยู่กับพันธุ์ไม้และจำนวนต้นไม้ที่เสียหายขับรถชนเสาไฟฟ้ามีโทษอะไรบ้างอันดับแรก การขับรถชนเสาไฟฟ้า หรือของหลวงประเภทอื่น ๆ มีความผิด มาตรา 360 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้ หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากจงใจไม่เสียค่าปรับอาจต้องระวางโทษตามมาตรา 438 ดังนั้นควรไกล่เกลี่ยการชำระเงินให้ลงตัวเพื่อความบริสุทธิ์ใจ เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้แน่นอนการขับรถชนสิ่งของไม่ว่าจะเป็นของหลวง หรือของใครก็ตาม แม้ว่าเราจะมีประกันรถยนต์ชั้น 1 แต่ทางบริษัทก็สามารถชดเชยได้ตามวงเงินทุนประกันเท่านั้น โดยที่คุณจะต้องจ่ายค่าส่วนต่างที่เหลือเอง ดังนั้นเราควรใช้สติในการขับรถพยายามสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และคำนึงถึงเพื่อนร่วมทางอยู่เสมอ เพื่อสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนและไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อผู้อื่นอีกด้วยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/524003

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

“ฝายกั้นน้ำปางสวรรค์” จุดถ่ายภาพอันซีนอุทัยธานี

29/04/2024

จากตัวอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ออกไปราว 20 กิโลเมตร มีฝายกั้นน้ำขนาดเล็กของชุมชนบ้านปางสวรรค์ ที่เรียกว่า “ฝายกั้นน้ำปางสวรรค์” สถานที่ท่องเที่ยวในชุมชนที่หากมองผิวเผินจากด้านบนอาจดูราบเรียบแทบไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่จุดขายของฝายแห่งนี้ ต้องเดินลงไปด้านล่าง ลุยน้ำไปยังมุมที่สายน้ำด้านบนไหลลงมาราวกับม่านน้ำรอบตัวโดยเฉพาะหากใครมีอุปกรณ์กล้องถ่ายภาพที่ใช้ขาตั้งกล้องคู่กัน ฝายกั้นน้ำแห่งนี้ก็จะกลายเป็นจุดเช็กอินสุดว้าวที่โดนใจคนชอบถ่ายรูปแน่นอนข้อมูลควรรู้ก่อนเดินทางในช่วงฤดูแล้ง ช่วงวันธรรมดา ไม่มีน้ำล้น (แต่สามารถถ่ายภาพได้ตามปกติ) ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีน้ำล้นตามธรรมชาติ เนื่องจากน้ำบางส่วน ต้องเก็บกักไว้ใช้ในด้านการเกษตรเป็นหลัก ส่วนฤดูฝนนั้น มีน้ำมากที่สุดและสวยที่สุดข้อมูลการท่องเที่ยวเพิ่มเติมททท.สำนักงานอุทัยธานี www.facebook.com/TAT.Uthaiโทร.056 514 651ภาพ: ชยวรรศ มานะศิริแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000027940

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

"ผ้าเช็ดตัว" ในโรงแรม นำกลับมาใช้ใหม่ดีไหม

01/04/2024

จากข้อมูลของหน่วยงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (US Environmental Protection Agency) โรงแรม เป็นผู้ใช้น้ำมากถึง 15% ของปริมาณน้ำทั้งหมดที่ใช้โดยสถานประกอบการและหน่วยงานในประเทศ คิดเป็น 17% ของน้ำประปาที่ใช้ในอเมริกา เมื่อพิจารณาว่า 16% ของการใช้น้ำในโรงแรมเป็นการซักรีด จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นป้ายเล็กๆ ในห้องน้ำที่รณรงค์ให้แขกช่วยประหยัดน้ำโดยการใช้ผ้าขนหนู หรือผ้าเช็ดตัวซ้ำ แต่การใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำดีจริงหรือแม้การรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำในโรงแรมจะเป็นแนวคิดที่ดูเหมือนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการด้านการบริการธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว (Journal of Hospitality and Tourism Research) ชี้ให้เห็นว่า การปฏิบัตินี้กลับส่งผลเสียต่อทั้งธรรมชาติและสุขภาพของผู้คนผลการศึกษาชี้ว่า การยืดระยะเวลาการซักผ้าเช็ดตัวอาจส่งผลให้คราบสกปรกฝังแน่น ยากแก่การกำจัด ซึ่งนำไปสู่การใช้สารเคมีทำความสะอาดมากขึ้นและการซักนานขึ้น นอกจากนี้ หากคราบดังกล่าวไม่สามารถขจัดออกได้ สุดท้ายแล้วผ้าเช็ดตัวนั้นก็จะถูกทิ้งและแทนที่ด้วยของใหม่ กลายเป็นว่า "ระบบทำความสะอาดแบบรักษ์โลก" นี้กลับส่งผลให้มีการใช้ทรัพยากรมากขึ้น แทนที่จะลดลงอีกทั้ง การสัมผัสกับสารเคมีทำความสะอาดอย่างต่อเนื่องยังส่งผลต่อสุขภาพของพนักงานโรงแรม คุณ Grace N. Sembajwe, DSc. หัวหน้าผู้วิจัย ระบุว่า พนักงานเหล่านี้มักประสบปัญหา "อาการแพ้ทางเดินหายใจจำนวนมาก"การล่าช้าการทำความสะอาดผ้าปูที่นอน พรม และม่าน ยิ่งส่งผลกระทบรุนแรง ไม่เพียงแต่ดูไม่น่ามอง แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้เข้าพัก และอาจนำไปสู่รีวิวที่ไม่ดีบนเว็บไซต์จองโรงแรม"การเลือกซักผ้าปูที่นอนที่บ้านสัปดาห์ละครั้ง ย่อมแตกต่างจากการที่โรงแรมซักผ้าปูที่นอนสัปดาห์ละครั้ง" คุณ Sembajwe กล่าว "โรงแรมขนาดเล็กจำนวนมากไม่ได้ซักผ้าห่มเลยเกินกว่าปีละหนึ่งหรือสองครั้ง"แทนที่จะเลื่อนการซักผ้า โรงแรมควรลงทุนในเครื่องซักผ้าประหยัดพลังงาน สำหรับการประหยัดพลังงานที่บ้าน ผู้เขียนแนะนำให้ใช้ราวตากผ้าแทนเครื่องอบผ้าขอขอบคุณข้อมูล :apartmenttherapyแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447079/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

กำลังซื้อ กำลังแย่

30/03/2024

คอลัมน์ : เช้านี้ที่ซอยอารีย์ ผู้เขียน : ดร.พงศ์นคร โภชากรณ์์ (pongnakornp@fpo.go.th) ผมตั้งชื่อเรื่องไว้ว่า “กำลังซื้อ กำลังแย่” วันนี้เรามาวิเคราะห์เรื่องนี้กันว่า จริงอย่างที่ผมว่าไหม ? และเราจะใช้ข้อมูลอะไรมาชี้วัดว่ามันกำลังแย่ ? จริงอยู่ว่าในปี 2566 พระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การบริโภคภาคเอกชน ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 59 ใน GDP ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.1 ต่อปี สูงสุดในรอบ 11 ปี แต่ก็เป็นผลจากการขยายตัวของการบริโภคในหมวดร้านอาหารและโรงแรมสูงถึงร้อยละ 46.5 ต่อปี หากการท่องเที่ยวกลับเข้าสู่การขยายตัวในระดับปกติ การบริโภคย่อมชะลอตัวลง ประกอบกับข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ออกมา 2 เดือนแรกของปี 2567 ยิ่งทำให้เห็นว่า การบริโภคกำลังอ่อนแรงลงแล้ว เรามาวิเคราะห์เครื่องชี้เศรษฐกิจแต่ละตัวกันครับ 1. รายได้เกษตรกรที่ขจัดเงินเฟ้อออก ครอบคลุมประชากรประมาณ 20 ล้านคน พบว่าหดตัวในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ -0.6 และ -1.7 ต่อปี ปีที่แล้วทั้งปีก็หดตัวร้อยละ -2.1 ต่อปี ดังนั้นกำลังซื้อของเกษตรกรยังคงอ่อนแอต่อเนื่อง ช่วงที่เหลือยังต้องเผชิญกับภัยแล้งน้ำท่วมอีก 2. จำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัว ต่างประเทศเที่ยวไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 24 มีนาคม มีจำนวนกว่า 8 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 44 ต่อปี ชะลอลงมากจากปี 2566 ที่ขยายตัวถึงร้อยละ 154 ต่อปี ส่วนไทยเที่ยวไทยเดือนมกราคม 2567 ขยายตัวร้อยละ 6.8 ต่อปี ชะลอลงมากจากปี 2566 ที่ขยายตัวร้อยละ 23 ต่อปี ดังนั้น รายได้จากนักท่องเที่ยวที่ผันไปเป็นเงินเข้ากระเป๋าชาวบ้าน ร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร สองแถวรับจ้าง ย่อมมีแนวโน้มลดลงตามไปด้วย 3. ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ปี 2566 ขยายตัวได้ร้อยละ 4.6 ต่อปี แต่เดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ 2567 หดตัวร้อยละ -1.8 และ -10.0 ต่อปี ตามลำดับ สะท้อนว่ากำลังซื้อของประชาชนรายได้น้อยก็อ่อนแอเช่นกัน 4. ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 3.6 ต่อปี เดือนมกราคม 2567 ยังขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.4 ต่อปี แต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 กลับมาหดตัวที่ร้อยละ 27.1 ต่อปี ก็บ่งชี้ว่า ประชาชนที่มีรายได้ปานกลางก็ยังมีกำลังซื้อที่เปราะบาง แล้วจะหายเปราะบางเมื่อใด 5. ยอดรถปิกอัพจดทะเบียนใหม่ ปี 2566 หดตัวร้อยละ -27.2 ต่อปี ต่อมาในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2567 หดตัวร้อยละ -31.5 และ -36.4 ต่อปี ตามลำดับ สะท้อนว่า ประชาชนหรือผู้ประกอบการขนาดเล็ก กิจการขนาดเล็กที่ต้องลงทุนซื้อรถปิกอัพไว้ขนส่ง ก็มีกำลังซื้อที่ลดลง 6. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ปี 2566 หดตัวร้อยละ -3.8 ต่อปี เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2567 หดตัวร้อยละ -2.9 และ -2.8 ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 หมายความว่า โรงงานผลิตของน้อยลง ซึ่งเป็นไปได้ว่ากำลังซื้อของเศรษฐกิจโดยรวมของโรงงาน บริษัท ห้างร้าน ครัวเรือน ยังมีแนวโน้มหดตัว 7. ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่สะท้อนกิจกรรมของเศรษฐกิจในเดือนมกราคม 2567 ซึ่งเป็นเดือนที่มีมาตรการ Easy e-Receipt จะทำให้มูลค่าการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นกำลังซื้อของผู้มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น 8. หนี้ครัวเรือน ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 91 ของ GDP และมีโอกาสจะเพิ่มขึ้น หนี้เสียจะเพิ่มขึ้น หนี้ที่กำลังจะเสียก็จะเพิ่มเร็วกว่า ทำให้การบริโภคภาคเอกชนจะถูกบั่นทอนด้วยหนี้ครัวเรือน กำลังซื้อก็จะลดลงในระยะยาว ดังนั้น หากมีคนมาถามผมว่า เศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัวแล้วใช่ไหม ? ผมจะตอบว่า “ตอนนี้ ยังครับ” บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้ผูกพันเป็นความเห็นขององค์กรที่สังกัด แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1532870

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X